สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไม้หนึ่ง ก.กุนที: ทรรศนะศึกษา

*บทกวีจากเฟซบุ๊คของไม้หนึ่ง ก.กุนที วันที่ 30 กรกฎาคม 2553

จากหมู่บ้าน ขึ้นลงสู่ อีกหมู่บ้าน
ผ่านชนเผ่า กลางพนา ป่าน้ำฝน
ฝ่าคืนวัน มุ่งมหานครคน
เห็นวงล้อ เคลื่อนสังคม พลวัต

ทัศนา เกิด ดับ อยู่ ของภูเขา
ดินหินเก่า ประกอบเถื่อน ดงสงัด
หยิ่ง ในความสมบูรณ์ และอัตคัด
ผยองเถอะ ! สาธารณะรัฐราษฎร !!

ทาบประทับ รอยเท้าไป บนปุยเมฆ
กลับเป็นเด็ก นักเรียนน้อย หาครูสอน
ตรึก..อัตวิสัย ของคนจร
ค่ำนอนไหน ? พญาไฟ นกแดงเพลิง

แสงเดือนผ่อง ส่องเห็นรอยเท้าผู้เฒ่า
สายฟ้าวาว วับจรัส แรงอีเกิ้ง
กรีดอาดูร หรือปลอบโยน กล่อมบันเทิง
โศก หรือ เริงรื่นสำนึกหาญคะนอง

ผู้คนเลือกการกระทำ ที่ต่างแตก
จำแนกตามภาระ ที่ตกต้อง
ส่วนใหญ่อยู่ สู้ต่อ ในครรลอง
อีกส่วนอุดข้อบกพร่อง เสริมแนวทาง

เข้าพรรษา พร้อมพายุ ดุลำเค็ญ
เดือนยังเพ็ญ สวยเย็น เห็นกระจ่าง
ถึงคืนแรม ที่เงาโลก ทับอำพราง
ดาวจะพร่าง พราวชัด ขึ้นชี้นำ !!!

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ : บทเรียนจากการเคลื่อนไหวพฤษภาคม 2553 (1)

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
28 กรกฎาคม 2553

การเคลื่อนไหวของขบวนการประชาธิปไตยในช่วงมีนาคม-พฤษภาคม 2553 เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย แม้จะยุติลงด้วยการสังหารหมู่ประชาชนอย่างโหดเหี้ยม เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ของฝ่ายประชาธิปไตยก็ตาม แต่ในวันข้างหน้า เมื่อประเทศไทยบรรลุถึงประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว ผู้คนก็จะหันกลับมามองและเห็นว่า การต่อสู้ในครั้งนี้มิได้สูญเปล่า หากแต่เป็นก้าวเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่นำไปสู่ชัยชนะของประชาธิปไตยในที่ สุด

ขบวนการประชาธิปไตยได้เรียนรู้จากการเพลี่ยงพล้ำเมื่อ 12-14 เมษายน 2552 สรุปบทเรียน ศึกษาเรียนรู้ ขยายการรวมกลุ่มจัดตั้ง สามารถฟื้นตัวกลายเป็นพลังทางการเมืองที่เข้มแข็ง การเคลื่อนไหวที่ยืดเยื้อและยากลำบากเมื่อมีนาคม-พฤษภาคม 2553 แสดงให้เห็นว่า ในเวลาเพียงหนึ่งปี มวลชนได้ยกระดับขึ้นอย่างมากทั้งในด้านขวัญกำลังใจ ความรับรู้ ความทุ่มเทเด็ดเดี่ยว เสียสละ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างพลิกแพลง

แต่ในระหว่างนี้ ได้มีข้อถกเถียงอย่างต่อเนื่องในประเด็นแนวทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของแนว ร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินการสังหารหมู่ 19 พฤษภาคม 2553 ยิ่งทำให้มีข้อโต้แย้งที่แหลมคมมากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาจากผลสำเร็จและจุดอ่อนของการเคลื่อนไหวครั้ง นี้ เพื่อเป็นบทเรียนแก่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในขั้นต่อไป

1. ท่าทีของการวิจารณ์
ในเบื้องแรกต้องขีดเส้นแบ่งระหว่างฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกับฝ่าย ประชาธิปไตย แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดินเป็นฝ่ายประชาธิปไตย มีประวัติการต่อสู้ที่เสียสละและเสี่ยงอันตรายมายาวนาน ความผิดพลาดใดที่เกิดขึ้นยังคงเป็นความผิดพลาดของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และเป็นความผิดพลาดอันเกิดจากความจำกัดในความรับรู้ ประสบการณ์ ลักษณะเฉพาะบุคคล จากความไม่ชัดเจนของสถานการณ์เฉพาะหน้าและขีดจำกัดของภววิสัย

ท่าทีในการวิพากษ์วิจารณ์จึงควรกระทำอย่างมิตร แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นเพื่อให้ความรับรู้ตรงกัน วิจารณ์จุดอ่อนเพื่อสรุปบทเรียนอย่างถูกต้อง ไม่เอาความขัดแย้งส่วนบุคคลมาปะปน ยิ่งไม่ควรโจมตีกัน โยนความผิดทั้งหมดไปให้แกนนำโดยไม่จำแนก กระทั่งเอาข้อมูลเท็จและข่าวลือมาไส้ไคล้กัน แต่ต้องถือเอาประโยชน์ของขบวนการประชาธิปไตยโดยรวมเป็นที่ตั้ง เพื่อให้การเคลื่อนไหวได้พัฒนายกระดับ ไปบรรลุประชาธิปไตยที่แท้จริง

การสังหารหมู่ประชาชนครั้งใหญ่ในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นอาชญากรรมนองเลือดอีกครั้งหนึ่งที่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้กระทำต่อ ประชาชนไทย แม้ว่าแกนนำและมวลชนอาจกระทำผิดพลาดทางการเมืองและยุทธศาสตร์ยุทธวิธีบาง ประการ แต่ประชาชนมาชุมนุมด้วยมือเปล่า อย่างสันติ เพียงเรียกร้องการยุบสภาภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2550 ฝ่ายเผด็จการไม่มีความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้นในการใช้กำลังรุนแรงเข่นฆ่าประชาชน และไม่มีความผิดพลาดใด ๆ ของแกนนำ นปช.ที่จะใช้เป็นข้ออ้างเพื่อลบล้างความจริงข้อนี้ได้

2. แนวทาง สันติวิธีกับเป้าหมายเฉพาะหน้า ให้ยุบสภา
นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ได้ประกาศยึดแนวทาง สันติอหิงสามีเป้าหมายเฉพาะหน้าในการเคลื่อนไหวครั้งนี้คือ ให้ยุบสภาทั้งหมดนี้ได้ถูกบางฝ่ายวิจารณ์ว่า เป็นแนวทางปฏิรูปและเสนอแย้งว่าหนทางที่ถูกต้องคือ ต้องปฏิวัติ เปลี่ยนระบอบข้อวิพากษ์นี้ผิดและสับสน โดยนำเอาลักษณะทั้งหมดของขบวนการประชาธิปไตยโดยรวม มาปะปนกับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของขบวนการในแต่ละขั้นตอน เป็นการจับคู่ขัดแย้งแบบผิดฝาผิดตัว เอาสิ่งที่พวกเขาเสนอว่าเป็นแนวทางปฏิวัติมาเป็นคู่ขัดแย้งกับแนวทางของ นปช.ที่พวกเขาตีตราว่าเป็นแนวทางปฏิรูป

ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ฝ่ายประชาธิปไตยเริ่มต้นเป็นเพียงขบวนการต่อต้านรัฐประหารและเรียกร้องเอา รัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา แต่จากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยพัฒนาขยายเติบใหญ่ ยกระดับความรับรู้ถึงขั้นเข้าใจในรากเหง้าอุปสรรคที่แท้จริงของประชาธิปไตย ในประเทศไทย กลายเป็นขบวนการที่มีการจัดตั้งและมีการนำในระดับหนึ่ง มีเป้าหมายที่มุ่งช่วงชิงประชาธิปไตยแท้จริงที่อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลายทำให้การเคลื่อนไหวได้ยกระดับคุณภาพขึ้น จนมี ลักษณะปฏิวัติประชาธิปไตย

แต่การต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยนั้นมีหนทางยาวไกล ยืดเยื้อยาวนาน และยากลำบาก ต้องผ่านการต่อสู้หลายขั้นตอน แต่ละขั้นมีลักษณะ วิธีการ เป้าหมายเฉพาะหน้าและคำขวัญที่ต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับดุลกำลังเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตย ในปริบทนี้ แนวทางสันติของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน เป็นมิติหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และถูกกำหนดจากเงื่อนไขเฉพาะคือ ฝ่ายเผด็จการเข้มแข็งอย่างยิ่ง เพียบพร้อมไปด้วยสรรพกำลังทางกฎหมาย อาวุธ และอุดมการณ์ ควบคุมพื้นที่ทางการเมืองและภูมิศาสตร์ไว้ทั้งหมด โดยยอมเปิดพื้นที่ทางการเมืองผ่านรัฐธรรมนูญ 2550 แต่ในทางตรงข้าม ฝ่ายประชาธิปไตยยังอ่อนเล็กและถูกปิดล้อมทางการเมือง ในสภาพการณ์เช่นนี้ หนทางการพัฒนาและเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยคือ ใช้ช่องทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เปิดอยู่ให้เป็นประโยชน์ เดินแนวทางสันติเคลื่อนไหวตามสภาพและโอกาส เพื่อสะสมกำลังและขยายตัว การเดินหนทางอื่นที่มิใช่สันติในสภาพการณ์เช่นนี้ มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายประชาธิปไตย

ข้อเรียกร้องเฉพาะหน้าให้ยุบสภาจึงมีความเหมาะสมกับดุลกำลังเปรียบเทียบ ในขณะนั้นที่เผด็จการยึดกุมกลไกรัฐ รัฐบาลและรัฐสภาไว้ได้อย่างเด็ดขาด เป็นข้อเรียกร้องขั้นต่ำสุดที่มิใช่ แตกหักเผชิญหน้าไม่ใช่การขับไล่รัฐบาลหรือให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพียงแต่ให้มีการเลือกตั้งภายในกรอบรัฐธรรมนูญ 2550 จึงเป็นข้อเรียกร้องที่สมเหตุผลและมีความชอบธรรม สามารถโน้มน้าวประชาชนจำนวนมากที่แม้จะลังเลแต่ยังมีจิตใจรักความเป็นธรรม ให้หันมาสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยได้

ผู้วิจารณ์บางคนกล่าวหาว่า แนวทางสันติและให้ยุบสภาเป็น แนวทางปฏิรูปคำถามคือ แล้วสิ่งที่พวกเขาอ้างว่าเป็น แนวทางปฏิวัติคืออะไร? คำตอบหนึ่งที่ได้คือ การเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยมาเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ปัญหาคือ นิยาม แนวทางปฏิวัติที่ว่านี้ต่างจากเป้าหมายของ นปช. อย่างไร? นปช.แดงทั้งแผ่นดินมิได้กำลังต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยอยู่หรอก หรือ? ถ้าผู้วิจารณ์เหล่านี้ปฏิเสธการเรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เพื่อแก้รัฐธรรมนูญหรือนำรัฐธรรมนูญ 2540 มาปรับปรุงใช้ใหม่ โดยกล่าวหาว่า เป็น แนวทางปฏิรูปแล้วพวกเขาจะให้ประชาชนต่อสู้อย่างไร?

บางคนอ้างถึง แก้วสามประการว่าเป็น แนวทางปฏิวัติทฤษฎีแก้วสามประการเป็นบทเรียนที่สรุปมาจากประสบการณ์ในการปฏิวัติของจีน ประกอบด้วยพรรคปฏิวัติ กองกำลังติดอาวุธ และแนวร่วมทางการเมือง ทฤษฎีดังกล่าวเกิดขึ้นในปริบทเฉพาะของประเทศจีนยุค ค.ศ.1930-1949 ที่ตกอยู่ในสงครามกลางเมืองและการรุกรานจากต่างชาติ ผู้ปกครองดำเนินระบอบเผด็จการเต็มรูป ไม่มีช่องว่างทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้ฝ่ายต่อต้านได้เคลื่อนไหว ทั้งดำเนินนโยบายเข่นฆ่าจับกุมคุมขังประชาชนอย่างต่อเนื่องยาวนาน ผู้ที่อ้าง แก้วสามประการไม่มีความเข้าใจถึงรากฐานที่มาและปริบทดังกล่าว ไม่เข้าใจว่า สภาพการณ์ของประเทศไทยและลักษณะเฉพาะของขบวนการประชาธิปไตยของไทยในปัจจุบัน นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

แท้ที่จริง ผู้ที่เสนอทฤษฎี แก้วสามประการกำลังใช้ทฤษฎีดังกล่าวเป็นเครื่องอำพรางความโน้มเอียงในทาง การทหารของตน ด้วยการประเมินอย่างผิดๆ ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทยในขั้นปัจจุบัน สุกงอมแล้ว มองไม่เห็นความเป็นจริงเฉพาะหน้าที่ดุลกำลังทั้งทางการเมืองและการทหารของ ฝ่ายเผด็จการนั้นเหนือกว่าฝ่ายประชาธิปไตยอย่างที่ไม่มีทางเทียบกันได้ ความโน้มเอียงในทางทหารดังกล่าวอาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวอย่าง สุ่มเสี่ยงเพ้อฝันที่จะใช้ยุทธวิธี เผชิญหน้าแตกหักในขั้นตอนปัจจุบันไปบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีแต่จะก่อความเสียหายให้แก่ฝ่ายประชาธิปไตยเอง

3. ประเมินความโหดร้ายของฝ่ายเผด็จการต่ำเกินไป
แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน มีจุดอ่อนสำคัญคือ ประเมินความโหดร้ายของฝ่ายเผด็จการต่ำเกินไป แม้จะมีสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2553 แล้วว่า ฝ่ายเผด็จการได้ตระเตรียมแผนการและกำลังเพื่อการปราบปรามประชาชน

แกนนำบางส่วนเชื่ออย่างไร้เดียงสาว่า ฝ่ายเผด็จการจะไม่ใช้กำลังปราบปรามประชาชนอย่างแน่นอนเนื่องจากได้เรียนรู้ บทเรียนอดีตหลายครั้งแล้วว่า การใช้กำลังรุนแรงมีแต่จะทำให้ประชาชนยิ่งโกรธแค้น การต่อสู้ยิ่งลุกลามขยายออกไป ฉะนั้น หากฝ่ายประชาธิปไตยเคลื่อนไหวกดดันอย่างเหนียวแน่น ฝ่ายเผด็จการก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันมาประนีประนอมอ่อนข้อ (เช่น ด้วยการยุบสภา)

แกนนำอีกส่วนยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายเผด็จการจะใช้กำลังปราบปรามประชาชน แต่พวกเขายังคงยึดติดอยู่กับประสบการณ์จากกรณีนองเลือดพฤษภาคม 2535 โดยเชื่ออย่างลมๆ แล้งๆ ว่า หากฝ่ายเผด็จการลงมือปราบปรามประชาชน ความพยายามดังกล่าวจะล้มเหลว และในเมื่อไม่สามารถเอาชนะฝ่ายประชาชนในทางทหารได้อย่างเด็ดขาด เหตุการณ์ก็จะต้องคลี่คลายไปในรูปของ พฤษภาคม 2535” ด้วยการประนีประนอมและถอยให้กับฝ่ายประชาธิปไตย (เช่น นายกรัฐมนตรีลาออก แล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่) แกนนำส่วนนี้ไม่เข้าใจว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการในวันนี้แตกต่างอย่าง สิ้นเชิงกับเมื่อพฤษภาคม 2535 เพราะในวันนี้เป็นการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ที่ชี้ขาดความอยู่รอดของฝ่าย เผด็จการอำมาตยาธิปไตยภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และกระแสประชาธิปไตยทั้งใน ประเทศและทั่วโลก เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยครั้งที่ยิ่งใหญ่และมีลักษณะถึงที่สุดนับแต่ ปี 2475 เป็นต้นมา จึงเป็นความขัดแย้งที่แหลมคมและไม่อาจประนีประนอมกันได้

ความล้มเหลวของฝ่ายเผด็จการในการใช้กำลังปราบปรามประชาชนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 กลับยิ่งไปตอกย้ำการประเมินที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงดังกล่าวทั้งใน หมู่แกนนำและในหมู่มวลชนมากยิ่งขึ้น

กรณี 10 เมษายน 2553 ก่อให้เกิดความโกรธแค้นและมุ่งมั่นในหมู่มวลชนที่จะยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่ สุด และมีผลทางลบที่สำคัญคือ ทั้งแกนนำและมวลชนจำนวนมากประเมินภัยอันตรายจากฝ่ายเผด็จการต่ำลงไปอย่างมาก เกิดความเชื่อโดยทั่วไปว่า ฝ่ายเผด็จการได้ประสบความพ่ายแพ้ทางทหารและสูญเสียขวัญกำลังใจอย่างมาก จนไม่มีทางที่จะใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนได้อีก พวกเขาประเมินดุลกำลังทางการเมืองและการทหารของฝ่ายประชาธิปไตยอย่างไม่เป็น จริง เกิดกระแส ความโน้มเอียงทางการทหารขึ้นสูงทั้งในหมู่แกนนำและมวลชนบางส่วน และเมื่อฝ่ายรัฐบาลรุกกลับทางการเมืองด้วยการเสนอ แผนปรองดองห้าข้อแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ก็ต้องเผชิญกับคู่ความขัดแย้งใหญ่ทางยุทธศาสตร์ที่พวกเขาไม่สามารถแก้ให้ตก ได้คือ ความขัดแย้งระหว่างการยึดแนวทางสันติและให้ยุบสภาในด้านหนึ่ง กับความต้องการของแกนนำบางส่วนและมวลชนที่มุ่งเผชิญหน้ากับเผด็จการโดยตรง และทันทีในอีกด้านหนึ่ง

การเมืองเพื่อประโยชน์ใคร?


Thu, 2010-07-29 21:54

กฤษณะ ฉายากุล

29 กรกฎาคม 2553

เรื่องของการเมือง ไม่ว่าระดับชาติ หรือระดับท้องถิ่นก็ตาม ล้วนมีบทบาท และมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งกติกาสำคัญในการกำหนดบทบาทของผู้มีอำนาจทางการเมืองนั้น ก็จะมีกฎหมายต่างๆนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายเฉพาะที่ได้ประกาศบังคับใช้ไว้ โดยรัฐบาลในแต่ละยุคสมัยจะเป็นผู้กำกับดูแลเพื่อให้กฎหมายนั้น มีประโยชน์ต่อประชาชน ต่อการพัฒนาประเทศชาติ หรือท้องถิ่น หรือว่าให้มีประโยชน์ต่อนักการเมืองอย่างไร

สำหรับกฎหมายที่ประกาศบังคับใช้ไปแล้วนั้น ประชาชนจะปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายเหล่านั้นก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้ว่าข้อความเหล่านั้นในกฎหมายได้กำหนด หรือบัญญัติไว้อย่างไร และก่อนที่กฎหมายเหล่านั้นจะประกาศบังคับใช้ ได้มีการเสนอร่างของกฎหมายนั้นให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ต่อคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมายซึ่งจะต้องนำเอาไปสรุปรวบรวม ก่อนตัดสินใจในการกำหนดข้อความให้กฎหมายเป็นไปตามความต้องการของประชาชน

ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีทั้งหมด 132 มาตรา เป็นกฎหมายสำคัญอีกฉบับหนึ่ง ที่รัฐบาลจะต้องนำเข้าไปสู่การประชุมของรัฐสภาและอยู่ในระหว่างการรับฟัง ความคิดเห็นจากประชาชน หัวข้อสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการกำหนดบทบาทหน้าที่ในการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในความของมาตรา 59 ของร่างกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดข้อความไว้อย่างน่าสนใจว่า

มาตรา 59 ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีผู้บริหารท้องถิ่นคนหนึ่งซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตาม กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น

ให้ผู้บริหารท้องถิ่นดำรงตำแหน่งนับแต่วันที่มีการประกาศผลการเลือก ตั้ง และมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้

การพ้นตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้ถือว่าเป็นหนึ่งวาระ เว้นแต่เป็นการพ้นจากตำแหน่งเพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่

ข้อความเหล่านี้ ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไร ก็สามารถนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการพิจารณากฎหมาย ผ่านไปทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตรงทางจดหมาย หรือทางอินเตอร์เน็ต www.krisdika.go.th

ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งกฎหมายสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2546) มาตรา 58/2 กฎหมายเทศบาล พ.ศ.2496 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2546) มาตรา 48 และกฎหมายองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 35/2 ได้เคยกำหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกเทศมนตรีที่บริหารงานเทศบาลทุกประเภท และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จะต้องดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปีนับแต่วันเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองวาระไม่ได้ แต่ข้อความนั้นได้ถูกแก้ไขในสมัยของรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในเดือนพฤศจิกายน 2552 ทำให้สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันกี่วาระก็ได้

และในโอกาสนี้ ประชาชนเจ้าของประเทศมีความต้องการให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าสองวาระหรือไม่อย่างไร...

เพ็ญ ภัคตะ:"ราช..ประสงค์"


"เราเห็นคนตาย" กระจายกลาด
ท่อนแขนขาขาด ณ ราชประสงค์
ปืนจ่อชีพปลิดจิตปลง
เกณฑ์คนขังกรงใต้บาทา

มือเขย่าเท้าตบกระแทกปัด
จับมัดไพล่หลังดั่งทาสา
เลือดสาดแดงสายเต็มสองตา
เผชิญหน้าอำนาจประกาศเตือน

"... ประสงค์โลหิตกี่ห้วงสมุทร
ล้างคาวไพร่ทุษสถุลเถื่อน
สังเวยกี่ศพจึ่งลบเลือน
บิดเบือนรอยบาปคราบทมิฬ"



ใจหนอสำเหนียกรู้สำนึก
ความคิดตกผลึกดังแผ่นหิน
รอฟ้าหลั่งฝนเพื่อฟื้นดิน
ยิ่งร้องยิ่งดิ้นถูกกินโกง

เหตุไรเมืองไทยไม่ก้าวหน้า
เชื่องช้าล้าหลังยังงมโข่ง
โครงการทั้งมวล ล้วนเชื่อมโยง
ผีห่าตายโหงร่วมโกงกิน

ยิ่งคิดครวญใคร่ในขณะ
สภาวะหดหู่มิรู้สิ้น
ประชาธิปไตยไม่ยลยิน
ผู้นำปล้อนปลิ้นไปวันวัน

“... ประสงค์เลือดเนื้อ กี่เหงื่อหยาด
เยี่ยงควายคล้ายทาส หวาดกระสัน
ปิดหูปิดตาประชาทัณฑ์
อย่าฝันถึงโลกศิวิไลซ์



แหงนมองตึกรามโอฬาริก
กระดิกพลิกจิตคิดขึ้นได้
อาคารย่านนี้เป็นของใคร
ผูกขาดครอบไว้เพียงผู้เดียว

ตึกเซ็นเทรัลเวิร์ลด์ ที่ถูกเผา
แท้ความโฉดเขลา แค่เศษเสี้ยว
สัญญาณมรณะ ยังอีกเลี้ยว
สะบั้นขาดเกลียว เรียวไตรรงค์

เราผูกผ้าแดงบนแท่งเสา
แทนเงาพินาศ ราชประสงค์
ปักป้ายหายวับกับผืนธง
ดำรงอยู่เพียงเสียงศพครวญ

คำ:เพ็ญ ภัคตะ
ภาพ:RED USA
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓

"ปกขาวเปลือยไทย" โดย กาหลิบ


วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ปกขาวเปลือยไทย
โดย : กาหลิบ

ใน สมัยหนึ่ง เราเรียกวรรณกรรมโป๊เปลือยที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษว่า หนังสือปกขาว ขายหลบซ่อนอยู่แถวแผงหนังสือสนามหลวง สวนจตุจักร และที่อื่นๆ มาภายหลังเมื่อโลกตะวันตกเกิดนิยมเรียกเอกสารหรือหนังสือประเภทเปิดเผยความ ลับที่โด่งดังทั้งหลายเหล่านี้ว่า white paper เราจึงแปลคำนี้อย่างเหนียมๆ เสียใหม่ว่า สมุดปกขาว เพื่อรักษาความหมายเดิม ขณะเดียวกันก็มิให้ใจประหวัดไปถึงวรรณกรรมอีโรติคชนิดฝนตกตลอดเวลา

สมุด ปกขาวฉบับล่าสุดเป็นฝีมือของทีมงานบริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองระหว่างประเทศ ภายใต้ชื่อ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม คนที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จ้างให้ทำหน้าที่เปิดช่องสื่อสารกับโลก เพื่อนำประเด็นของฝ่ายประชาธิปไตยไทยออกไปดวลดาบกับฝ่ายตรงข้าม

เมื่อได้อ่านเอกสารภาษาอังกฤษยาว ๗๗ หน้าที่เขียนในสไตล์เอกสารทางวิชาการแล้ว สิ่งแรกที่รู้สึกคือทีมนี้เขาคิดอะไรเป็นระบบระเบียบดี

อธิบายปัญหาการเมืองไทยได้ค่อนข้างครบ โดยไม่ยกเว้นผู้ที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังการเมืองไทยเลยแม้แต่คนเดียว

เพียงแต่เอ่ยถึงสวรรค์ก็ระวังหน่อย ตามประสาของคุณทักษิณฯ

ฝ่ายตรงข้ามออกมาหยามเหยียดกันตามบท บ้างพยายามเร้ากระแสชาตินิยมว่าเป็นการชี้โพรงให้กระรอก (ต่างชาติ) หรือสาวไส้ให้กากิน

แต่ เสียงตอบโต้ที่เถียงกลับได้ยากคือ งานของนายอัมสเตอร์ดัมนั้น ถึงจะดีเลิศประเสริฐเพียงไหน ก็เป็นงานรับจ้างเขียนโดยเงินของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย

น้ำหนักจึงลดลงมากในสายตาของคนที่มองอย่างเอาจริงเอาจัง

ถึง ขนาดว่าไม่อ่าน ซึ่งทำให้ขาดอรรถรสในการต่อสู้ไปมาก เพราะสมุดปกขาวเล่มนี้มีคุณค่าทางสาระมาก เอาไปใช้ประโยชน์ต่อได้เยอะสำหรับคนที่พร้อมสู้ยาว

พูดง่ายๆ คือ สาระดี แต่สถานะไม่สู้จะดีนัก

เรื่อง นี้ควรเป็นบทเรียนสำหรับองค์การนำและผู้นำของฝ่ายประชาธิปไตยไทยเป็นอันมาก เลือกใครมาทำงานสักคน ก็ต้องเหมาะกับสนามต่อสู้และปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้นั้นๆ

การ รณรงค์เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่อาจทำได้เฉพาะในกลุ่มนักเลือกตั้งที่หวังการเลือกตั้งเป็นที่พึ่งในชีวิต ของตน บวกกับนักอธิบายความรับจ้าง แต่จะต้องสร้างกระแสความร่วมมือจากเครือข่ายเพื่อประชาธิปไตยอื่นๆ ที่พร้อมต่อสู้กับระบอบโบราณโดยไม่ได้หวังจะได้รางวัลผ่านการเลือกตั้งหรือ มิได้หวังเงินจากคุณทักษิณฯ และจากครอบครัวชินวัตร

ตัวอย่างง่ายๆ คือหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ กลุ่มต่อต้านเผด็จการที่งอกขึ้นกลางสนามหลวงหลายกลุ่ม ไม่ได้มาจากเงินของฝ่ายการเมืองหรือจากฝีมือของนักเลือกตั้งเลย แต่เกิดจากจิตสำนึกของชาวประชาธิปไตยที่พร้อมยอมสู้ โดยไม่เคยถามเลยว่าเงินค่าใช้จ่ายมาจากไหน และใครคือผู้นำในการต่อสู้

สู้กันอย่างซำเหมา อย่างบ้านๆ โดยไม่เคยได้รับเงินแม้เพียงเศษเสี้ยวของนายอัมสเตอร์ดัม

อย่า ลืมนะครับว่า กว่านักการเมืองสังกัดไทยรักไทยจะออกมารณรงค์กันในคราวนั้น เสียเวลาไปกี่เดือนกี่ปี ชาวบ้านเขาออกมาสู้ก่อนและสู้จริงกันทั้งนั้น

ระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมาถูกรักษาไว้ด้วยคนชนิดนี้

วันนี้ จึงถือโอกาสติงกันอีกคำรบหนึ่งว่า สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าเอาแต่พรรคพวกและคนใกล้ตัวโดยไม่คิดสนับสนุนเครือข่ายเพื่อประชาธิปไตย ที่แท้ สุดท้ายก็จะเหลืออยู่แค่นั้น

มองกันตาปริบๆ ก่อนจะจมน้ำหายไป

สู้กับระบอบเผด็จการโบราณ ต้องมีศรัทธาในพลังของมวลมหาประชาชนอย่างเต็มเปี่ยม.

--------------------------------------------------------------------------------

Nangfa

การเคื่อนไหวของ สิทธิมนุษยชน ของลาว ที่ นครหลวงวอชีงตันดีชี



การเคื่อนไหวของ สิทธิมนุษยชน ของลาว ที่ นครหลวง วอชีงตันดีชี พายในเดือนนี้ อีงตาม (วอ ระ สาร) ของ จีน ที่ นิวยอก ลงข่าว. เอามาแบ่งปัน ให้พี่น้องดู, ทุกฯอย่าง ไทยก็แฝงตัวไปด้วยกัน (กอ ระ นี ที่ยัง บ่อ มี ไทย มนุษยชน) เวียตนามเสรี และจีนเสรี พร้อมลาว เสรี เดีน เคียงคู่ กันไป นะครับ.

http://cdjweb.org/cdj29/images/b2.jpg


จากศึกเขาพระวิหาร โยงกันจนมาถึง ศึกนอกและศึกในแวดวงศ์เทวดา

อ่างขาง


มันอะไรกันนักหนา เรื่องเขาพระวิหาร ข้อมูลมันมั่วไปหมด พันธมิตรปิดถนนประท้วงกันยืดเยื้อทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าประท้วงใคร ประท้วงทำไม

จากเหตุผลที่ออกมาประท้วงครั้งนี้ จับใจความได้ว่า
1.ไทยเสียดินแดนไปแล้ว 4.6ตร.กม.
2.ไทยกำลังจะเสียดินแดนต่อไปอีกหลายล้าน ไร่
3.เส้นแบ่งเขตุทางทะเล ทำให้ไทยเสียเปรียบอีกมหาศาล

มาดูบทวิเคราะห์กัน

ถามว่า..ทำไมถึงคิดว่าไทยจะเสียดินแดนทั้งหมดดังที่กล่าวมา
คำตอบ..ก็เพราะ เขมรกำลังเสนอแผนบริหารพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ต่อ ยูเนสโก ที่ได้จดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไปแล้ว

ถามว่า..แผนบริหารพื้นที่ฯแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย กับที่ไทยจะต้องเสียดินแดนไปมากมายขนาดนั้น
คำตอบ..เกี่ยวตรงที่แผนที่พรหมแดนเส้นแบ่งเขตุที่เสนอไปนั้น เขมรได้เอาแผนที่ฉบับที่ฝรั่งเศสทำให้ แนบไปด้วย (ที่เราเรียกกันว่าแผ่นที่1: 200,000) ซึ่งแผนที่ฉบับนั้น ดินแดนในเขตุภาคตะวันออกทั้งหมดตั้งแต่ ศีรษะเกศ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ที่เป็นพื้นที่ทางบก จะกลายเป็นของเขมรรวมแล้วหลายล้านไร่ สิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานต่างๆในบริเวณนั้นเกือบทั้งหมดจะตกไปเป็นของ เขมรด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้น แนวลากเส้น จากฝั่งออกไปเป็นมุมฉากออกไปสู่ทะเลก็จะเปลี่ยนไป แหล่งพลังงานในทะเลที่ค้นพบเกือบจะทั้งหมดก็จะกลายเป็นของเขมร

ถามว่า..ทำไมถึงคิดไปไกลขนาดนั้น ว่าเขมรคิดแบบนั้น
คำตอบ..ก็ตอนที่มาร์คเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เออออห่อหมกเอาไว้แบบนี้ ว่าไทยกำลังจะเสียดินแดนให้กับเขมรด้วยจินตนาการที่ คุณสนธิลิ้ม จินตนาการเอาไว้เล่นงานท่านสมัครและคุณนภดล กล่าวหาว่าเขาขายชาติ ออกมาขับไล่ ก็ต้องเลยจิตนาการต่อไป เพื่อไม่ให้ใครกล่าวหาได้ว่ามาร์คหลักลอย

ถามว่า..แล้วเรื่องจริงเป็นอย่างไร
คำตอบ.. จะเป็นอย่างไร ก็เมื่อปี2505ไทยโง่เองว่าความแพ้เขมร ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารกลายเป็นของเขมร แล้วทำไงได้ไทยก็ต้องถอยกลับยกปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรเขาไป
และเมื่อปี2543 รัฐบาลไทยโดยนายกฯชวน ได้ทำบันทึกข้อตกลงระหว่างไทยกับเขมร ในบันทึกฉบับนั้นไทยยอมรับแผนที่1: 200,000 ไว้แล้วเหมือนกัน แล้วจะเอาเหตุผลอะไรมาหักล้างเขาอีก

คำถาม.. แล้วทำไมรัฐบาลไม่ยกเลิกบันทึกข้อตกลงฉบับปี2543 นั้น
คำตอบ.. ยกเลิกไม่ได้เพราะถ้ายกเลิก ก็จะกลายเป็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นต้นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดนไปจริงๆ คนทั่วไปก็จะรู้หมด ทุกวันนี้ก็โทษทักษิณ โทษสมัคร โทษนภดล ก็ดีอยู่แล้ว

คำถาม..พันธมิตรมันพูดทุกวันว่าปชป.ทำให้ไทยเสียดินแดน มันด่านายกฯทุกวันโดยเฉพาะสนธิลิ้มเอง มันอธิบายเป็นฉากๆว่ามาร์คกะล่อนอย่างไร พลิ้วอย่างไร มันฟันธงไปนานแล้วว่า แท้จริง ปชป.เองนั่นแหละเป็นผู้ที่ทำให้ไทยเสียดินแดน มันท้าดีเบส อยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ดีเบสกับมัน
คำตอบ.. นั่นมันสนธิและพันธมิตรพูด มีแต่คนกินหญ้าเท่านั้นที่เชื่อ และม็อบทั้งหมดของมัน ปชป.ก็เป็นคนจัดให้ทั้งนั้น อาจจะมีบ้างก็คนของสันติอโศก ดังนั้นอย่าวิตก ยังไงคนทั่วไปก็ยังเชื่อพรรคปชป.อยู่เหมือนเดิม ม็อบก็มีเท่าที่เห็นมันอยู่ได้อยู่ไป

คำถาม..แล้วทำไมนายกฯเพิ่งจะตื่นออกมาทำเสียงแข็งใส่เขมรบ้าง ทั้งที่เขมรเขาจวนจะทำสำเร็จแล้ว ไม่สายเกินไปหรือ
คำตอบ.. ก็ทำเสียงแข็งเป็นพิธีอย่างนั้น ให้รู้ว่ารัฐบาลมาร์คก็รักประเทศไทยเหมือนกันเท่านั้น ไม่มีอะไรมาก

คำถาม..แล้วจะจัดการยังไงดีกับเรื่องเขมร และม็อบ ซึ่งในเมื่อขณะนี้มี พรก. ฉุกเฉินอยู่
คำตอบ..ไม่จัดการอย่างไรทั้งนั้นเพราะไทยไม่ได้เสียดินแดนเลย ทั้งหมดมันเป็นแค่วาทกรรมที่มาร์คกับสนธิร่วมกันสร้างไว้ในอดีตเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง
ส่วนเรื่องม็อบต้องปรึกษาพี่เนรวินอีกทีจะเอาอย่างไรดี ตอนนี้ยังทนได้ ยังไม่ถึงกับต้องกระชับพื้นที่ ขอพื้นที่คืน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้าน รัฐบาลยังไม่เดือดร้อน
พรก.มันขึ้นอยู่กับความพอใจ ใช่ได้กับคนเสื้อแดงส่วนพวกนี้มันลูกเทวดา ยอมมันไปชั่วคราวก่อน
ถ้าวันใดมายึดหน้าทำเนียบโดนแน่ ขนาดคนพิการยังไม่เลี้ยง เห็นไหม ไล่กระเจิงไปเลย มาเรียกร้องอะไรกันนักหนา

คำถาม..นายกฯกล้าแตกหักกับพันธมิตรจริงหรือ
คำตอบ..พวกมันมีอะไรดีกว่ามาร์ค มันเป็นใคร หลานเขยหรือจะสู้ลูกเขย แล้วทำไมจะไม่กล้าแตกหัก ถ้าจำเป็น

คำถาม.. เหวออออ ลุลุลูลูลูกเขยใคร?
คำตอบ.. ~~~~~~~~~~~~~

สรุป มาบัดนี้ ลิ้มไม่อยู่ในสายตาไปแล้ว จากหลานโปรดเมื่อมาเจอกับลูกรัก อย่าว่าแต่เอาเรื่องเขตุแดนไทยมาเล่นเลย ต่อให้เอาเรื่องอื่นที่หนักหนาสาหัสมากกว่านี้มาเล่น มาร์คก็ไม่กระเทือน
ดังนั้นจงอย่าได้หวัง

แท้จริงเรื่องพรหมแดนเป็นเช่นไร
คำตอบเป็นเช่นนี้
ประเทศไทยจะเสียดินแดนไปได้อย่างไร ใครที่ไหนจะมาเอาไปได้ ถ้าเราไม่ยอมก็คือไม่ยอมแค่นั้น ถ้าจะมีเรื่องก็ต้องมีเรื่อง เช่น เกาะฟอร์คแลนด์ อังกฤษรบกับอาเจนตินาเหตุเพราะต่างคนก็แสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อสองประเทศตกลงกันไม่ได้ก็รบกัน ไม่เห็นมีศาลโลกที่ไหนมาตัดสินว่าเป็นของใคร ผู้นำประเทศไทยปัญญาอ่อนไปเองกลัวกระทั่งนิยายที่ตนเองแต่ง ดูอดีตนายกฯ(ทักษิณ)กล่าวไว้ซิยูเอ็นไม่ใช่พ่อ
ตัวอย่างที่เห็นชัด ญี่ปุ่นกับรัสเซียมันตกลงกันได้หรือยัง จีนกับไต้หวันมันตกลงกันได้หรือยัง หลายอีกหลายประเทศยังคาราคาซังกันแบบนี้ ไม่มีวันหมด มีใครประเทศไหนพึ่งศาลโลกบ้าง
ที่ตกลงกันได้บ้างก็เพียง ประโยชน์ทางทรัพยากรร่วมกันเท่านั้นเช่นไทยกับมาเลเซีย

ดังนั้นถ้าจะบอกว่าไทยจะเสียดินแดนให้กับเขมรเพราะเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดก โลกของปร
าสาทพระวิหาร กับ การเสนอแผนบริหารพื้นที่โดยรอบต่อยูเนสโกนั้น
ไม่เป็นความจริงเลย คิดไปเองทั้งนั้น กลัวนิยายที่ตนเองเขียนเอาไว้เอง

มันประท้วงยูเนสโก แล้วเขาจะให้ปราสาทพระวิหารคืนหรือ? แล้วเขาทำได้ไหม? ทั้งหมดมันประท้วงใคร ประท้วงทำไม มันยังหาคำตอบตนเองไม่ได้เลย
เขตแดนมันคนละเรื่องกับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกใครที่ไหนจะกล้ากรีฑาทัพมายึดผืนดินของไทย นอกเสียจากว่าเราจะยกให้เขาเองเท่านั้น

ที่ปั่นกระแสกันทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อ เรียกคะแนนจากการสมัครรับเลือกตั้ง สก. สข. ในกทม.ของพรรคการเมืองใหม่เท่านั้น
พรรคการเมืองใหม่จะเอาคะแนนที่ไหนมาถ้าไม่ใช่เอามาจากฐานเดิมของพรรคปชป.

กระทุ้งมาร์คม.7เลิกคุกคามเสรีภาพม.5เชียงราย



เมื่อ วานนี้ ได้มีการบรรยายพิเศษเรื่อง "สนทนากลางฝุ่นตลบหลังเดือนพฤษภา:ประเด็นและคำถามจากเหตุการณ์พฤษภา อำมหิต"โดย ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล จัดโดย ภาคประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และได้มีแถลงการณ์ของนักศึกษาอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องกรณีนักเรียนนักศึกษาเชียงรายถูกจับกุม หลังจากถือป้าย"ผมเห็นคนตายที่ราชประสงค์" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

แถลงการณ์
หยุด! ข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพของนักเรียน-นักศึกษาจังหวัดเชียงราย
รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องยกเลิกพรก.ฉุกเฉินโดยทันที

สืบ เนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นักศึกษาราชภัฏเชียงราย 2 คน นักศึกษา ม.แม่ฟ้าหลวง 2 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา 1 คน ได้ร่วมกันทำกิจกรรมโดยการไปถือป้ายแสดงข้อความต่างๆ ที่บริเวณตลาดสดเทศบาล 1 หอนาฬิกา จังหวัดเชียงราย โดยการแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับการคงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกรณีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ บริเวณแยกราชประสงค์เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 โดยป้ายระบุข้อความ อาทิ
ผม เห็นคนตายที่ราชประสงค์, นายกครับอย่าเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นะครับไม่งั้นรัฐบาลจะพัง, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ ฯลฯ


ต่อมา นักเรียนและนักศึกษาทั้งหมดโดนหมายเรียกในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ข้อหา “ชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยง ให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”

เหตุการณ์ดังกล่าว สะท้อนถึงการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ อำนาจเผด็จการ โดยมีพรก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือทางการเมือง กระทำการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของนักเรียนและนักศึกษาในจังหวัดเชียงราย ในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นอิสระ อันเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่พึงมีในระบอบประชาธิปไตย

เราไม่ เห็นด้วยกับการใช้อำนาจข่มขู่คุกคามกับนักศึกษา นักศึกษา อันเป็นปัญญาชน ที่มีพลังบริสุทธิ์ เรียกร้องสิทธิเสรีภาพในแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่กลับถูกคุกคามโดยรัฐบาล ซ้ำร้ายยังจะเอาผิดถึงขั้นเข้าสถานพินิจเด็กและเยาวชน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดทางอาญา แต่อย่างใด

เรามีความคิดเห็นว่า นักศึกษาเป็นพลังขับเคลื่อนของสังคม ที่เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นลูกหลานของคนไทย ซึ่งไม่ควรตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจเผด็จการ และเราขอเรียกร้องต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ ดังนี้
1 ยุติการดำเนินคดี ข่มขู่ คุกคาม นักเรียน นักศึกษาจังหวัดเชียงรายทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข
2 ยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน เครื่องมือของเผด็จการโดยทันที คืนสิทธิเสรีภาพให้ประชาชน ตามหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


ลงนามโดยอาจารย์ และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

บทความ:ผมเห็นเด็กกำลังจะตายเพราะ พรก.ฉุกเฉินที่เชียงราย



โดย ชำนาญ จันทร์เรือง

ไม่ มีความอัปยศอดสูใดใดในการบังคับใช้กฎหมายในช่วงชีวิตของผมที่ได้เห็นการตั้ง ข้อหากับเยาวชนและเด็กที่แสดงออกทางการเมืองที่มีรัฐธรรมนูญรองรับ

ด้วย ข้อหาฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯกับนายธนิต บุญญนสินีเกษม แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย นายกิตติพงษ์ นาตะเกศ อายุ 24 ปี และนายนิติ เมธพนฎ์ อายุ 23 ปี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ นายเอกพันธ์ ทาบรรหาร อายุ 19 ปี นาย สาทิตย์ เสนสกุล อายุ 19 ปี จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเด็กอายุ 16 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย

ใน ชั้นแรก ศอฉ. แถลงว่าการจับน.ร.-น.ศ.ทั้ง 5 คนเนื่องจากมีความผิดพ.ร.บ.การจราจรฯ แต่ความจริงแล้วตามบันทึกแจ้งข้อหาของ สภ.เมืองเชียงราย ระบุไว้ชัดเจนว่าถูกจับเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามมาตรา 9 (1) และ (2) คือ ห้ามไม่ให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย และ ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือการทำให้แพร่หลาย ซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจน กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร

ทั้งที่ข้อความที่นักเรียนและนักศึกษาทั้ง 5 คนถือไม่ได้มีข้อความใดเลยที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวเลย

ข้อความที่ว่า คือ

ผม เห็นคนตายที่ราชประสงค์” “นายกครับอย่าเลิก พรก.ฉุกเฉินนะครับ ไม่งั้นรัฐบาลจะพังและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องคงไว้เพื่อไม่ให้ความจริงปรากฏ

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ถึงแม้ไม่ได้เรียนกฎบัตรกฎหมายมาเลยก็ย่อมที่จะรู้ว่าหามีความผิดตามกฎหมายใดใด

ไม่ แม้แต่ พรก.ฉุกเฉินฉบับนี้ที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่เจ้าหน้าที่เองก็ตาม มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ยังส่งตัวนักเรียนชายผู้นั้นไปยังสถานพินิจฯเสียอีกแต่ สถานพินิจฯให้เด็กชายผู้นั้นไปพบพนักงานคุมประพฤติเซ็นต์ชื่อแล้วแจ้งว่าใน วันที่ 30 ก.ค.53 ให้เด็กชายผู้นั้นกลับไปยังสถานพินิจอีกครั้งหนึ่ง

นอก จากการใช้อำนาจที่เกินเลยในการตั้งข้อหาแก่เด็กและเยาวชนดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีการคุกคาม ผู้ถูกกล่าวหาด้วยการเข้าไปถ่ายภาพและยึดโน้ตบุ๊กของเด็กชายผู้นั้นไปอีก

และ จากรายงานข่าวของข่าวสดออนไลน์ประจำวันที่ 25 ก.ค.53 รายงานข่าวจากคณะทำงานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความพยายามจากนายทหารยศพันตรี สังกัดจังหวัดทหารบกเชียงราย ไปติดต่อเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งในเชียงรายให้ไปกล่อมนักเรียนและ นักศึกษาทั้ง 5 คนให้สารภาพว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดถูกว่าจ้างจากนายธนิต แกนนำกลุ่มพลังมวลชนเชียงราย แล้วจะช่วยให้ทั้ง 5 คนพ้นข้อกล่าวหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

แต่น.ร.-น.ศ.กลุ่มนี้บอกปฏิเสธไป เนื่องจากไม่เป็นความจริง

การ ดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำ ของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้กับเด็กเพื่อที่จะสร้างผลงานโดยไม่คำนึง ถึงหลักมนุษยธรรม โดยใช้วิธีข่มขู่ให้เด็กและผู้ปกครองกลัวในสารพัดวิธีแทนที่จะปฏิบัติต่อ เด็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ด้วยเมตตาธรรม

จากประสบการณ์ในชีวิตของผมที่ ล่วงพ้นวัยกึ่งศตวรรษมาหลายปียังไม่เคยพบเห็นการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนเช่นในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่อยู่ในภาวะของการปฏิวัติรัฐประหารก็ตาม ก็ยังไม่เคยมีการตั้งข้อหาแก่เด็กนักเรียนที่ถือป้ายแสดงความคิดเห็นทางการ เมืองในผืนแผ่นดินที่ผู้ปกครองของรัฐได้แต่พร่ำบอกว่าปกครองบ้านเมืองด้วย นิติรัฐเช่นนี้

คำว่านิติรัฐนั้นความหมายโดยย่นย่อคือการปกครองด้วย กฎหมาย แต่ในความหมายที่แท้จริงคือการปกครองด้วยหลักกฎหมาย เพราะถ้าไม่ยึดถือหลักกฎหมายแล้วคณะปฏิวัติรัฐประหารที่เป็นเผด็จการทั้ง หลายก็ออกกฎหมายมาบังคับใช้เอากับราษฎรเช่นกัน

หลักกฎหมายที่ใช้กับ หลักนิติรัฐที่ว่าว่านี้ก็คือการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารต้องชอบด้วยกฎหมาย ที่อออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติและทั้งการกระทำใดใดของฝ่ายบริหารและการออกกฎหมาย ของฝ่ายนิติบัญญัติต้องไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารไม่ให้ใช้เกินกว่าขอบเขตความ จำเป็นนั่นเอง

การใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินฯของรัฐบาลชุดนี้ไม่ว่าจะเป็นการปิดสื่อ อายัดธุรกรรมทางการเงิน จับบุคคลไปคุมขังหรือเรียกบุคคลที่แสดงออกทางการเมืองไปชี้แจงนั้นขัดรัฐ ธรรมนูญอย่างชัดแจ้งเพราะจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกินกว่าเหตุตามมาตรา 29 และยังขัดต่อมาตรา 27 ที่คณะรัฐมนตรีต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นหลักอยู่ เสมอ

ป่วยการที่แกนนำของรัฐบาล ตลอดจนรองเลขา ครม.ที่พร่ำบอกอยู่เสมอว่าการบังคับใช้ พรก.ฉุกเฉินฯนี้สุจริตชนไม่เดือดร้อน ตัวอย่างนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่สุจริตชนได้รับความเดือดร้อน เพราะเหตุไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้ เพราะเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด และเสรีภาพนั้นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์จะยอมสูญเสียก่อนชีวิตของตนเองจะ สูญเสียไป

อันที่จริงแล้วการเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้หรือการ ประกาศสถานการณ์ตาม พรก.ฉุกเฉินฯนั้นยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพเสรีภาพของ บุคคลด้วยซ้ำไป ในระยะยาวแล้วตัว พรก.ฉุกเฉินฯเองก็มีปัญหาตั้งแต่เริ่มร่างกฎหมายตั้งแต่แรกแล้ว ดังจะเห็นได้จากการต่อต้านจากหลายๆองค์กร จนมหาวิทยาลัยเที่ยงถึงกับทำการเผาร่างกฎหมายฉบับนี้จนเป็นข่าวเกรียวกราวมา แล้ว

หลายคนกังวลว่าหากเลิก พรก.ฉุกเฉินฯไปแล้ว จะเอากฎหมายอะไรมาใช้ ผมเห็นว่าปกติกฎหมายธรรมดาก็เพียงพออยู่แล้ว หากเห็นว่ากฎหมายธรรมดาไม่เพียงพอก็ยังกฎหมายอีกสองฉบับที่มีอานุภาพไม่ยิ่ง หย่อนไปกว่า พรก.ฉุกเฉินฯมากนักก็คือ พรบ.กฏอัยการศึกฯและ พรบ.ความมั่นคงฯนั่นเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเป็นฝ่ายทหารและกอ.รมน.เท่านั้นเอง(ซึ่ง เป็นเหตุผลหนึ่งที่นายกฯฝ่ายพลเรือนและตำรวจไม่ถูกใจนัก)

หาก ยังขืนคง พรก.ฉุกเฉินฯต่อไปอีก ผมว่าหมอฟันคงต้องตกงานหรือปิดคลินิกกันเป็นระนาวแน่ เพราะแค่นี้ประชาชนคนไทยก็อ้าปากกันไม่ค่อยได้อยู่แล้วครับ

----------------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 27 ก.ค.53

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 7/29/2010 02:08:00 ก่อนเที่ยง

ยุคแดกด่วน!

Porsche

โดย นายหัวดี

จะฉงนสงสัยหรือฉงฉัยว่า ทำไม “เจ๊เป็ด” หมดเวลากลับไปเลี้ยงหลานแล้วยังโผล่มาทำงานอีก

ไม่มีคำตอบ เพราะมีแต่เรื่องคดีความของ “เจ๊เป็ด” ที่วันนี้ไม่รู้ว่าเงียบหายไปไหน
แต่วันใดที่ “เจ๊” ต้องจากไป
ก็เชื่อว่าคดีความต่างๆที่เคยมีอำนาจนั่งทับไว้นั้นจะออกมาให้เห็นกันเป็นระลอก
เพราะสิ่งที่ “เจ๊” ทำกับผู้คนทั้งในและนอกรั้วนั้นมีมากมาย

เกริ่นไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้บรรดา “ขี้ข้าประชาชน” ได้ตระหนักว่าเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญนั้น “ไม่จีรัง”

ดังนั้น เมื่อมีอำนาจก็อย่าเหิมเกริมใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
หรือกอบโกยแต่ผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง
เพราะเมื่อหมดอำนาจ แม้จะใหญ่โตแค่ไหน
หากไม่มี “ความดี” เป็นเกราะคุ้มครองก็ไม่ต่างอะไรกับ “เสือเอ๋ง”
ที่จะถูก “ชำระแค้น” หรือไม่พ้น “กฎแห่งกรรม” ที่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

เช่นเดียวกับข่าวอื้อฉาวในกองทัพขณะนี้ ทั้งที่เรื่องฉาวเดิมยังไม่ได้สะสาง
แต่กลับโผล่เรื่องฉาวสดๆใหม่ๆขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการขออนุมัติตั้งกองพลใหม่
หรือการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆในกองทัพ
ซึ่งเป็นยุคที่กองทัพต้องรีบกอบโกย
เพราะมีบุญคุณที่คุ้มหัว “สัตว์การเมือง” ไม่ให้ตกนรกหมกไหม้เพราะ “กรรม”

จึงเป็นยุคที่กองทัพจะทำอะไร ขออะไร
ถ้าไม่มีใครเอา “คานมาสอด” หมูก็ถูกชำแหละเป็นหมูกรอบผัดกะเพราไปเรียบร้อยแล้ว

“สัตว์การเมือง” ยุคนี้จึงไม่ต่างอะไรกับ “ลิง 3 ตัว” ที่ต้องปิดปาก ปิดตา และปิดหู
เพื่อไม่ให้ถูกเตะออกจากอำนาจ “ใครใคร่โกง-โกง ใครใคร่ฆ่า-ฆ่า”

จึงเป็นยุค “แดกด่วน” ที่ไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมาย เพราะ “ย.ยักษ์” หล่นหายไปชั่วคราว

นอกจาก “สัตว์การเมือง” ที่หิวโซกินไม่เลือกตั้งแต่ปลากระป๋องยันถนนแล้ว
รั้วของประชาชนยังสนุกสนานกับการถลุงภาษีประชาชน
ตั้งแต่ “ไม้ล้างป่าช้า” ยัน “เรือเหาะ” ที่ดัน “ไม่ยอมเหาะ” หรือเหาะเหมือน “ลูกโป่งสวรรค์”

อย่าง “จอห์น วิญญู” ดีเจเจาะข่าวตื้นสุดฮอต
ที่มาพร้อมคลิปสุดฮาแต่เจ็บในเว็บไซต์ “I-Here TV” กระแหนะกระแหนว่า
เอาไปให้ร้านปะยางหน้าปากซอยซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง?

แถมการจัดซื้อยานเกราะล้อยางจากยูเครนล็อตที่ 2 ไม่ใช่แค่เรื่องราคา
และเครื่องยนต์ที่ไม่ได้ตามสเปกที่ระบุเท่านั้น
แต่รถที่สั่งซื้อล็อตแรกยังไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนดอีก

ใครผิดใครถูก ใครโกงใครได้ประโยชน์
ก็คงเป็นแค่ข่าวแล้วเงียบหายไปเหมือน “ไม้ล้างป่าช้า” และ “เรือเหาะมหัศจรรย์”

ยังไม่รวมเรื่องฉาวใน “ศูนย์อับเฉา” กับ “ดีแต่ไอ” ที่ไม่รู้ว่าใครตีแสกหน้าอม “เพชร” ของกลางไป
เรื่องจะเงียบหายไปพร้อมๆกับ “ผู้นำกองทัพ” คนใหม่ หรือตะแบงไปให้ “ไอ้โม่งชุดดำ” ก็คงไม่มีใครสนใจ

เพราะวันนี้ก็มี “ผู้ก่อการร้าย” ครึ่งค่อนประเทศแล้ว!

http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=41621

ไฟอำมหิต!

Porsche


โดย นายหัวดี

เลือกตั้งซ่อมผ่านไปเรียบร้อยโรงเรียน สะตอแล้ว ซึ่งคะแนนที่ห่างกันประมาณ 11%
ทำให้แกนนำ สะตอต้องร้อนๆหนาวๆ

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณบอกทิศทางการเมืองในปัจจุบันและอนาคตไม่น้อย
ไม่ใช่วัดอะไรไม่ได้เลย เพราะเห็นชัดเจนว่าฐานเสียงในกรุงเทพฯทั้ง 2 พรรคยังคู่คี่กันมาก
แม้แต่ในพื้นที่ฐานเสียงของ สะตอเองก็ยังชนะไม่มาก

ที่สำคัญมีคนกรุงที่นอนหลับทับสิทธิหรือไม่พอใจฝ่ายใดเลยมากถึง 40%
เป็นโจทย์ใหญ่ที่ไม่ใช่แค่ก๊วนสะตอ ก๊วนเพื่อแม้ว และก๊วนเด็กเส้น ที่ประกาศจะต้องปักธงให้ได้
โดยเริ่มต้นสนามเล็กก่อนนั้น ถือเป็นศึกการเมืองที่ต้องเกาะติดอย่างยิ่ง

เพราะสยามไม่ยิ้มในยุค ที่นี่มีคนตาย
จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย!

เหมือนเก้าอี้ หล่อหลักลอยที่ยังนั่งได้วันนี้ก็เพราะเสาค้ำ สีเขียวช้ำเลือดช้ำหนอง
และ อำมาตย์ใหญ่ซึ่งยังไม่มี ตัวเลือกอื่น
แม้จะมี ก๊วนเด็กเส้นโผล่ขึ้นมาก็ตาม แต่ยังถือว่า หน่อมแน้มที่ยังฝากผีฝากไข้อะไรไม่ได้

แตกต่างจาก ก๊วนสะตอที่ปักธงมากว่า 60 ปี อย่างน้อยในภาคใต้ก็เป็น ของตาย
ที่ไม่มีก๊วนไหนจะตีแตก แม้พื้นที่กรุงเทพฯจะแกว่งไปมาตามกระแสการเมืองก็ตาม

วิกฤต ยุบก๊วนจึงเป็นประเด็นสำคัญ ไม่ใช่เรื่องของฐานเสียง
แต่เป็นเรื่องของ สัญลักษณ์ที่ต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้สูญหายไป!

บรรยากาศบ้านหลายเสาที่เคยเงียบเหงาในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาจึงเริ่มคึกคักอีกครั้ง
จะเป็นการเยี่ยมเยียนปรกติหรือห่วงหาอาวรณ์ก็ตาม จังหวะเหมาะเจาะกับวิกฤต ก๊วนสะตอ
และเทศกาล สัตว์ตกมันของ ขี้ข้าประชาชนที่ต้องวิ่งกันตลบจนแข้งของ อำมาตย์ใหญ่ชุ่มไปด้วยน้ำลาย

ขั้วอำนาจ สีเขียวจึงไม่ใช่ ม้าของประชาน
แต่ยังเป็น ม้าของอำมาตย์ใหญ่ที่ยัง ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกได้ต่อไป

สัตว์การเมืองจึงไม่ใช่แค่เกรงอกเกรงใจ
แต่ต้องรู้จักตอบแทน บุญคุณเพราะขนาด ท่านเปายังต้องเป็น หลิวลู่ลม

ไม่มีใครเถียงเรื่อง กฎของกรรมหรือ กฎของธรรมชาติที่ว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
แต่จะเกิดโดยธรรมชาติหรือเกิดอย่างผิดปรกติเท่านั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ในยุคสยามไม่ยิ้ม

ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปจะได้เห็นบรรยากาศและกระแสต่างๆไหลพรั่งพรูออกมาพร้อมสายฝน
ที่จะกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

เพราะทุกเรื่องทุกเงื่อนไขต้องแข่งขันกับเวลา และต้อง ตีเหล็กขณะที่ไฟ (อำมหิต) กำลังร้อนจัด”!


http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=41570