ข้าฯทอดถอนลมใจไล่ความหนาว
ซุนฟืนเพิ่มเติมเชื้อเมื่อถึงคราว
เปลวไฟวาวโชนช่วงเงาดวงตา
ข้าฯตอบอย่างแน่นหนัก “ไม่รักชาติ!”
ขอประกาศต่อแผ่นดินและแผ่นฟ้า
ชาติที่รัฐครอบงำไม่นำพา
ชาติที่กล้าทอดทิ้งสิ่งสำคัญ
จะรักชาติอย่างที่เป็นได้เช่นไร
ประชาชนสิ้นไร้แม้แรงฝัน
ข้าวสารกรอกหม้อไหไปวันวัน
สัตว์เลื้อยคลานฝูงนั้นกลับรุ่งเรือง
มันอิ่มหมีพีมันบนชั้นเทพฯ
มันสูบเสพเลือดประชาฯจนหน้าเหลือง
ในร่างทรงขรึมขลังมลังเมลือง
เมืองทั้งเมืองทุกข์ท้อไม่พอเพียง
ให้รักชาติเช่นนี้ไม่มีทาง
เผด็จการกร่างกี่ครั้งไม่ฟังเสียง
ปล้นประชาธิปไตยไปหมดเกลี้ยง
กี่ศพเรียงตายฝังเลือดหลั่งริน
นักการเมืองขี้ฉ้อก็ใช่ย่อย
น้ำลายย้อยเยิ้มไหลแค่ได้กลิ่น-
งบประมาณจ้องงับทรัพย์แผ่นดิน
ไม่ยลยินทุกข์ประชาฯน่าละอาย
เขาถามซ้ำทำไม “ไม่รักชาติ?”
ลมหนาวบาดเนื้อหนั่นมีวันหาย
แต่ความเชื่อเรื้อรังยังไม่ตาย
นี่คือความเลวร้ายอันน่ากลัว
เขาซักซ้ำย้ำหนัก “รักชาติไหม?”
ข้าฯตอบ “ไม่มีทาง” พลางส่ายหัว
รักอย่างไรกันเล่าชาติเมามัว
ตุลาการชาติชั่วอุ้มตัวมาร
“อเปหิตัวเองไปไม่รักชาติ !”
เขาหยิบยื่นคำขาดอย่างอาจหาญ
ไม่รัก...ก็ ขอให้ ไปจากบ้าน
อย่าเกะกะระรานพาลเกเร
เปลวไฟวาวโชนช่วงเงาดวงตา
หนาวเหน็บในอุราสุดว้าเหว่
ลุกเดินจากกองฟอนลงนอนเปล
ผู้รักชาติโซเซไปไร้คำลา
ดาราพร่างกลางดึกศึกนี้หนัก
รัตติกาลมืดนักชักกังขา
เห็นตะคุ่มเดินวนบนศรัทธา
ใช่ผู้กล้ารักชาติหรือทาสใคร ?
ข้าฯยืนยันมั่นครองรักของข้าฯ
รักในมวลประชาฯจวบฟ้าใหม่
รักสันติ เสรี ประชาธิปไตย
ความเท่าเทียมนั่นไซร้...ที่ข้าฯรัก
อรุณรุ่ง สัตย์สวี
************
โดย นักข่าวชาวรากหญ้า
20 พฤศจิกายน 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น