สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทความ: การต่อสู้ยกใหม่ของไพร่สามัญ

โดย ศิวะ รณยุทธ์

ที่มา ฟอร์เวิดด์เมล์
พฤษภาคม 2553

การสังหารหมู่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553ซึ่งรัฐบาลฆาตกรอำมหิตลงมือเข่นฆ่าประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องความ ยุติธรรมและประชาธิปไตยที่ผ่านมา ได้เปิดโปงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของอำนาจรัฐเผด็จการใต้บงการเครือข่ายอำมาตย์ ที่หวังผูกขาดอำนาจต่อไปบนกองเลือดและความสูญเสียของประชาชนโดยไม่ยี่หระกับ ต้นทุนใดๆที่จะตามมาอย่างล่อนจ้อน


หลังจากการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมสามานย์ ซึ่งได้ตอกลิ่มความคั่งแค้นให้กับมวลชน เป็นรอยแผลที่ไม่มีวันเจือจางลง พวกมันก็ใช้ชั้นเชิงทางการเมืองอำพรางอย่างเล่ห์กระเท่ เสแสร้งเรียกร้องเรื่องหลอมรวมจิตใจและการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศครั้ง ใหม่สร้างบ้านที่น่าอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวอย่างเพิกเฉยต่อความยุติธรรมและเสรีภาพที่ปล้นชิงไปจากประชาชน


สำหรับประชาชนที่เป็นไพร่สามัญแล้ว การปราบปรามเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นให้บทเรียนที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง และตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมเสมอหน้า และประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่มีวันได้มาโดยง่ายดาย แต่ต้องผ่านเส้นทางที่ปวดร้าวและคดเคี้ยว เพราะพวกเผด็จการอำมาตย์ได้ยืนยันจุดยืนของพวกมันชัดเจนแล้วว่า จะไม่ยอมแบ่งปันอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ที่ปล้นชิงไปคืนให้แก่มวลชนแม้สัก เล็กน้อย


เพียงแค่มวลชนเสื้อแดงเรียกร้องการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและเคารพหลักการ ประชาธิปไตยที่แท้จริงอันเป็นเงื่อนไขต่ำที่สุดสำหรับประชาธิปไตย พวกอำมาตย์ก็มอบการปราบปรามเข่นฆ่าอย่างหฤโหด โดยข้อหาร้ายแรงสารพัดเป็นสิ่งตอบแทน


ภารกิจของมวลชนผู้รักความยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมนับแต่นี้ไป ก็คือ ด้านหนึ่งทำการสรุปบทเรียนที่ผ่านมา และอีกด้านหนึ่งยกระดับตนเองเพื่อการต่อสู้ในอนาคต

สรุปบทเรียนของการต่อสู้ที่ผ่านมา

1. ผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ มิได้จบลงที่ความพ่ายแพ้อย่างราบคาบของมวลประชาชนที่เป็นไพร่สามัญ แต่เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่กว่าการต่อสู้ในระดับประเทศ เมื่อครั้ง 14 ตุลาคม 2516 หรือ 6 ตุลาคม 2519 หรือ พฤษภาคม 2535 และในระดับโลกแล้วถือว่าสูงส่งยิ่งกว่าการต่อสู้ของคอมมูนปารีสของฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1871 และเทียบเคียงได้กับการต่อสู้ของกลุ่มกรรมกรโปแลนด์ภายใต้ขบวนการโซลิดาริ ตี้ ค.ศ. 1980-1989และการต่อต้านภาษีเกลือของมหาตมะ คานธี เป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับการยกระดับการต่อสู้ของไพร่สามัญในอนาคตที่จะมา ถึง


วีรภาพของมวลชนคนเสื้อแดงทั้งที่เสียสละชีวิต เวลา และทรัพย์สิน ทำการต่อสู้พร้อมกันในขอบเขตทั่วประเทศอย่างกล้าหาญจนถึงนาทีสุดท้าย (กระทั่งหลังจากที่แกนนำยุติการชุมนุมไปแล้ว) ถือเป็นจิตใจที่ควรได้รับการสดุดีแบบวีรชนคนกล้าเยี่ยงชาวบ้านบางระจัน ชาวอีสานในขบถผีบุญ และชาวสยามมุสลิมภาคใต้ในอดีต จะตรึงตราและขจรไกลในหัวใจของผู้รักความยุติธรรมและเสรีภาพทั่วทั้งสังคมและ ทั่วโลกไปยาวนาน


ขบวนการจัดตั้งของมวลชน แม้จะยังขาดเอกภาพในระดับที่ต้องปรับปรุงต่อไป ก็ถือว่า ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นเก่าแก่เรื่องอำนาจนำในทุกด้านของพวกอำมาตย์ลงไป อย่างรุนแรง จนต้องตัดสินใจใช้การปราบปรามเข่นฆ่า โดยหวังจะให้มวลชนที่เป็นไพร่สามัญยอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกมันไปอย่างไม่ มีที่สิ้นสุด

2. จุดจบของการต่อสู้ครั้งนี้ คือ คำยืนยันอย่างเป็นทางการและเป็นรูปธรรมของสงครามทางชนชั้นที่ดำรงอยู่จริง ซึ่งไม่อาจจะปิดบังอีกต่อไปได้แล้ว ยังได้เปิดแผลใหม่ให้กับความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าเดิม พร้อมกับกลบฝังคำขวัญหลอกลวงหรือวาทกรรมเกี่ยวกับเรื่องรู้รักสามัคคีหรือ การเลื่อนฐานะทางสังคมอย่างสันติ ที่พวกอำมาตย์ใช้มอมเมาประชาชนมายาวนานจนหมดสิ้น

สงคราม ทางชนชั้น เป็นเรื่องของการแย่งชิงความมั่งคั่งและอำนาจนำในการชี้ทางเลือกของสังคม ตราบใดที่ความยุติธรรมและเสรีภาพของประชาชนยังถูกปล้นชิงไป ตราบนั้นการต่อสู้นี้จะไม่มีวันยุติได้เพียงแค่การใช้ข้ออ้างในเรื่อง จริยธรรม สันติภาพ ความปรองดอง และเสรีภาพอันเลื่อนลอย ซึ่งเป็นเพียงวาทกรรมที่เป็นเครื่องมือหลอกลวงของพวกอำมาตย์เท่านั้น

3. การต่อสู้ครั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า การเลือกเอายุทธวิธีการต่อสู้ใดต่อสู้หนึ่งเพียงอย่างเดียว และ วิธีการกำหนดเป้าหมายอย่างตายตัวในการต่อสู้กับศัตรูที่พร้อมจะใช้เครื่อง มือการต่อสู้ทุกรูปแบบที่พลิกแพลงเพื่อยึดกุมอำนาจเผด็จการของพวกมันเอาไว้ คือการจำกัดตัวเองในการต่อสู้ (ในทางยุทธศาสตร์ทางการเมืองและทางทหารเรียกว่า สงครามจำกัดวง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ไม่เคยได้รับชัยชนะไม่ว่าที่ไหนในประวัติศาสตร์ สงคราม)ที่ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้เลย ซึ่งผู้เขียนได้เคยตอกย้ำเอาไว้หลายครั้งแล้ว (ดู ศิวะ รณยุทธ์ สองก้าวข้าม เพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย ยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ ยุทธวิธีที่หลากหลาย, 28 ธันวาคม 2552) ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ การเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เป็นข้อเรียกร้องเดียวของแกน นำโดยหวังว่า จะนำไปสู่แรงเหวี่ยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ใหญ่หลวงกว่า เป็นการกระทำที่เปรียบได้กับปลูกมะนาว หวังเก็บกินส้มโอโดยแท้


4. ลัทธิ คลั่งเจ้าเชิดสถาบันกษัตริย์เหนือเหตุผลอื่นใด ได้ถูกพวกอำมาตย์นำมาอ้างใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างและเข่นฆ่าผู้รักความ ยุติธรรมและประชาธิปไตยอย่างเหี้ยมโหด (แม้กระทั่งในเขตอารามวัดที่พวกมันประกาศเป็นเขตอภัยทาน) โดยมีเป้าหมายหวังทำลายล้างพลังต่อสู้ของมวลไพร่สามัญให้ราบคาบจนไม่อาจฟื้น ตัวได้อีก ตอกย้ำให้เห็นการสมรู้ร่วมคิดของสถาบันกษัตริย์กับพวกอำมาตย์ที่ร่วมกัน ประกาศสงครามทางชนชั้นกับมวลไพร่สามัญอย่างถึงที่สุด


5. การประเมินความเหี้ยมโหดของพวกเผด็จการอำมาตย์ต่ำเกินไป ทำให้มวลชนมีความโน้มเอียงประเมินกำลังของตนเองสูงเกินไป หรือ มองสถานการณ์แคบเกินไป นำไปสู่การสุ่มเสี่ยงบนพื้นฐานความหลงผิดที่เชื่อว่าพวกมันจะละอายแก่ใจ มากจนไม่อาจทนทานต่อเสียงเรียกร้องประณามของผู้รักประชาธิปไตยและรัฐบาลหรือ องค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก ถือเป็นความเพ้อฝันและมายาคติแบบงาช้างจะงอกจากปากหมาการปราบปรามเข่นฆ่าและใส่ร้ายป้ายสีผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่ ชุมนุมอย่างสันติได้ยืนยันข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์อื่นใดอีกแล้ว


เพียงแต่นั่นไม่ควรเป็นจุดอ่อนที่มีคนบางกลุ่มเช่น แดงสยาม ซึ่งฉวยโอกาสอย่างอัปยศออกคำแถลงการณ์ด้วยท่าทีที่ประหนึ่งว่าเป็นแนวร่วม ของศัตรู ด้วยการบอกว่า แกนนำพาคนไปตายซึ่งเป็นการดูหมิ่นทั้งแกนนำและเหยียบศพมวลชนไพร่สามัญผู้เสียสละชีวิต


โดยข้อเท็จจริงรูปธรรม การต่อสู้ที่อำนาจรัฐแสดงเจตนาใช้กำลังปราบปรามด้วยอาวุธทุกรูปแบบ ไม่ว่าแกนนำบางคนหรือทั้งหมดจะมีความสามารถมากเท่าใด หรือ ตัดสินใจบนพื้นฐานที่มีเหตุมีผลมากที่สุดเพียงใด ก็ไม่สามารถแปรเปลี่ยนสถานการณ์ที่ราชประสงค์ไปสู่ชัยชนะได้


6. ความสามารถในการต่อสู้บนพื้นที่สื่อ หรือสงครามชิงพื้นที่ข่าว ของกลุ่มผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตย เป็นจุดด้อยรุนแรงที่ไม่อาจปฏิเสธได้และต้องปรับปรุงยกระดับอย่างจริงจังใน อนาคต จะเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อถืงเวลาที่ชี้เป็นชี้ตาย พวกเผด็จการอำมาตย์และพันธมิตรของพวกมัน สามารถยึดกุมและปิดล้อมสื่อทุกช่องทางเพื่อประดิษฐ์ข้อมูลป้ายสีผู้รักความ ยุติธรรมและประชาธิปไตยที่ชุมนุมโดยไม่สามารถยับยั้งหรือตอบโต้ได้เลย


7. แม้การต่อสู้ครั้งนี้ จะมีมวลชนระดับไพร่สามัญหลายชนชั้น เข้ามามีส่วนร่วมในลักษณะแนวร่วมไพร่สามัญอย่างกว้างขวางกว่าครั้งใดๆใน ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของสังคมสยาม แต่การที่มวลชนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่ยังเพิกเฉยหรือดูเบาต่อการจัดตั้งกอง กำลังปกป้องตนเองขึ้นมาเพื่อป้องกันการปราบปรามเข่นฆ่าของพวกเผด็จการ อำมาตย์ โดยเพ้อฝันว่า เมื่อมวลชนลุกต่อสู้ถึงระดับหนึ่ง อาจจะสร้างแรงเหวี่ยงทางจิตสำนึกให้กลุ่มคนที่ถืออาวุธในฝ่ายอำนาจรัฐ เปลี่ยนข้างมาต่อสู้เคียงข้างกับฝ่ายไพร่สามัญ แบบเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 หรือ การปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 ซึ่งข้อเท็จจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าทหารแตงโมหรือ ตำรวจมะเขือเทศล้วนแล้วแต่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น


กองกำลัง (ในจำนวนนี้ ได้รวมเอาผู้ปฏิบัติงานที่เอาการเอางานของ กองกำลังรักชาติสยามเพื่อประชาธิปไตย (กช.สป.-SPADE) ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญให้ประจักษ์กันแล้วในการตรึงกำลัง กับกองทหารจำนวนหลายกองร้อยได้นานหลายวันต่อเนื่องกันที่แยกถนนวิทยุ-บ่อน ไก่ และ การไล่ล่าพลซุ่มยิงสไนเปอร์ของทหารที่ลอบสังหารประชาชนไม่เลือกหน้าที่สาม แยกดินแดง ระหว่างที่มีการสังหารหมู่เกิดขึ้น) ที่เข้ามารับบทบาทในการปกป้องผู้ชุมนุมในด่านหน้าของแนวปะทะ ยินยอมเสียสละตนเองในการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่า หากปราศจากกองกำลังเหล่านี้แล้ว ความสูญเสียของมวลชนผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยจะมากมายหลายเท่า มิใช่แค่ 80 กว่าคนดังที่ปรากฏ เป็นการตอกย้ำว่า มวลชนที่ต้องการต่อสู้ต่อไปในอนาคต จะต้องเอาจริงเอาจังกับการจัดตั้งกองกำลังปกป้องตนเอง โดยไม่เพ้อฝันหวังยืมจมูกของผู้อื่นหายใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น

ยกระดับเพื่อการต่อสู้ในอนาคต

บท เรียนอันล้ำค่าจากประสบการณ์อันเจ็บปวดของการต่อสู้ที่เพิ่งจบสิ้นลงด้วยน้ำ มือของกลุ่มฆาตกรหน้าหยกเดือนพฤษภาคมที่ท่องบ่นลัทธิคลั่งเจ้าได้ตอกย้ำว่า ความยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของมวลไพร่สามัญสยามนั้น จะไม่ได้มาเพราะฟ้าประทานอย่างมีต้นทุนต่ำ ตามที่เคยถูกมอมเมามายาวนานโดยคนบางพวกเด็ดขาด เพราะฟ้าซึ่งอ้างตนเป็นเจ้าของแผ่นดินนั้นได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ประทานได้แต่การกดขี่ขูดรีด มอมเมา และปราบปรามเข่นฆ่าเท่านั้น


ทาง เลือกเดียวในอนาคตข้างหน้าของมวลชนสยามที่จะหลีกหนีจากการประกันชีวิตไว้กับโจรอำมหิตกระทั่งไร้สิทธิ ไร้โอกาส และถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในความมั่งคั่งของสังคม คือการปฏิวัติประชาธิปไตย ช่วงชิงอำนาจจากพวกอำมาตย์ที่มีจำนวนเพียงแค่ร้อยละ 2 ของประชากรที่ผูกขาดกุมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของสังคมไว้ในกำมือถึงร้อยละ 80 มาสู่กำมือของไพร่สามัญที่มีจำนวนถึงร้อยละ 98 ของประชากรในสังคม


ตราบ ใดที่ความอยุติธรรมยังดำรงอยู่ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น ยากจะมวลไพร่สามัญสยามจะหลีกหนีหรือละทิ้งการปฏิวัติได้ เสมือนดังที่มีคนโบราณเคยกล่าวเอาไว้เตือนสติว่าตราบใดที่หญ้ายังเติบโตบนผืนดิน ประชาชนจะไม่หยุดยั้งการต่อสู้


การ ปฏิวัติประชาธิปไตยที่จะบรรลุผลสำเร็จ จะต้องกระทำพร้อมกันในหลายเวที ทั้งเวทีถูกกฎหมาย พื้นที่สื่อ กึ่งถูกกฎหมาย ผิดกฏหมาย และ ทางสากล อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อระดมสรรพกำลังผู้ที่รักความยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ในด้านเศรษฐกิจ ทำการเปิดโปง คัดค้าน และเรียกร้องเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ในด้านการเมือง ติดอาวุธความคิด ปลุกเร้าจิตใจแห่งการต่อสู้ ยกระดับจิตสำนึกทางการเมือง การจัดตั้งของตนเองและผู้เข้าร่วมการต่อสู้ ในด้านวัฒนธรรม ปลดปล่อยจิตสำนึกจากการครอบงำของมายาคติที่เลื่อนลอยใดๆที่พวกอำมาตย์ซึ่ง เจ้าเล่ห์ประดุจสุนัขจิ้งจอก และโหดร้ายยิ่งกว่าอสุรกายประดิษฐ์สร้างขึ้นมาหลอกลวงมอมเมามวลชน โดยไม่หวาดหวั่นกับความยากลำบากหรือความรุนแรงใดๆ


เพื่อยกระดับของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเสมอหน้า และประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในอนาคต สิ่งที่มวลชนที่เป็นไพร่สามัญต้องกระทำมีทั้งการยกระดับด้านอุดมการณ์เชิง ทฤษฎี และการจัดตั้งที่เป็นรูปธรรมพร้อมกันไปเพื่อสร้างพลังประดุจเหล็กกล้าที่ไม่ มีวันหลอมละลาย ซึ่งมีรายละเอียดที่สรุปโดยย่อดังต่อไปนี้


ด้านอุดมการณ์เชิงทฤษฎี จะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่า ความขัดแย้งทางเศรษศาสตร์การเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของสังคมสยามที่ต้อง เอาชนะให้ได้แรกสุด เป็นความขัดแย้งหลักระหว่างชนชั้นปกครองเผด็จการอำมาตย์ กับ มวลไพร่สามัญผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตย ซึ่งได้พัฒนามาถึงขั้นที่ผลักดันให้ต้องปฏิวัติประชาธิปไตยในสงครามอันเป็น ธรรม ก้าวข้ามลัทธิคลั่งเจ้าไปให้ได้ โดยมีความขัดแย้งรองอีกสองคู่ที่ต้องแยกแยะให้เหมาะสมตามสถานการณ์ คือ ระหว่างกลุ่มชนชั้นปกครองกลุ่มอำมาตย์(พันธมิตรข้าราชการนำโดยกองทัพ-ทุน อภิสิทธิ์เก่า ที่หนุนหลังโดยราชสำนัก) กับกลุ่มทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นกลุ่มทุนใหม่ และ ระหว่างประชาชนด้วยกันเอง แสดงออกด้วยสัญลักษณ์ และรูปธรรม ผ่านกลุ่มคนเสื้อเหลืองและแดง


ด้านการจัดตั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่พลังฝ่ายประชาชนที่เป็นไพร่ส่ามัญยังตกเป็นรองกลุ่ม อำมาตย์หลายเท่า แต่ความตื่นตัวได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงและแผ่ขยายเป็นจิตสำนึกร่วมที่ใหญ่ หลวง มีแต่การจัดตั้งที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะมีส่วนให้สามารถช่วงชิงไปบรรลุ ยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ที่ยังต้องใช้เวลาอย่างเป็นจริง

ใน ยามที่พลังผู้รักประชาธิปไตยยังอยู่ในสภาพเป็นรองอย่างปัจจุบัน มีแต่หนทางการต่อสู้ อย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่จำกัดรูปที่รูปแบบหนึ่งแบบใดรวมหมด5 เวที ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกภาพ และยุทธวิธีที่กระจายศูนย์อย่างพลิกแพลงจากสถานการณ์รูปธรรม โดยศึกษารูปแบบการต่อสู้ที่ผสมผสานระหว่างการต่อสู้ของประชาชนใน นิคารากัว เนปาล เวียดนาม และ 3 จังหวัดภาคใต้ เพื่อประยุกต์สูตรของการต่อสู้ใหม่ แทนที่การติดยึดกับการต่อสู้รูปแบบใดแบบตายตัว หรือ ตามสูตรเดิมแบบกลไกที่พ้นสมัยไปแล้ว การต่อสู้ทั้ง 5 เวทีประกอบด้วย

  • การ ต่อสู้แบบถูกกฎหมายในเวทีรัฐสภา จะต้องดำเนินต่อไป เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ยอมให้อำนาจเผด็จการเข้ามาสร้างสร้างทางตัน เพื่อลิดรอนเสรีภาพของปวงชนโดยอาศัยความชอบธรรมของกติกาที่ผิดจากคลองธรรม ของนิติรัฐ
  • การต่อสู้บนเวทีท้องถนน จะต้องดำเนินการต่อไป เพื่อเพิ่มแรงกดดันมิให้ศัตรูของประชาธิปไตยลอยนวลได้โดยอ้างถึงความชอบธรรม ที่ไร้เหตุผลในการปล้นชิงประชาธิปไตยจากปวงชน
  • การต่อสู้ในเวทีสื่อ มวลชน หรือ สงครามชิงพื้นที่ข่าว จะต้องศึกษาการต่อสู้ทางด้านสื่อของขบวนการโซลิดาริตี้ของโปแลนด์ เพื่อประยุกต์สู่การยกระดับให้มีช่องทางใหม่ และมีคุณภาพรับมือกับการอำนาจเผด็จการในยามสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน
  • การ ต่อสู้ในเวทีสากล จะต้องขยายผลในระดับกว้างและลึก สร้างมิตรที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนในระดับเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และระดับรัฐ เพื่อชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรม และเพื่อขยายผลการต่อสู้กับอำนาจรัฐใต้กำมืออำมาตย์ที่ฉ้อฉล
  • การ ต่อสู้ด้วยกองกำลังของตนเอง เพื่อป้องกันตัวและเคลื่อนไหวสนับสนุนยุทธศาสตร์หลักและการต่อสู้ในเวที อื่นๆ เพื่อทำให้พวกอำมาตย์ลังเลใจในการใช้กำลังอาวุธและความรุนแรงปราบปราม ประชาชน โดยกองกำลังที่จัดตั้งขึ้นและพึ่งพาตนเองนี้ ต้องไม่มีความโน้มเอียงไปสู่หลุมพรางของการใช้มาตรการมุ่งเอาชนะทางทหารเป็น หลัก แต่จะต้องมีไว้เพื่อสนองตอบยุทธศาสตร์รุกทางการเมืองและเอาชนะทางการเมือง ของการต่อสู้เป็นสำคัญ

มีแต่ 5 เวทีของการต่อสู้พร้อมกันที่เป็นจริงเช่นนี้เท่านั้น พลังของผู้รักประชาธิปไตยจึงจะเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสงครามทางชนชั้นที่เข้ม ข้น เพื่อดำเนินการรุกทางการเมือง และไปเอาชนะทางการเมืองในที่สุด

การรุกทางการเมือง คืออะไร?

การ รุกทางการเมือง คือ ชุดของยุทธวิธีเพื่อปลุกระดมจิตสำนึกของมวลชน สร้างความปั่นป่วนให้ศัตรู การโฆษณาจูงใจ การล้มล้างความน่าเชื่อถือและความชอบธรรมของอำนาจรัฐ การกัดกร่อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ การโจมตีด้วยกำลังอาวุธ การลุกฮือและประท้วง การเจรจาเพื่อหาทางออก และปฏิบัติรูปแบบอื่นๆ

การเอาชนะทางการเมือง คืออะไร?
การเอาชนะทางการเมือง คือ การลดขวัญกำลังใจของศัตรู ทำให้ศัตรูไม่กล้าปราบปรามกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวในทุกเวทีและทุกระดับ ทำให้ศัตรูจำต้องเปลี่ยนไปสู่เกมเล่นที่ไม่ถนัด บีบให้ศัตรูต้องยอมรับเงื่อนไขบางประการที่เราเสนอ และเปลี่ยนฐานะจากการตั้งรับทางการเมืองของฝ่ายเราเป็นการรุกทางการเมืองต่อ ศัตรู

รู้จักกับ ขช.สป. และ กช.สป.


หนึ่งในทางเลือกที่มวลมหาประชาชนสยามที่รักความยุติธรรม และประชาธิปไตย สามารถเลือกที่จะเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมเสมอหน้า ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างมีพลัง ก็คือ การเข้าเป็นสมาชิกหรือแนวร่วมของ ขบวนการรักชาติสยามเพื่อสิทธิเสรีภาพและการเปลี่ยนแปลงสังคมใหม่ (ขช.สป.-SPARTAN) ซึ่งเป็นองค์กรชี้นำ และ/หรือ เข้าเป็นส่วนหนึ่งในผู้ปฏิบัติงานของกองทัพรักชาติสยามเพื่อ ประชาธิปไตย(กช.สป.-SPADE) ที่จัดตั้งกันขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ.2552 โดยได้มีการประมวล วิเคราะห์ และสรุป ผ่านการร่วมต่อสู้ วิพากษ์ และพัฒนามาต่อเนื่อง จนสามารถสรุปออกมาเป็นแนวนโยบายหลักของขบวนการและกองทัพ ดังสังเขปต่อไปนี้


1) ร่วมมือเพื่อต่อสู้และสถาปนารัฐประชาธิปไตยพหุนิยมจากเบื้องล่าง ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกสังคมทุกชนชั้น ชาติพันธุ์ อาชีพ และ วัฒนธรรม เข้ามีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยหลักการเสมอภาคทางการเมืองและสังคม พร้อมกับสร้างหลักประกันรับรองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกระดับ ภายใต้กรอบสัญญาประชาคม และนิติธรรม เพื่อให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเปิดมีวัฒนธรรมประชาธิปไตย โปร่งใส เสมอภาค และกระตุ้นศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของพลเมืองทุกคน

2) สามัคคีกับผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยทุกกลุ่มบนหลักการ แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างในรูปแนวร่วมไพร่สามัญ ( ตามคติพื้นบ้านโบราณของภาคเหนือและอีสานเรื่องไพร่สู้แถน”) โดยไม่สร้างเงื่อนไขบังคับให้กลุ่มที่เข้าร่วมขบวนยอมรับการนำฝ่ายเดียว ดำเนินการรุกทางการเมืองเพื่อสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมไปเอาชนะทางการเมือง โค่นอำนาจรัฐเผด็จการของกลุ่มอำมาตย์ เพื่อเป้าหมายสู่ประชาธิปไตยที่กินได้ของมวลมหาประชาชน

3) ระดมสรรพกำลัง ร่วมมือ และสนับสนุนให้มวลชนเคลื่อนไหว จัดตั้ง องค์กรมวลชนผู้รักประชาธิปไตย เพื่อใช้การเคลื่อนไหวทุกรูปแบบที่เป็นรูปธรรม ทั้ง ถูกกฏหมาย กึ่งถูก กฏหมาย พื้นที่สื่อ ทางสากล และกองกำลังปกป้องตนเอง เพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย ในลักษณะแนวร่วมไพร่สามัญ ยกระดับการต่อสู้จากปริมาณสู่คุณภาพ ผ่านฉันทามติร่วม

4) มุ่งสร้างอำนาจรัฐใหม่ที่ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและยั่งยืน บนหลักการเสมอภาคตามผลงาน ที่นอกจากปลดปล่อยพลังการผลิตให้สามารถแข่งขันได้แล้ว ยังมีความรับผิดชอบในการกระจายความมั่งคั่งผ่านระบบจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรม ยกระดับมาตรฐานของคุณภาพชีวิตของมวลชนผู้ทำการผลิต ลดช่องว่างทางชนชั้น และลดการผูกขาดตัดตอนของทุนอภิสิทธิ์ ทั้งจากภายในและภายนอก โดยแบ่งแยกระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินของรัฐ ทรัพย์สินสาธารณะ และทรัพย์สินเอกชนอย่างชัดเจน

5) มุ่งแสวงหามิตรและการสนับสนุนทางสากลในรูปแบบการเคลื่อนไหวแบบในประสานนอกเพื่อให้การต่อสู้บรรลุจุด มุ่งหมาย ภายใต้หลักการชาติที่เท่าเทียมในเวทีโลกไม่สร้างเงื่อนไขที่ผูกมัดให้เกิดการครอบงำ ของต่างชาติทุกด้านในอนาคต ทั้งนี้ ต้องสร้างความมั่นใจให้ประชาคมโลกตระหนักว่า การสถาปนาอำนาจรัฐใหม่ของปวงชนนี้ พร้อมจะยอมรับข้อตกลงหรือสนธิสัญญาเสมอภาคในระดับพหุภาคี ที่ได้กระทำมาในรัฐบาลก่อนหน้า เพื่อรักษาดุลทางภูมิศาสตร์การเมืองให้เหมาะสม เว้นแต่ในกรณีข้อตกลงหรือสนธิสัญญาไม่เสมอภาค หรือ ที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของมวลชนชาวสยามส่วนในระดับทวิภาคีจะต้องมีการทบทวน เพื่อเจรจาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์

แปร ความคับแค้นและความเจ็บปวดให้เป็นพลังและปัญญาเพื่อยกระดับสู่การปฏิวัติ ประชาธิปไตย คือ ทิศทางและภารกิจในปัจจุบันของผู้รักความยุติธรรมและประชาธิปไตยชาวสยาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น