ในยุคเลียดก๊กที่แต่ละรัฐรบกันนั้น รัฐอู๋เป็นรัฐที่มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งจึงสามารถรบชนะรัฐเยว่และจับตัว เยว่อ๋องโกวเจี้ยน และอัครเสนาบดีฟ่านหลีไปเป็นตัวประกันที่รัฐอู๋ด้วย อ๋องอู๋ฟูซา ทำการข่มเหงเยาะเย้ยถากถาง เยว่อ๋องโกวเจี้ยน จนถึงกับให้ไปเป็นคนเลี้ยงม้า คอยทำความสะอาดคอกม้า เยว่าอ๋องโกวเจี้ยน ต้องการที่จะแก้แค้นเพื่อกู้ชาติจึงจำต้องยอมจงรักภักดีเพื่อให้อู๋อ๋องไว้ ใจ แต่ตนเองนอนบนท่อนไม้ฟืนแข็งทุกคืน และกินดีขมทุกวัน เพื่อมิให้ลืมความขมขื่นที่ถูกข่มเหงนี้..
ครั้งหนึ่งอู๋อ๋องเกิดมีอาการปวดท้อง บรรดาหมอหลวงทั้งหลายไม่สามารถให้การรักษาได้ เยว่อ๋องโกวเจี้ยนได้ชิมอุจจาระของอู๋อ๋องต่อหน้าเสนาบดีทั้งปวง และบอกว่าอู๋อ๋องเพียงแค่มีพระวรกายที่เย็นเกินไป หากได้ดื่มสุราและทำร่างกายให้อบอุ่นขึ้นก็จะมีอาการดีขึ้นเอง และเมื่ออู๋อ๋องได้ทำตามก็หายประชวร อู๋อ๋องเห็นว่าเยว่อ๋องโกวเจี้ยนมีความจงรักภักดีจึงปล่อยตัวกลับคืนสู่รัฐ เยว่
เมื่อกลับสู่รัฐเยว่ เยว่อ๋องโกวเจี๋ยนก็วางแผนที่จะกู้ชาติทันที โดยมีฟ่านหลี่เป็นอำมาตย์คอยให้คำปรึกษา ฟ่านหลี่ได้เสนอแผนการ 3 อย่าง คือ ฝึกฝนกองกำลังทหาร พัฒนาด้านกสิกรรม และ ส่งสาวงามไปเป็นเครื่องบรรณาการ พร้อมกับเป็นสายคอยส่งข่าวภายในให้ ไซซีเป็นหญิงสาวชาวบ้าน ลูกสาวคนตัดฟืนที่เขาจู้หลัวซาน (ภาษาแต้จิ๋ว กิวล่อซัว) นางถูกพบครั้งแรกขณะซักผ้าริมลำธาร นางมีหน้าตางดงามมาก (กล่าวกันว่า ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ) พร้อมกับนางเจิ้งตัน (แต้ตัน) ซึ่งมีความงามไม่แพ้กัน
ฟ่านหลี่ (เถาจูกง) เสนาบดีรัฐเยว่เป็นผู้ดูแลอบรมนางทั้ง 2 ให้มีอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง เป็นเวลานานถึง 3 ปี เพื่อที่จะไปเป็นบรรณาการให้กับรัฐอู่ เพื่อมอมเมาให้อู่อ๋องฟูซา เจ้านครรัฐอู่ ลุ่มหลงอยู่กับเสน่ห์ของนาง จนไม่บริหารบ้านเมือง ซึ่งอู๋อ๋องฟูซาหลงใหลนางไซซีมากกว่านางเจิ้งตัน ทำให้นางเจิ้งตันน้อยใจจนผูกคอตาย ขณะที่มาอยู่ได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ผ่านไป 13 ปี เมื่อรัฐอู่อ่อนแอลง รัฐเยว่ก็สามารถเอาชนะได้สำเร็จในที่สุด
ภายหลังจากที่อู่อ๋องฟูซา ฆ่าตัวตายไปแล้ว นางกับอำมาตย์ฟ่านหลี่ที่ว่ากันว่า ได้ผูกสัมพันธ์ทางใจไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ก็ได้หายตัวไปพร้อมกันหลังเหตุการณ์นี้ บ้างก็ว่าทั้งคู่ได้เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ และไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ทะเลสาบไซ้โอว (ทะเลสาบซีหู) เป็นต้น
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E...B%E0%B8%B5
ปูนนก
การแตกพ่ายทางยุทธวิธีของพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยังไม่ใช่การพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นเพียงการถอยร่นเพื่อรอจังหวะเวลาและโอกาส..แน่นอนว่าขณะนี้พลังอำนาจ ของเผด็จการที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ กำลังเหิมเกริมเต็มที่ ศ.อ.ฉ. ออกอากาศแสดงซีดี ของตนเองที่กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธ และทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร พยายามสร้างภาพให้คนเสื้อแดงกลายเป็นผู้ก่อการร้าย และจำเลยของสังคม.. การกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่พยายามทำตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนักตามมาตรฐานสากล โดยหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงว่าทำไมจึงใช้ทหารติดอาวุธครบมือเข้าควบคุมฝูงชน ที่ปราศจากอาวุธ โดยไม่ใช้กำลังตำรวจปราบจลาจลแทน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุอันควร นี่ก็คือการบิดเบือนเบื้องต้นแล้ว..
การกล่าวร้ายโจมตีประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพียงเพราะพวกเขาขอให้รัฐบาลยุบสภาเท่านั้น แต่กลับใช้อาวุธจริงเข้าทำร้ายประชาชน ซีดีของ ศ.อ.ฉ. กล่าวหาว่ามีคนชุดดำแฝงตัวเข้ามาสร้างสถานการณ์สังหารประชาชนและทหาร แต่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงอาวุธของทหารที่ประชาชนยึดเอามาได้ในคืนวันที่ 10 เมษายน และนำมาแสดงบนเวทีว่าทำไมทหารต้องติดอาวุธมากมายขนาดนั้น รวมถึงการใช้รถหุ้มเกราะด้วย
การโยนแกสน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ในเวลาบ่ายของวันที่ 10 เมษายน ที่ไม่มีที่ใดในโลกเขาทำกัน รวมถึงการไม่พูดถึงการชุมนุมยึดสนามบินและยึดทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตร ว่าทำไมถึงกระทำได้ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างความ “ขมขื่น และเจ็บแค้น ทุกข์ระทม” ให้กับพี่น้องประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยอย่างที่สุด...
แต่ทว่าเวลานี้เราทุกคนจำจะต้อง “นอนฟืนแข็ง..กินดีขม” เพื่อรอจังหวะเวลาและโอกาส แม้จะถูกเยาะเย้ยถากถาง และหยามหมิ่นเพียงใด แต่เมื่อเวลาและโอกาสมาถึง (ซึ่งจะต้องมาถึงแน่ ๆ สักวัน) ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะลุกขึ้นทวงคืนความเป็นธรรมอีกครั้ง และเมื่อนั้น เราจะประกาศให้โลกทั้งโลกได้รับรู้ว่า “ประชาชนไทยก็รักในประชาธิปไตยเช่นกัน”
ปูนนก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น