เรื่อง : นาย-ไพร่...ใครถึงก่อน?
โดย : จิตร พลจันทร์
ขอ ถอดหัวใจมากองไว้ตรงหน้ากราบคารวะท่านผู้อ่านที่เคารพรักอย่างสูง จิตรนึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าและดวงตาสว่างไสวมีเมตตาธรรมของท่านทั้งหลายเสีย แล้ว เพราะห้องข้างบนมันจะเจี๋ยนเอา แต่ที่สุดเราก็ได้เจอกันอีกและจะได้เจอกันไปเรื่อยๆ จนกว่าเมืองสยามยามวิกฤติมันจะโอนเอนไปทางมวลมหาประชาชนบ้าง ไม่ใช่วางแทบเท้าของมนุษย์บางจำพวกที่ไม่ต่างอะไรกับพระสงฆ์สายโจร คือทำท่าว่าเป็นพระ ให้คนเขาเคารพกราบไหว้ ประเคนของดีๆ งามๆ ตามศรัทธาปสาทะ ความจริงเป็นคนโฉดประเภทที่พูดว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” เหมือนเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙
มายุคนี้คนกำพืดเดียวกันมัน แปลงไปหน่อยแล้วเอามาพ่นว่า “ฆ่าพวกหมิ่น...ไม่บาป” ก่อนจะลงมือฆ่าโหดอย่างชนิดที่ทั่วโลกงงงันกันไม่เสร็จว่า เทวดานางฟ้าที่ตัวเคยเห็นและนึกว่ารู้จัก บัดนี้แกเหาะเหินเดินอากาศไปอยู่เสียที่ไหนแล้วเล่า มีแต่ซากเน่าเก่าขึ้นสนิมวางอยู่บนแท่นแทน หารู้ไม่ว่ามนต์คาถาที่เขาเรียกขานกันว่า โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง หรือ วิชาสร้างมายาภาพ มันซับซ้อนลึกซึ้งถึงขนาดสามารถร่ายมนต์ปิดตาคนทั้งหลายได้นานเป็นสิบๆ ปี แต่พอตาสว่างขึ้นมา รูปทองมันก็กลายเป็นของเน่าไปในบัดดล ธรรมดานะเจ้าเอย
จิตร ต้องกราบขอโทษล่วงหน้าในสิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ และออกตัวว่าพูดด้วยหัวใจคารวะพี่น้องของเราที่ถูกคร่าชีวิตในเหตุการณ์ ละเลงเลือดเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ทุกท่าน น้ำตาของเราไม่มีทางหยุดไหลก็จริง แต่เราท่านควรจะปลื้มใจว่า ชีวิต เลือด และน้ำตาของพวกเราในเหตุการณ์ชาติชั่วครั้งนี้ มันกลายเป็นหลักฐานยืนยันสิ่งที่คนอย่างจิตรคิดมานานปีว่าเมืองไทยมันเป็น เมืองอะไรกันแน่ มีคนบอกว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและคนไทยก็ ผาสุกยิ่งในระบบระบอบนี้ แต่เหตุการณ์กลางเมืองที่ไร้ความเมตตาปราณี ไร้หัวใจ ไร้มนุษยธรรมอย่างช่วงวันนั้น มันไม่ใช่ความผาสุกอีกต่อไปแล้วล่ะท่าน
บัดนี้ พี่น้องไทยทั่วประเทศที่ติดคุกบ้าง หลบหนีบ้าง หรือพากันเดินทางกลับบ้านด้วยน้ำตาอาบหน้าเหมือนที่เขาเรียกกันในหมู่คนเข้า ป่าว่าเป็น “กรวดเม็ดร้าว” เจ็บเข้าไปถึงกระดองใจ ทุกคนรู้ดีที่สุดแล้วว่าชีวิตไทยต้องสู้ ประชาธิปไตยไม่มีทางได้ด้วยการขอทานเขากินหรือรอเขาโยนเศษกระดูกให้เราแย่ง กันอย่างเปรตหรือหมาวัด จิตรขอใช้ข้อเขียนที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรของตัวเองนี้ กราบคารวะเป็นพลีแห่งความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของท่าน ชีวิตและเลือดเนื้อของท่านเป็นของสูง เป็นของมีค่า และจะไม่สาบสูญไปอย่างไร้ความหมายแน่นอน จิตรเชื่อว่าใจทุกดวงของฝ่ายประชาธิปไตยย่อมคิดและรู้สึกแบบนี้ทั้งนั้น
แต่ บาปก็กำลังเผาใจของเขานะท่าน สิ่งที่น่าจะเป็น “ชัยชนะ” เหนือหัวมวลชน กลับกลายเป็นสิ่งพวกมารเหล่านี้มันนอนไม่หลับกระสับกระส่ายกันอยู่ในขณะนี้ ปัญหาคือมันชักเริ่มงงว่าจะต้องฆ่าฟันหรือจับขังอีกกี่แสนกี่ล้านคน ภัยคุกคามต่อเก้าอี้ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้มันจึงจะลดลงหรือหมดสิ้น เดิมทีฆ่าไม่กี่ร้อย จับขังไม่กี่พัน ขบวนการประชาธิปไตยก็ฝ่อเหมือนดอกบานเช้ายามบ่ายแล้ว แต่คราวนี้ดูจะแข็งแกร่งขึ้นทุกวันเหมือนกลองที่ยิ่งตียิ่งดัง ขบวนการในพระราชอาณาเขตดูจะหลบเลี่ยงระมัดระวังหน่อยก็จริง แต่ข้างนอกเขากำลังกิ๊วก๊าวสนุกสนานกันราวกับงานเลี้ยง
ความ จริงสอนกันมานักหนาว่า “ปฏิวัติไม่ใช่งานเลี้ยง” อย่าเผลอไผลไปเชียว แต่งานนี้ต้องยอมรับว่าตัวเนื้อมันไม่ใช่งานเลี้ยงก็จริงอยู่ แต่อารมณ์ความรู้สึกมันชื่นมื่นสดใสเหมือนไปงานเลี้ยงยังไงยังงั้นทีเดียว ก็เพราะบุญของผู้ที่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามมากมายไม่รู้จักเท่าไหร่ไปสู่ อนาคตใหม่ของบ้านเมืองอย่างนี้แหละ เขาก็เลยกลัวและกลุ้มใจมากว่า ทำไมมันกำลังมุ่งสู่เรื่องใหญ่ที่สุดของประเทศกันโดยไม่เครียดนักหนา ทำไมมันไม่กลัว ทำไมมันไม่ฝ่อ ขนาดใช้ทุกกระบวนท่าจัดการกับ “เถ้าแก่” มั่ง “ซ้อ” มั่ง แกนหลักและแกนรองมั่ง มันก็ยังปรับตัวกันได้เหมือนน้ำในขวดแก้ว เปลี่ยนรูปไปยังไงก็ยังเป็นน้ำอย่างเดิม ไม่ระเหิดไม่ระเหย น่าประหลาดใจแท้ๆ และที่สำคัญยิ่ง พยายามควบคุมด้วยพระราชบัญญัติกับพระราชกำหนดไม่รู้จักกี่ฉบับ ฝ่ายอำนาจโบราณยังประสบความสูญเสียได้แทบทุกวัน
กอง ทหารโดนระเบิดเข้าจังๆ บ้าง ป้าย สัญลักษณ์โดนทำลายอย่างไม่ต้องเกรงใจกันแล้วบ้าง เพียงแต่ปิดข่าว ชะรอยกลัวเสียกำลังใจขี้ข้า แต่ในขุมข่าวกรองย่อมรู้แล้วว่า จะได๋เป็นจะได๋ มันก็นอนไม่ค่อยจะหลับกัน ทุกวันนี้อยู่ได้ก็เพราะขี้ข้าทยอยกันเข้ามาเอาหน้าว่าจะทำลายฝ่าย ประชาธิปไตยอย่างไรเท่านั้นเอง ไอ้ที่เคยมั่นใจว่าบารมีเปี่ยมล้นพ้นตัวนั้น หดไปเกือบหมดแล้ว คนในโคตรตระกูลต้องวางแผนหาเสียงกันจ้าละหวั่น กลัวว่าเกมโอเวอร์วันไหนตัวจะซวยตามหัวหน้าเผ่าและเมียหัวหน้าเผ่าไปด้วย ในใจรู้ว่าไปทำระยำตำบอนอะไรกันไว้มั่ง แต่เมื่อได้ประโยชน์กับตัวก็เฉยไว้ พอทำท่าจะซวยกันทั้งหมู่เหล่า ก็เลยเตรึยมกระโดดเฉพาะตัวเองไว้ก่อน
บ้าน นี้เค้าอยู่กันหยั่งงี้ล่ะท่านที่รัก พ่อขายลูก ผัวขายเมีย เมียขายผัว เมียขายลูก ลูกขายพ่อ ลูกขายแม่ เมียเก่าแฉเมียใหม่ เมียใหม่ (กว่า) แฉเมียใหม่ (น้อยกว่า) สลัมดีๆ เขายังอยู่กันด้วยความรักความอบอุ่นกว่านี้เลย แต่ไม่น่าแปลกใจร้อก ทำบาปทำกรรมไว้ขนาดนั้น กรรมมันก็สนองเข้าให้ เหตุที่นรกปล่อยให้อยู่ยืดยาวจนเหนียงยานแล้วยานอีกก็ไม่ใช่อะไร ก็เพราะให้อยู่รับกรรมแบบจั๋งหนับรับเละเท่านั้นเองแล
แต่ก็ไอ้ความ ร้อนรนก้นไหม้นี่แหละ มันทำให้อาการล้นทะลักออกมาจากตัว กลายเป็นทำผิดทำพลาดจนเดือดร้อนหนักยิ่งกว่าเก่า เริ่มต้นก็แข่งกันซื้อบ้านในต่างประเทศ คนหนึ่งกลัวจัดไปปลูกบ้านหลังเท่าช้างอยู่ถึงโน่น...ยุโรป อีกคนรู้ว่าบารมีทางโน้นน้อยก็ดอดมาปลูกไว้ที่มหาอำนาจเอเชียใกล้ๆ บ้าน หลังจากที่ลงทุนเพาะความสัมพันธ์มานานหลายสิบปี ไปมาหาสู่กันเป็นสิบๆ ครั้ง คนอื่นๆ เก็บข่าวเก่งกว่า ความลับก็ไม่ค่อยรั่วไหล แต่ก็มีชนิดไม่น้อยหน้ากันนัก
ปัญหาคือต่อมา เริ่มระดมทุนใหญ่โต เพราะต้องเร่งหาเงินก่อนที่โอกาสต่างๆ มันจะหมด ตู้บริจาคระดับวีไอพีเดี๋ยวนี้ก็เปิดกันทุกวัน เว้ากันซื่อๆ ว่าต้องการเงินทอง ใครคุมสายไหนก็กระซิบให้ทยอยเข้าแถวกันมาบริจาค บริจาคแบบที่พูดว่า “เอาไปใช้อะไรก็ได้ตามใจเธอ” นั่นแล เขียนไว้อย่างนั้นเพื่อให้ไม่มีปัญหาอะไรในข้อกฎหมาย เผื่อวันหนึ่งเกิดมีคนกินดีหมีดีเสือจนใจกล้าบ้าบิ่น แล้วเอาเรื่องขึ้นมา ความจริงหากินด้วยการขอทานเงินพรรค์อย่างนั้นก็ไม่มีอะไร ยอมรับได้อยู่แล้วในสังคมแคบๆ งี่เง่า
ปัญหาดัน ไปคิดรวยทางลัดด้วยสารเสพติดเข้านี่สิ พอลงมือทำเข้า หรือพยักหน้าหงึกหนึ่งให้ขี้ข้าไปทำให้ ก็เจอของจริงเลยทีเดียว เหตุมันเกิดที่ประเทศหนึ่งแถวยุโรป เรียกว่าเมืองมักกะโรนีสปาเก็ตตี้ แต่เขาตามรอยไปจนถึงเมืองน้ำหอมจนไปคว้าตัวได้ที่นั่น หลักฐานมั่นคงแน่นหนาชนิดพูดไม่ออก ขี้ข้าสายต่างประเทศก็ไม่รู้จะทำยังไง ถึงขั้นต้องให้เสนาท่าจะบ๊องส์ของกระทรวงบัวแก้วบินด่วนไปแก้ปัญหาถึงเมือง น้ำหอมโน่น แล้วแก้ตัวว่าไปเดินสายประชาสัมพันธ์ประเทศ
สุด ท้ายก็ต้องงัดเอาความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างชาติมาติดสินบน จนเอาตัวนายออกมาได้ ให้กักตัวขี้ข้าเอาไว้แทน เดี๋ยวนี้คดีก็ยังเดินหน้าต่อไป เต็มสูบขนาดไหนจิตรบ่ฮู้ ฮู้แต่ว่าคนทางโน้นเขาด่าลับหลังกันเกรียวว่า แหม...ทำเป็นสูงส่ง ถึงเวลาคนเผลอโผลงมากิน “อึ” ถึงพื้นดินทีเดียวเจียวนะ ก็ไอ้พฤติกรรมอย่างนี้จะให้เก็บไว้ทำพันธุ์อะไรเล่า เขาก็ด่ากันเช็ด (และล้าง) ไปทั่วน่ะซี้
อันสยามนามประเทืองว่าเมืองทองของพวกเราทั้ง หลายในวันนี้ สุดท้ายก็คือการแข่งเวลากันในคนสองประเภท ประเภทหนึ่งเขาเรียกว่า “นาย” อีกประเภทเขาเรียกว่า “ไพร่” ส่วน “ขี้ข้าม้าครอก” หรือ “ทาส” นั้น ก็คือ “ไพร่” แต่เป็น “ไพร่” ชนิดไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี โถมตัวลงรับใช้ “นาย” ชนิดเลียฝ่าเท้าได้แทนการนวด จนต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่าย “นาย” ด้วย ประจัญบานกันวันไหนจะได้แยกถูก ทุกๆ อย่างในบ้านเมืองกำลังพาเดินไปทางนี้ทั้งนั้น บางคนก็เดินอย่างคนตาสว่าง รู้ว่ามีอันตรายก็ยอมเดิน เพราะรู้ว่าสำคัญและมีความหมาย แต่บางคนก็เดินหลับตาหรือมีผ้าผูกตามาด้วย ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดเลย ใครจะลงเหวลงห้วยอย่างไร ไม่นานจิตรว่าจะเห็นกันชัดๆ จะๆ เพราะบ้านเมืองทำบุญมาแค่นี้ จากนี้ไปก็กรรมใครกรรมมันแล้วจ้ะ
จะ สั่งปิด สั่งขัง สั่งฆ่า สั่งบ้าสั่งบออะไรไปจนถึงสั่งขี้มูกก็สั่งไปเต๊อะ อย่างมากก็ได้แค่รอดไปวันๆ ชั่วโมงนี้ไม่มีบุญญาบารมีที่ไหนมาช่วยได้แล้ว รอฝ่ายประชาธิปไตยที่จะสร้างบุญอย่างเร่งรัดมาแทนที่เท่านั้นเอง แต่ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยสร้างไม่ทัน หรือมัวเฟอะฟะ ก็อาจจะมีผู้เปี่ยมบุญญาบารมีเจ้าใหม่ไหลมาแทน แล้วก็ต้องออกแรงไล่กันอีกรอบหนึ่งเสียก่อนก็เป็นได้
ประชาธิปไตยนั้นถูกต้องเสมอ... แต่บางทีโตช้าเหลือกำลัง ต้องอดทนกันจริงๆ เจียว.
--------------------------------------------------------------------------------
เขียนโดย Nangfa ที่ 14:59:00
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น