คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : อาจารย์สุรชัย
โดย : กาหลิบ
ความ จริงผมก็รักเคารพและชอบพอกับคุณ
อันดับแรกสำหรับคนที่ “หมั่นไส้” ว่า ทำไมเขาเรียกคุณสุรชัยฯ ว่า “อาจารย์” กันทั้งนั้น ก็ขอบอกให้ได้ทราบทั่วกันว่า มวลชนคนตาสว่างทุกวันนี้เขาไม่ได้หลับหูหลับตาเรียกนักวิชาการอาชีพทุกคนว่า อาจารย์กันอีกแล้ว เขาเลือกฟัง และให้ความเคารพทางปัญญาต่อผู้ที่มีอุดมคติประชาธิปไตยเป็นหลัก ไม่ศิโรราบให้กับพวกที่หอบตำราฝรั่งมาถ่ายทอดต่อไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง และทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของระบอบเผด็จการโบราณหรือของ (ชนชั้น) ตัวเองเท่านั้น
คุณสุรชัยฯ คือนักปราศรัยทางการเมืองที่มุ่งให้ความรู้จากประสบการณ์และจากทฤษฎีการ เมืองเรื่อยมาตั้งแต่เวทีสนามหลวง มวลชนประชาธิปไตยฟังชั่วระยะหนึ่งก็พาให้ขนานนามให้เป็นอธิการบดี มหาวิทยาลัยสนามหลวง และเรียกขานกันว่าอาจารย์สุรชัยฯ มาจนถึงทุกวันนี้ ตัวอย่างจากคุณสุรชัยฯ หรืออาจารย์สุรชัยฯ ทำให้เรารู้ทันทีว่า มวลชนสมัยนี้ไม่ได้ต้องการแต่ความดุเด็ดเผ็ดมันทางการเมืองผ่านคำปราศรัย หรือความสะใจที่ได้ยินคนเขาด่ากันจนลั่นทุ่งไปเท่านั้น แต่มวลชนใหม่กระหายความรู้และข้อมูลที่มีประโยชน์ในการรณรงค์ต่อสู้ทางการ เมือง เพื่อชดเชยความไม่รู้เพราะมีคนบังตาไว้ และเพื่อเอาชนะภาพลวงตาที่ตราตรึงอยู่ในสังคมไทยตั้งแต่หลายสิบปีที่ผ่านมา
เดี๋ยว นี้สังเกตได้ว่า พร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราวให้แก่นักโวหารนิยมซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ นั้น มวลชนให้ความสนใจและแสดงความพอใจมากกว่าหรือเท่ากับผู้ปราศรัยที่มุ่งยก ระดับความรู้เท่าทันทางการเมือง
นี่ล่ะครับคือสังคมองค์ความรู้อย่างมวลชน โดยไม่ต้องไปเอานักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ไหนมานำ
อีก ประการหนึ่งคือ ความเป็นนักสู้ผู้ห้าวหาญจนมวลชนยอมรับ คนที่ถูกพิษภัยการเมืองจนต้องติดคุกถึง ๑๖ ปีอย่างอาจารย์สุรชัยฯ แต่เมื่อออกสู่อิสรภาพแล้วกลับเดินรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยต่ออย่างไม่กลัว คุกรอบสองนั้น ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ
ขนาดคดีที่มุ่งทำลายล้างทั้งชีวิต อย่างมาตรา ๑๑๒ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยังไม่อาจทำให้อาจารย์สุรชัยฯ สยบยอมต่อฝ่ายเผด็จการที่มักงัดเอาเครื่องมือชิ้นนี้มากำจัดกวาดล้างศัตรู ทางการเมืองได้เลย ความนับถือของมวลชนจึงมั่นคงแน่นแฟ้นขึ้น
ใน ประเด็นนี้ก็ส่งคำเตือนอย่างสุภาพไปยังคนที่สู้ไปกราบไป หรือหาทางปรองดองไปอย่างไม่มีหลักการใดๆ ว่า ปวงชนที่เขารวมกันเป็นมวลชนประชาธิปไตยในพุทธศักราชนี้จะยกย่องนับถือใครก็ เฉพาะในความมีอุดมการณ์และหลักการอย่างชัดเจนไม่เหลียวหลังเท่านั้น
จึงไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนเขายกย่องอาจารย์สุรชัยฯ สวนกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดาผู้นำ
ประชาธิปไตย จอมปลอม ที่กลัวตัวจริงอย่างอาจารย์สุรชัยฯ จะมาไล่ที่ในหัวใจมวลชน จนต้องร้อนรนออกมาประกาศตัดขาดหรือขับออกจากขบวนตามวิสัยของเด็กขี้อิจฉา
ประการ สุดท้ายคือความสมบูรณ์ของสาระในการต่อสู้ อาจารย์สุรชัยฯ เคารพมวลชนจนไม่อาจจะพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวหรือพูดจาเลี้ยวลดจนฟังไม่ รู้เรื่อง แต่ได้ใช้ทุกๆ คำปราศรัยปอกเปลือกสังคมไทยออกจนกระจ่างตาและกระจ่างใจจนเป็นที่ต้องใจของ มวลชน
พูดกันว่าฟังอาจารย์สุรชัยฯ แล้วสบายดี ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย แถมแต่ละประโยคแต่ละวลีก็ไพเราะจับใจพอที่จะจดจำไว้ขยายต่อในโอกาสอันควร
การ จัดตั้งทางความคิดตามสไตล์อาจารย์สุรชัยฯ จึงก้าวหน้ารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง อะไรที่เคยคิดว่าคงต้องใช้เวลาเป็นสิบปีหรือร้อยปีบัดนี้ไม่กี่ปีก็เริ่ม เห็นทางแล้ว
ถามว่าจู่ๆ มาคุยเสียยาวเรื่องอาจารย์สุรชัยฯ เพราะอะไร
ก็เพราะไม่อยากให้คนชั่วมารุมทำลายคนดีได้ง่ายๆ อีกแล้วสิครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น