คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง บิดและเบือน
โดย กาหลิบ
คำว่า บิดเบือน ซึ่งเป็นคำไทยแท้ๆ มีความหมายที่ลึกซึ้งและสะท้อนภาพของวิถีไทยได้ดีที่สุดคำหนึ่ง โดยเฉพาะเมืองไทยปัจจุบัน คำๆ นี้ประกอบด้วยสองคำย่อยคือ บิด และ เบือน ซึ่งมีความเหมือนและต่างอยู่ในนั้นเสร็จสรรพ
ความหมายที่ประกอบกันแล้วสมบูรณ์นี้ อธิบายเมืองไทยที่ซับซ้อนได้ดียิ่ง
บิด หมายถึง การพลิกสภาพของสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมให้เปลี่ยนมุมหรือเปลี่ยนด้านไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เบือน หมายถึง การเปลี่ยนมุมมองของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากความไม่ใส่ใจ ความเห็นแก่ตัว ความไม่รู้สึกรู้สมต่อเรื่องที่ตัวควรจะรู้สึกและเข้าช่วยเหลือมีส่วนร่วม หรืออาจจะเป็นความอ่อนแอและไม่สามารถทนมองอีกต่อไปก็ได้
สภาพเมืองไทยขณะนี้เป็นลูกผสมของ บิด และ เบือน
ผู้มีอำนาจในระบอบเผด็จการโบราณและคณะใช้นโยบาย “บิด” เพื่อเลี่ยงประเด็นที่เป็นอันตรายต่ออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง
สื่อ มวลชน นักวิชาการปัญญาชน และประชาชนส่วนหนึ่ง ใช้นโยบาย “เบือน” คือหันหลบไปเสียจากความจริงอันโหดร้ายรุนแรงจนไม่อาจรับได้ หรือเพราะเห็นแก่ตัวจัด จนไม่สนใจว่าใครจะเสียหายจากการ “บิด” ของผู้มีอำนาจ (จริง) ในเมืองไทยหรือบ้านเมืองจะย่อยยับขนาดไหน ตราบเท่าที่เขายังประคองตัวอยู่ได้ดั่งสวะที่ลอยตามน้ำ
เหตุการณ์ย่อยๆ สองเรื่องพิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างดียิ่ง
กรณี ศาลรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้กลายเป็นเรื่องฟ้องร้องสื่อมวลชนบ้าง ซัดกันว่าเจ้าหน้าที่คนไหนมีความผิดฐานที่เป็นผู้ถ่ายคลิปหรือบกพร่องต่อ หน้าที่จนมีคนถ่ายคลิปได้บ้าง เอากันถึงขนาดหลุดออกมาจากปากว่าการวิจารณ์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหนักเกินไป อาจเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ เพราะมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งมา
นี่ไม่ใช่แค่ “บิด” ประเด็นอย่างหน้าด้านๆ ตามประสาบ้านนี้เมืองนี้ แต่ถึงขั้น “บ้า” กันเลยทีเดียว
สิ่ง ที่เป็นเนื้อหาของความผิดไม่พูด เพราะพูดไปก็อธิบายผิดให้กลายเป็นถูกไม่ได้ กลับ “บิด” ไปยังประเด็นอื่นด้วยฐานความคิดว่าประชาชนทั้งประเทศที่ไม่ใช่พวกหรือสี เดียวกับตัวเองล้วนเป็นควายทั้งนั้น
ควายอย่างเดียวยังไม่พอ ยังจะกล่าวหาว่าควายมันหมิ่นตามมาตรา ๑๑๒ เข้าให้อีก
เรา พูดกันไปแล้วว่าอาการ “บิด” เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ อะไรก็ตามที่มันไม่ปกติถึงขนาดนั้นก็ย่อมพบอนิจจังคือความตั้งอยู่ไม่ได้ อย่างรวดเร็วทันใจ สาธารณชนขณะนี้ถึงได้รู้สึกว่าเมืองไทยกำลังขาดสิ่งที่เราเคยยึดเป็นเสาหลัก แห่งความถูกต้องดีงาม และเกิดความเวทนาตนเองและบ้านเมืองขึ้นมาจับใจ
ยิ่ง พบว่าผู้นำทางความคิดในองค์กรสื่อ หน่วยงานทางวิชาการ และประชุมบางที่บางถิ่นพร้อมรับความโง่เขลาเยี่ยงนี้เพราะอ่อนแอเกินกว่าจะ ลุกขึ้นสู้ โดยแสดงอาการ “เบือน” ก็ยิ่งหนัก
มวลชนผู้ตาสว่างแล้วก็รู้สึกได้พร้อมกันทันทีว่าเมืองไทยถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลง
อีก เรื่องกำลังเป็นข่าวเกรียวกราวอย่างยิ่งคือกรณีพบศพทารกจากการทำแท้งเถื่อน นับพันศพในวัดไผ่เงิน บ่งบอกถึงงานของเครือข่ายใต้ดินระหว่างโรงพยาบาล สัปเหร่อ และวัด และสะท้อนถึงความเป็นจริงในสังคมเสแสร้งของไทยที่แสดงออกว่าการทำแท้งเป็น เรื่องเลวร้าย แต่ไม่มีใครทำอะไรจริงจังเพื่อลดปัญหา
ประชาชนเสื้อสี ที่พร่ำพูดว่าสังคมไทยดีวิเศษเพราะบารมีอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องมีประชาธิปไตยในบ้านเมืองชีวิตของผู้คนก็ดีขึ้นได้เองนั้น จะอธิบายความเลวระยำในครั้งนี้อย่างไร
รัฐบาลเลือกตั้งเท่านั้นล่ะ ที่คิดทำอะไรต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ในระดับโครงสร้างของบ้านเมือง เพราะไม่ใช่พวกละเมอหลับตาอยู่กับรูปภาพบ้าๆ บอๆ เหมือนคนสิ้นคิด แล้วมาหาเรื่องโกรธคนที่พูดความจริง
หน้าที่ของระบอบประชาธิปไตยคือลดอาการบิดเบือนของสังคมนี้ลงบ้าง
มนุษย์ประชาธิปไตยจะได้ใหญ่กว่าเผด็จการเดรัจฉาน.
----------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com
เรียบเรียงโดย Nangfa
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/11/blog-post_21.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น