ผม เห็นว่าตัวอย่างของสำนักไทยอีนิวส์เป็นการส่งสัญญาณว่า บ้านเมืองไม่ได้อยู่ในกำมือของขาใหญ่ที่ครองอำนาจอย่างผูกขาดในบ้านเมืองนี้ มายาวนานเท่านั้น สิ่งสำคัญที่ไทยอีนิวส์และสำนักข่าวอิสระทั้งหลายทำ ก็คือการปฏิเสธที่จะยอมแพ้หลังจากถูกปฏิเสธจากเวทีสื่อมวลชนที่ใหญ่โตกว่า มีอิทธิพลสูงกว่า
โดย จักรภพ เพ็ญแข
5 พฤศจิกายน 2553
การฉลองครบรอบ ๔ ปีของสำนักข่าวไทยอีนิวส์นั้น ถ้ามองเผินๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการฉลองครบรอบปีของบริษัทห้างร้านต่างๆ ..
คือเป็นการผ่านของเวลาช่วงหนึ่ง ที่เราสมมติขึ้นมาเป็นความสำคัญ และนำมาเป็นเรื่องยินดีปรีดา
แต่ บังเอิญว่า ๔ ปีของสำนักข่าวไทยอีนิวส์ เป็น ๔ ปีที่สำคัญและมีความหมายลึกซึ้ง ไม่ใช่ต่อตัวสำนักข่าวและทีมงานเอง แต่เป็นความสำคัญ และสื่อความหมายเกี่ยวกับเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน
จะ เรียกว่าเป็นงานฉลอง ๔ ปีของการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของไทยก็คงจะไม่ผิดความจริงนัก ผมจึงรู้สึกยินดีและอยากร่วมฉลองทางใจกับสำนักข่าวไทยอีนิวส์ ด้วยทัศนะนี้
ถามว่า สำนักข่าวไทยอีนิวส์ได้ทำอะไร และพยายามจะทำอะไรในช่วงที่ผ่านมา...
คำตอบอันสมบูรณ์คงต้องไปถามจากผู้ก่อตั้ง และเป็นผู้บริหารสำนักข่าวไทยอีนิวส์เอง
แต่ผมในฐานะ “ลูกค้า” คนหนึ่งของไทยอีนิวส์สังเกตว่า สำนักข่าวนี้ทำหน้าที่เป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์มาตลอด เราคงจำได้ว่าแจ็คเป็นเด็กตัวเล็กนัก ไม่มีทางจะเอาชนะยักษ์ที่เที่ยวรังควาญชาวบ้านในแถบนั้นได้เลย
แต่ วันหนึ่งแจ็คได้รับเมล็ดถั่วพันธุ์พิเศษที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง จนกลายเป็นบันไดพาแจ็คปีนขึ้นไปถึงยอดเขาที่ยักษ์ตนนั้นอาศัยอยู่ แจ็คขึ้นไปแล้วก็ยั่วเย้า ท้าทาย และหลอกล่อจนยักษ์โกรธจัด รีบไต่ต้นถั่วยักษ์ตามแจ็คลงมาโดยหวังว่า เล่นงานเสียให้สาสม
แต่ ทว่า ด้วยความโกรธจนลืมตัว ประมาทเลินเล่อ และด้วยความที่ต้นถั่วมันไม่อาจทานกำลังและน้ำหนักของเจ้ายักษ์นั้นได้ ยักษ์จึงร่วงหล่นลงมาจากต้นถั่ววิเศษนั้น และละลิ่วลงไปสู่ความตายเบื้องล่าง แจ็คจึงกลายเป็นผู้ชนะในบั้นปลาย
แจ็คในวันนี้คือไทยอีนิวส์
ยักษ์ตนนั้นคือระบอบศักดินา และอำมาตยาธิปไตยทั้งปวงที่สูบเลือดคนไทยมานานหนักหนาจนไม่มีใครคิดว่าจะเอาชนะคะคานเขาได้
และ ตันถั่ววิเศษนั้นก็คือเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้แจ็คสามารถต่อกรกับเจ้า ยักษ์ใหญ่ที่มีพละกำลังมากกว่าตนเองอย่างมหาศาลได้ โดยโตขึ้นจากเมล็ดพันธุ์เล็กๆ อย่างไม่หยุดยั้ง จนที่สุดก็กลายเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพในการโรมรันกับยักษ์ใหญ่
ผม เห็นว่าตัวอย่างของสำนักไทยอีนิวส์เป็นการส่งสัญญาณว่า บ้านเมืองไม่ได้อยู่ในกำมือของขาใหญ่ที่ครองอำนาจอย่างผูกขาดในบ้านเมืองนี้ มายาวนานเท่านั้น
แต่คนเล็กๆ ที่มีอำนาจต่อรองน้อยก็เริ่มมีส่วนร่วมในการชี้นำบ้านเมืองนี้ และได้สัดส่วนในการถือครองอำนาจรัฐกับเขาบ้างเหมือนกัน
สิ่ง สำคัญที่ไทยอีนิวส์และสำนักข่าวอิสระทั้งหลายทำ ก็คือการปฏิเสธที่จะยอมแพ้หลังจากถูกปฏิเสธจากเวทีสื่อมวลชนที่ใหญ่โตกว่า มีอิทธิพลสูงกว่า เพราะพวกเขาเหล่านั้นทำตัวเป็นข้าทาสบริวารของผู้คนในระบอบศักดินาที่ตนเอง ยึดไว้คุ้มครองกะลาหัวตน
สำนักข่าวสายประชาธิปไตยเหล่านี้ไม่ได้ บอกว่าวันนี้ตัวเองคือช่อง ๓ ช่อง ๗ หนังสือพิมพ์มติชน สำนักข่าวเนชั่น ฯลฯ แต่เขาเริ่มอย่างคนนอกระบบที่ไม่ยอมรับในระบบที่เป็นอยู่ และท้าทายระบบทั้งระบบนั้นด้วยความสามารถเฉพาะตัว จนสาธารณชนหันมามองด้วยความสนใจ
เราพูดกันมานานเกี่ยวกับสื่อทาง เลือก สังคมประชาธิปไตยจะต้องมีสื่อหลากหลายที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของรัฐทั้งหมด ไว้เป็นที่พึ่งทางปัญญาแก่ผู้คน
แต่สุดท้ายเรามักได้เห็นสื่อเล็กๆ ที่ประกาศว่าฉันคือทางเลือกใหม่ แต่เอาเข้าจริงรอคอยเวลาที่จะใหญ่โตเหมือนสื่อรุ่นพี่ พวกระบอบเก่าทั้งหลายรู้แกวเช่นนั้นเขาก็เริ่มติดสินบน ตกเบ็ด และช้อนซื้อเอาคนที่มีความสามารถเข้าไปเสวยสุขในระบอบเก่าจนลืมตัวลืมตนกลาย เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาชนไปอย่างหน้าตาเฉย
เราได้เห็น สื่อทางเลือกที่กลายมาเป็นสื่อหลัก และรับใช้ผลประโยชน์ของผู้กุมอำนาจในบ้านเมืองมากี่รายแล้วเล่า คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งเคยเป็น “สื่อทางเลือก” แล้วก็ติดเบ็ดจนกลายเป็น “สื่อที่เขาเลือก” มาจนนับรายไม่ถ้วนแล้วมิใช่หรือ?
สื่อ ทางเลือกที่แท้จริง ต้องไม่มีอัตตาและตัณหาแบบสื่อกระแสหลัก ไม่ต้องหวังร่ำรวยฟู่ฟ่าอย่างเขา และไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวจนแทบจะไม่มีบุคลิก เพียงเพื่อเอาใจตลาดเก่าที่อย่างเสพย์สื่อที่ทำให้เขาเกิดสุข และไม่จำเป็นต้องเกิดปัญญา
สื่อทางเลือกต้องมีความอึดสูง นั่งอยู่บนภูรอให้สังคมโน้มสู่ความถูกต้องเป็นธรรมที่มีกลไกของเราเป็นผู้ ชี้นำส่วนหนึ่งได้อย่างใจเย็น ไม่หมกมุ่นเปรียบเทียบตัวเรากับคนที่เขายอมตัวเป็นข้าทาสไปเสียแล้ว แล้วหันมามองตัวเองอย่างเวทนาว่าทำไมข้าถึงไม่ “ได้ดี” อย่างเขาบ้าง
สื่อทางเลือกต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ว่า คือกับดักที่ทำให้คนในอดีตและปัจจุบันร่วงหล่นลงไปแล้วมากต่อมาก จนหมดโอกาสที่จะเป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์ อย่าว่าแต่เป็นสื่อเลย
ถาม ว่า สื่อทางเลือกจะต้องเป็นน้ำใต้ศอกในทางวัตถุเขาเรื่อยไปหรือ ก็ต้องตอบด้วยคำถามว่าความหมายของชีวิตของตัวเราเองคืออะไรเล่า ทั้งหมดนี้คือเรื่องของทัศนะเท่านั้น ผู้ที่ยึดความร่ำรวยเป็นเป้าหมายในชีวิตย่อมจะหดหู่เมื่อยากจนหรือรวยน้อย กว่าคนอื่นๆ ผู้ที่มีกิเลสทางปัญญาอาจจะไม่สบอารมณ์ที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดที่สุดใน ห้อง เหล่านี้เป็นเรื่องของทัศนะที่ตัวตั้งไว้เองทั้งสิ้น
ถ้าสื่อ มวลชนคนใดคิดว่า ชีวิตคือการมองตัวเองในกระจก แล้วสบตาตัวเองได้อย่างไม่อายและไม่รู้สึกผิด การเป็นสื่อทางเลือกที่ผู้คนมากมายมาขอพึ่งในทางปัญญาก็น่าจะเป็นหนทางช่วย เติมเต็มได้
มีประโยชน์ใดเล่าที่จะได้ผลตอบแทนทางวัตถุทุกประการ เยี่ยงสื่อข้าทาส แต่ทนอยู่กับตัวเองไม่ได้เพราะความรู้สึกผิดและอุดมการณ์สมัยหนุ่มสาวมันตาม มาหลอกหลอน
ต้องบำรุงบำเรอตัวเองอยู่ในแวดล้อมของคนที่เดินหลงทาง มาด้วยกันและชวนกันเสพย์สุขแบบเปลือกไปวันๆ หรือไม่ก็ต้องเข้าไปร่วมกับขบวนการหาผลประโยชน์ทางสื่อและการเมืองอย่างที่ เราได้เห็น จนสุดท้ายกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตยไปโดยไม่รู้ตัว
ผมขอแสดงความยินดีกับทุกๆ ท่านในสำนักไทยอีนิวส์ที่เลือกทางถูกมาแล้ว ๔ ปี
ขอให้ท่านรักษาตัวได้อย่างปลอดภัย ซื่อสัตย์ และเป็นประโยชน์ต่อมวลชนไปนานเท่านานครับ
http://thaienews.blogspot.com/2010/11/blog-post_8773.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น