สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วาทตะวัน: “ตุลาการวิบัติ” หรือ “ตุลาการวิบัติ-ฉิบหาย”กันแน่!?




โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา Vattavan.com
30 ตุลาคม 2553


ระยะ นี้มีเรื่องไม่งาม ที่ข้องเกี่ยวกับผู้มีอาชีพตุลาการหลายเรื่องเช่น เมือ วันที่ 14 ตุลาคม 2553 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการตุลาการนายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกลงโทษให้ออกจากราชการ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ก่อน หน้านั้นไม่นาน สื่อใหญ่อย่าง "มติชนออนไลน์"ได้อ้างแหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรรม เปิดเผยถึงกรณีร้องเรียนกล่าวโทษ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายหนึ่ง ไปยังคณะกรรมการตุลาการ(ก.ต.) ว่า
นอกจากจะมีพฤติการณ์ฉันท์ชู้สาว กับหญิงที่มีสามีแล้ว อันเป็นที่น่ารังเกียจแล้ว ผู้ถูกกล่าวโทษรายนี้ยังใช้ชู้ของตัว ในการเรียกรับสินบน ในการตัดสินพิพากษาคดีต่างๆหลายคดี

มติชนระบุว่า ผู้ร้องเรียนเปิดเผยถึงวิธีการยอกย้อน ในการเรียกสินบนของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกกล่าวโทษนั้น ค่อนข้างสลับซับซ้อนทั้งนี้ ผู้ถูกกล่าวโทษกระทำโดยใช้อาศัยหญิงที่มีความสัมพันธ์กันเป็นตัวกลาง เพื่อป้องกันการตรวจสอบ

รายละเอียดที่เขานำมาเปิดเผย มีอยู่ว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าวให้ใช้ หญิงที่มีความสัมพันธ์กัน(หญิงผู้ใกล้ชิด)ไปติดต่อเรียกรับเงินสิบบน 70,000,000.00 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน) จากจำเลยที่มีคดีความมาถึงศาลอุทธรณ์ .. เห็นจำนวนเงิน ที่เรียกแล้ว...ต้องตกใจ!

แม้คดีดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก เป็นแค่คดีที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์หรือไซ่ฟ่อนเงิน แต่คดีไปเข้ามือผู้ถูกร้อง จึงสบช่องที่จะ “รีด” เงินเอาจากฝ่ายจำเลย (ซึ่งข่าวเขาบอกว่า ผู้บริหารบริษัทเป็นคนในตระกูลนักการเมือง) เพียงเพื่อแลกกับการตัดสินให้ยกฟ้องคดีนี้ ให้สอดคล้องที่ศาลชั้นต้น ได้พิจารณายกฟ้องไปแล้ว

“มติชน” รายยังงานต่อไปว่า... ในชั้นแรกฝ่ายจำเลยก็ไม่ยังเชื่อ จึงไม่กล้าจ่ายเงินผ่านหญิงผู้ใกล้ชิดสนิทเนื้อกับผู้พิพากษาผู้ถูกกล่าวโทษ แต่ผู้พิพากษาคนดังกล่าวได้กระทำการที่เหลือเชื่อ คือ มอบสำนวนคดีตัวจริงนี้ให้หญิงที่มีความสัมพันธ์นำไปให้ดู จนฝ่ายจำเลยเชื่อสนิทใจว่า

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์รายดังกล่าว เป็นผู้พิจารณาตัดสินสำนวนคดีนี้จริง!

จากนั้นฝ่ายจำเลยจึงค่อยๆทยอยมอบเงินให้ โดยผ่านหญิงผู้ใกล้ชิด เป็นเงิน 20,000,000.00 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) แต่ยังไม่สามารถหาเงินอีก 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ตามข้อตกลงได้ จึงต่อรองจะให้เป็นหุ้นของบริษัทผลิตอาหารกระป๋องแห่งหนึ่ง ที่มีเงินค้ำประกันเรื่องการส่งออกลำไย อยู่กับองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) เป็นจำนวนเงิน 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ซึ่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ อ.ต.ก. คืนเงินจำนวน 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 บาทต่อปี ให้แก่บริษัทดังกล่าวแล้ว แต่ขณะนี้คดีค้างอยู่ที่ศาลอุทธรณ์

อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการตรวจสอบ ที่อาจมาถึงตนได้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้อง จึงได้ให้หญิงผู้ใกล้ชิด เข้าถือหุ้นบริษัทนี้แทนผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งเป็น "นอมินี" ของสมาชิกตระกูลนักการเมือง

ฉะนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่ อ.ต.ก. คืนเงิน 50,000,000.00 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) ให้แก่บริษัทนี้แล้ว หญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษาผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าว แต่มีข้อแม้จากผู้พิพากษาว่า

หญิงผู้ใกล้ชิดจะ ต้อง “หย่าขาด” กับสามีเสียก่อน มิเช่นนั้นผัวของหญิงคนนี้ จะมีส่วนได้เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งในฐานะคู่สมรส หากยังไม่มีใบหย่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้อง ก็จะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ และหากหย่าได้สำเร็จ จึงจะยอมตัดสินยกฟ้องคดีนี้ตามศาลชั้นต้นไปก่อน
โอ้โฮ!...อะไรจะขะไหน ขนาดนั้น!!

ปรากฏว่า แผนกลับไม่สำเร็จ เหตุเพราะชายผู้เป็นสามีของหญิงผู้ใกล้ชิด ไม่ยอมหย่า ตามแผนการอันสลับซับซ้อนนี้ ผู้พิพากษาผู้ถูกร้อง จึงดึงสำนวนคดีนี้เก็บไว้ก่อน โดยยังไม่พิจารณาตัดสินคดีนี้ ทั้งๆที่ได้รับสำนวนคดีนี้มาพิจารณานานแล้ว

ใช่แต่แค่นั้นนะครับ

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้องรายเดียวกันนี้ ยังถูกกล่าวโทษ กรณีมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวชาวต่างประเทศรายหนึ่ง เพราะทนายความหญิงของชาวต่างประเทศ ได่ตกลงเรื่องสินบนกับหญิงคนสนิทชิดใกล้ เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท (สามล้านห้าแสนบาทถ้วน) โดยมีการทำเป็นสัญญา (ไม่มีมูลหนี้) ระหว่างญาติของหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษา กับทนายความของจำเลยชาวต่างประเทศ โดยทนายความหญิงกับญาติของหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษา ได้นำเงินตามข้อตกลงดังกล่าว ไปเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกัน (โดยคำร้องมีการระบุหมายเลขบัญชี ไว้ชัดเจน) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 เป็นเงินจำนวน 3,500,000 บาท (สามล้านห้าแสนบาทถ้วน)
ต่อมาปลายเดือน 30 กันยายน 2552 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้อง ได้มีคำสั่ง “อนุญาต” ให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยชาวต่างประเทศคนดังกล่าวไปตามข้อตกลง
ครั้น ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2552 หญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ได้สั่งให้ทนายความหญิงแล ญาติของตนเอง ไปเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวจำนวน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นรางวัล ค่าตอบแทนกับญาติของตน
หลัง จากที่จำเลยชาวต่างประเทศ ได้ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำตามข้อตกลงแล้ว ทนายความหญิงและญาติของหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษา ได้ไปเบิกถอนเงินจากบัญชี มาเปิดบัญชีถ่ายโอนเงินให้กับหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษา เป็นจำนวน 3,400,000 (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน)
ต่อจากนั้นหญิง ผู้ใกล้ชิด ทยอยเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าว ครั้งละไม่เกิน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) แล้วส่งมอบให้ผู้พิพากษาศาลอุทรณ์เป็นเงินสด
หลัง จากช่วยให้ประกันตัวสำเร็จแล้ว จำเลยชาวต่างประเทศจึงเกิดความเชื่อถือหญิงผู้ใกล้ชิดของผู้พิพากษาว่า จะสามารถช่วยให้ชนะคดีได้ จึงตกลงทำสัญญาว่าจ้างให้หญิงผู้ใกล้ชิด ช่วยเป็นเงิน 9,200,000.00 บาท (เก้าล้านสองแสนบาทถ้วน) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 และได้ชำระเงินให้หญิงหญิงผู้ใกล้ชิดไปแล้ว 4,000,000.00 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน) คงเหลืออีก 5,200,000.00บาท (ห้าล้านสองแสนบาทถ้วน)

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ผม เองนั้น มีความคุ้นเคยกับคดีข้าราชการทุจริตมานาน บางปีก็ได้เห็นรายละเอียด ในการสอบสวนทุจริตแทบจะทุกสำนวน ที่มีการสอบสวนกันในประเทศนี้ เพราะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ แต่ยังไม่เคยเห็นเรื่อง “อุบาทว์” ในวงการศาลอย่างนี้ มาก่อนเลย!
การ วางแผนเรียกรับเงิน ซึ่งมีความยอกย้อนตามที่ “มติชน” รายงานอย่างนั้น น่าจะเป็นแนวความคิดของผู้ที่เป็น “อาชญากรตัวร้าย” มากกว่าเป็นการดำเนินการ ของคนที่อยู่ในตำแหน่ง นั่งบนบัลลังก์ ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี เช่น ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้ถูกร้องรายนี้เลย!
เชื่อว่าข่าวชิ้นนี้ คงทำให้ท่านผู้อ่าน มีความรู้สึกเหมือนผม คือ
น่าขยะแขยงมาก!!
เรื่อง นี้เป็นเรื่องใหญ่ และมีข่าวแพร่ออกมาว่า กำลังจะมีการนำเสนอข่าวนี้ ในภาคภาษาอังกฤษแบบ Exclusive เพื่อแจ้งเตือนบรรดาชาวต่างประเทศที่จะมาทำการค้า และคบหาสมาคมกับคนไทย เพื่อให้ทราบเป็นข้อมูล ก่อนที่เขาจะมีคดีความในสยามประเทศ
เราคงจะได้เห็นกันเร็วๆนี้!!!

ผมอยากจะเรียน กับท่านผู้อ่าน ว่า การกระทำของผู้พิพากษาซึ่งถูกกล่าวโทษ ที่เล่ามาข้างต้นนั้นเป็นเพียง การกระทำส่วนบุคคล แต่อาจมีผลที่ทำให้ผู้พิพากษาทั้งมวล พลอยเสียหายไปด้วย แต่อย่างไรเสีย ผู้คนที่แยกแยะออก ก็คงตัดสินได้ว่า

นี่เป็นเรื่องของ “บุคคลคนเดียว” เท่านั้น
อย่าง ไรก็ตาม ความเสียหายที่ผู้คนมองว่า เกิดขึ้นกับวงการตุลาการโดยส่วนรวมอย่างแท้จริงนั้น ได้เกิดก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพราะได้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้พิพากษา ที่เรียกกันอย่างหรูหรา ว่า
“ตุลาภิวัฒน์”
เริ่ม จากการประชุมกันที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน ในซอยหลังสวน จากนั้นพรรคการเมืองของทักษิณ ก็โดนบีบคั้นอย่างหนัก ลงท้ายด้วยการยึดอำนาจโดยคณะทหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่นำโดยผู้ที่ผมเรียกว่า “ไอ้บัง กบฎ” หรือบางสื่อเรียกว่า “ไอ้บัง สามจิ๋ม” กับพวก
นับแต่นั้นมา ความฉิบหายใหญ่หลวงของชาติไทยเรา ก็ได้เกิดขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ สถาบันต่างๆถูกทำลาย หรือถูกทำให้สั่นคลอน ผู้คนส่วนใหญ่ของชาติเสื่อมศรัทธาในบ้านเมือง ความขัดแย้งได้บานปลายออกไป จนถึงการฆ่าฟันกันระหว่างทหารกับคนในชาติ ความแตกแยกร้าวฉานของผู้คนในบ้านเมือง ยิ่งบาดลึก จนยากที่จะกลับคืนดีได้อีก
มาถึงวันนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าความเลวร้ายของชาติ อันเกิดขึ้นเพราะ “กรรมระยำ” ของ “ไอ้บัง สามจิ๋ม” กับพวก ที่ก่อไว้กับ บ้านนี้เมืองนี้ จะสิ้นสุดลงเมื่อใด?

สถาบันหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงว่า เป็นเครื่องมือของคณะรัฐประหารไป คือ “กระบวนการยุติธรรม” โดยเฉพาะศาล ที่คณะผู้พิพากษาลดตัวมาทำหน้าที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ ตามคำสั่งของ “ไอ้บัง กบฎ” และภาพที่ปรากฏต่อสาธารณชนนั้น น่าอับอายยิ่งนัก คือ

การนั่งพิจารณาของผู้พิพากษาที่มีเกียรติยศ พิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์เจ้าชาวไทย สวมชุดสากล โดยไม่สวมเสื้อครุยแสดงวิทยะฐานะ และพร้อมใจกันตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ของอดีตนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ที่ถูกทำรัฐประหาร โดย “ไอ้บัง สามจิ๋ม” กับพวกนั่นเอง

ต่อมาได้มีการเปิดโปงกัน ในเรื่องที่เกี่ยวกับการไปปรากฏกายของคนระดับประมุขตุลาการ ทั้งประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครอง ในการเลี้ยงที่บ้านนักธุรกิจกบาลเกลี้ยง คือไอ้นายปีย์ มาลากุล ที่สื่อสารมวลชนลงข่าวกันอื้ออึง ซึ่งผมก็ได้เขียนถึงเรื่องนี้ในคอลัมน์ตัวเองชื่อ

ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่ ‘สุมกบาล’ เพื่อก่อกบฏ! (คลิ๊ก)
และท้ายคอลัมน์ ผมสรุปทิ้งเอาไว้ว่า
...การ พบปะกันของคนกลุ่มนี้ ที่บ้านนายปีย์ มาลากุล ในวันอุบาทว์นั้น เป็นการไป... ‘สุมกบาล’ เพื่อการก่อกบฏ หรือใครว่าไม่จริง!!!?...

ที่เขียนอย่างนั้น เพราะผมพิจารณาจากสถานการณ์แวดล้อม และข้อมูลต่างๆประกอบ ก็เห็นว่า เป็นความพยายามที่จะทำการรัฐประหาร ซึ่งต่อมาก็เป็นความจริงในภายหลัง เพราะมีการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 นั่นเอง

เมื่อประธานศาลสูงทั้งสองศาล ไปมีพฤติกรรมอันไม่เหมาะควรอย่างยิ่ง ประชาชนจึงรับไม่ได้ ทำให้ฝ่ายตุลาการตกเป็น “ขี้ปาก” ของชาวบ้านในที่สุด ทั้งยังทำให้ผู้คนจำนวนมากเห็นว่า

ถ้อยคำหรูหราอย่าง “ตุลาภิวัฒน์” ตามที่กล่าวอ้างกันหลังจากการรับประทานอาหารที่ห้องอาหารอิตาเลี่ยน ที่ซอยหลังสวน นั้น

ได้ถูกผู้คนที่รักความยุติธรรม และมีสติปัญญาทั้งหลาย วิพากษ์วิจารณ์กลับว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นการก้าวย่างเข้าสู่ยุค “ตุลาวิบัติ” นั่นเอง

สำหรับการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการรัฐประหาร ได้มีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา เพื่อสอบสวนจัดการกับอดีตนายกฯ ซึ่งเป็นการออกกฏหมายมา “ขยี้” คนเพียงคนเดียว ทั้งๆที่ประมวลกฏหมายวิธิพิจารณาความอาญา ยังใช้บังคับอยู่ และศาลไทย ได้ยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร ไว้ในคำพิพากษา แต่ก็ยังมีผู้พิพากษาอย่างท่าน กีรติ กาญจนรินทร์ ที่มีความหาญกล้า ไม่ยอมรับอำนาจดังกล่าว
บทความของผมชื่อ “จดหมายฟ้องโลก” ที่มีทั้งเวอร์ชั่นภาษาไทยและเวอร์ชั่นฝรั่ง ได้บรรยายเหตุผลเอาไว้ชัดเจน (มีคนเข้ามาอ่านเกือบหนึ่งหมื่นห้าพันราย) และจดหมายฉบับนี้ ได้ถูกแจกจ่ายไปทัวโลก จึงอยากให้ทุกท่าน ได้อ่านทั่วกันใน (ลิงก์)
น่าแปลกมาก เพราะยังไม่มีผู้ออกมาคัดค้าน หรือโต้แย้งว่า ความเห็นของผมที่ปรากฏทั้งในจดหมายและบทความนั้น ไม่ถูกต้อง!

ที่น่าดีใจอย่างมากก็คือ นายประพันธ์ นัยโกวิท ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ปัจจุบันเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ได้กล่าวตอนหนึ่งระหว่างบรรยายพิเศษเรื่อง “จัดการเลือกตั้งอย่างไรให้สุจริตและเที่ยงธรรม” ให้กับนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูงเมื่อ 1 ต.ค.2553 ว่า

“ระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบอบเหมาะสมที่สุดของประเทศไทย และมองว่าอนาคตจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก เพราะกระแสโลกเปลี่ยนแปลงและไม่สนับสนุน ส่วนที่ผ่านมาการปฏิวัติรัฐประหารยังคงสามารถทำได้ ก็เพราะอำนาจตุลาการให้การยอมรับ รับรองว่าถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อใดที่อำนาจตุลาการไม่ยอมรับขึ้นมา อาจมีกฎหมายให้โทษย้อนหลังได้”

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมมีความเชื่อโดยสุจริตว่า วันหนึ่งวงการตุลาการบ้านเรา จะเกิดความกล้าหาญ ไม่ยอมลงให้กับอำนาจปากกระบอกปืน แล้วหันมาพิจารณาคดี ให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เฉกเช่นนานาอารยะประเทศ นั่นคือ

ไม่ให้การยอมรับ การปฏิวัติรัฐประหารว่า ถูกต้องตามกฎหมาย!
แต่ ก่อนถึงเวลานั้น ก็ดันมีข่าวเรื่อง “คลิปฉาว” ของศาลรัฐธรรมนูญ หลุดออกมาสู่สายตาสาธารณะ ทำให้ประชาชนต้องขุ่นเคืองใจ และตั้งปุจฉากันอย่างมากมาย แต่เมื่อวันพุธที่ 27 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา นสพ.มติชน รายวันในคอลัมน์ “เรียงคนมาเป็นข่าว” โดย “วิหคเหินฟ้า” ได้เขียนสั้นๆ แต่ฉายภาพให้เห็นความเป็นไปในเรื่องนี้ได้ป็นอย่างดี เพราะเขาว่าเอาไว้ อย่างนี้ครับ

...เรื่อง "คลิป" ยังไม่จบ เพราะ "ผู้พิพากษาหนุ่ม" เห็นคลิปแล้ว เริ่มตั้งคำถามกับพฤติกรรมของ “ผู้ใหญ่” ที่เจตนากดดัน อภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ให้มาเป็น “พยาน” คนเป็น “ผู้พิพากษา” ด้วยกัน ทำไมจะอ่านเกมไม่ออก หวังว่าคงไม่เกิด “วิกฤตตุลาการ” รอบสอง
...เพราะปล่อยให้ “ตุลาการ” ไปเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” มากเกินไป ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึงขั้น “ประมุข” ของศาล ไปนั่งประชุมร่วมกันที่บ้าน ปีย์ มาลากุล เพื่อจัดการกับ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ สถาบันตุลาการจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่อยมา...

นี่ไงครับ!
อ่าน แล้วทำให้เรารู้ชัดเจน แจ่มแจ้งแดงกระแจ๋แหว ว่า มาตรฐานความเป็นธรรม ในการพิจารณาคดีความของตุลาการบ้านเรานั้น ไม่ว่าจะเป็น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ขณะนี้ ต่างก็มี “ปัญหาตุลาการ” แบบครบวงจรทั้งระบบ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ส่วนจะเป็น “ตุลาการวิบัติ” ระดับธรรมดาๆ หรือถึงขั้น “ตุลาการวิบัติ-ฉิบหาย” นั้น

พิจารณากันเอาเอง เถอะครับ!!!
*************

***หมายเหตุ เพื่อความเข้าใจให้ชัดเจนเพิ่มขึ้น ขอให้ท่านผู้กรุณาอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม คือ
- “ศาลไทย... ไม่ใช่ศาลทาส (นะโว้ย) !!!”
Posted by editor01 at 10/30/2010 11:26:00 หลังเที่ยง Share on Facebook

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น