เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายพลสนธิ บุณยะรัตกลิน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์
ตามข่าวที่เขารายงานโดยพาดหัวเอาไว้ว่า
"บิ๊กบัง" เสียดาย "ทักษิณโมเดล"
เนื้อข่าวเขาขยายความว่า
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต
ผบ.ทบ.และหัวคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เปิดเผยในรายการ "เบื้องหลังคน เบื้องหลังข่าว"
ทางเนชั่นชาแนล ถึงเบื้องหลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย.49 ตอนหนึ่งว่า
ปัจจัยสำคัญที่ตัดสินใจก่อการครั้งนั้น
ก็เพราะได้รับจดหมายจากประชาชนเรียกร้องให้ทหาร ออกมาช่วยปกป้องบ้านเมือง
ซึ่งเก็บไว้จนเต็มตู้เหล็กขนาดใหญ่ ภายในกองบัญชาการทหารสูงสุด
ส่วนข้อกังวลที่ว่าการใช้กองทัพยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนนั้น จะทำให้ต่างชาติโจมตีนั้น
อยากให้รู้ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ว่าบ้านเมืองก่อน 19 ก.ย.49
นั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ แม้แต่ประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐยังรู้ว่าเราเป็นอย่างไร
เพราะก่อนหน้าที่จะดำเนินการ ตนพูดคุยกับเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย
แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นสหรัฐฯ จึงเข้าใจสภาพการเมืองของไทยเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ย้อนกลับไป 4 ปี มีความเสียดายหรือไม่ว่า
ตอนมีอำนาจยังไม่ได้ทำอะไร พล.อ.สนธิ กล่าวว่า
สิ่งที่เสียดายมากคือ
หลังจากเหตุการณ์ 19 ก.ย.แล้ว อยากให้ใช้แนวทาง
พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำไว้ดี นำมาในการพัฒนาประเทศ แต่ไม่มีคนทำ
ตนเคยพูดในที่ประชุมครม. ด้วยว่า
ให้ใช้แนวทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำไว้ดีมาใช้ เช่น
นโยบายประชานิยมเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี
ถ้าเราเดินตามรอย พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเรื่องประชานิยม สังคมเราจะไม่แตกแยก
แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ทำ การทำแบบนี้เป็นคนละเรื่องกับการยึดอำนาจ
เพราะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไม่ดีก่อความเสียหายให้บ้านเมือง
ปรากฎชัดเจนมาจนถึงวันนี้เราไม่เอา แต่อะไรดี
ใครทำดีเราต้องเอามาพัฒนาต่อยอดให้มันดีขึ้น
ตนพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่กลัวเสียหน้า
นายพลสนธิฯนั้น ชื่อเล่นว่า “บัง” เพราะแกเป็นมุสลิม
ซึ่งในโรงเรียนทหาร-ตำรวจนั้น
มักเรียกเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นมุสลิมว่า “บัง” สนิทกันมากขึ้นก็เรียกว่า... “ไอ้บัง”
พออีตาบังสนธิฯแกเรืองอำนาจในกองทัพ เขาก็เอาคุณศัพท์คำว่า “บิ๊ก” ใส่ให้
ตามประเพณีที่เรียกนายทหารใหญ่ทั่วไป
ดังนั้น “บัง” อย่างสนธิ เลยกลายเป็น “บิ๊กบัง” ไป
แต่คนที่เขาไม่เห็นด้วย กับการยึดอำนาจของนายพลสนธิฯ
ซึ่งเป็นความผิดฐาน “กบฏ” ตามประมวลกฎหมายอาญา
เขาก็เลยให้ฉายาแกอย่างไม่พอใจว่า
“ไอ้บัง กบฏ”
สำหรับผมนั้น อยู่ในพวกที่ไม่ชอบการยึดอำนาจด้วยปืน
ก็ได้เขียนได้วิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐประหารแรงๆ แบบไม่ไว้หน้าหลายครั้งหลายหน
เพราะเมื่อเกิดการยึดอำนาจ ผมยังเขียนคอลัมน์ประจำอยู่ที่ ผู้จัดการออนไลน์
และได้เขียนตั้งแต่อีตาบังคนนี้ ยังนั่งโก้อยู่ในอำนาจด้วยซ้ำ
จนเป็นที่รู้กันไปทั่ว
ครั้นเมื่อการยึดอำนาจของ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกดำเนินมาครบปี
ผมก็ได้ออกหนังสือชื่อ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ"
เพราะเห็นว่า “รัดทำมะนวย” ที่พวกยึดอำนาจมันยกร่าง โดยมี
“ไอ้มีชัย กบาลใส” บัตเลอร์ทางกฎหมายตัวเอ้
เป็นกุนซือใหญ่ และหยิบยื่นให้ประชาชนนั้น จะสร้างข้อขัดแย้ง
และความยุ่งยากให้กับบ้านเมืองเป็นแน่แท้
จึงออกหนังสือดังกล่าวออกมา โดยเสียดสีว่า
เป็นการฉลองครบรอบปีของการรัฐประหาร ที่นำโดย “ไอ้บัง กบฏ”
พวกที่อิงแอบกับ คมช. ไม่ว่าจะเป็น “ไอ้สงค์ ฟันดำ”
หรือบรรดาสมาชิก สนช. ต่างลุกขึ้นมาเอะอะโวยว่า
จะต้องแจ้งความดำเนินคดีกับผม เพราะดูถูกดูแคลน“รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ”
ที่แสนประเสริฐเลิศสะแมนแตนของพวกมัน โดยไอ้คนพวกนี้ไม่รู้ว่า
ประชาชนอย่างท่านผู้อ่าน (และผมด้วย) นั้น มีสิทธิ์ตั้งฉายา
หรือด่าโคตรพ่อโคตรแม่ หรือให้ของลับ ไม่ว่าจะเป็นรัดทำมะนวย
หรือรัฐธรรมนูญฉบับใดๆก็ได้ โดยไม่ผิดกฎหมายอันใดเลย
พอไอ้พวกนี้มันรู้ความจริง ก็เลยไม่กล้าไปแจ้งความ!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
ที่ผมต้องลุกขึ้นมา พูดจาว่ากล่าวกันในวันนี้อีกครั้ง
เพราะจะถึงวันครบรอบสี่ปี ที่ประเทศเราต้องตกอยู่ในความเสื่อม
เพราะนายพลสนธิฯกับพวก เป็นเหตุสำคัญ
ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำว่า
การก่อรัฐประหารของ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกนั้น
ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ เพราะเหตุผลในการยึดอำนาจ
โดยอ้างว่าประชาชนแบ่งแยกเป็นสองพวก
ซึ่งมีความเห็นไม่ลงรอยกันและต่างฝ่ายต่างสะสมอาวุธ
กำลังจะยกพวกเข้าห้ำหั่นกัน
ทหารจึงต้องเข้ายึดอำนาจ
แต่ท่านทั้งหลาย คงเห็นแล้วว่า
หลังการปฏิวัติรัฐประหาร กลับไม่ปรากฏว่า
ทหารที่ทำการยึดอำนาจ ก็ไม่สามารถจับกุมอาวุธจากฝ่ายใดได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายต่อต้าน หรือฝ่ายสนับสนุนนายกฯทักษิณ
ไม่มีแม้แต่ปืนสักกระบอก หรือมีดพร้ากระท้าขวานสักเล่ม
หรือแม้กระทั่ง ‘สากกะเบือ’ สักดุ้น ที่จะเป็นเครื่องแสดงหรือสิ่งบอกเหตุว่า
กองกำลังทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เป็นชาวบ้าน มีอาวุธเอาไว้ในความครอบครอง
เพื่อที่จะเอาไว้ฆ่าฟันกัน!
นักเรียนอาชีวะตีกัน ยังมีอาวุธมากกว่าที่ไอ้พวกยึดอำนาจ มันกล่าวอ้างเสียอีก!!
ดังนั้น การหาเหตุมาเพื่อกระทำรัฐประหารนั้น
กลายเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล จนผู้คนเขาพากันพูดว่า
“โกหกชิบหายเลยนะ ‘ไอ้บัง กบฏ’ ...ไอ้ตอแหล!!!”
เขาพูดกันอย่างนี้จริงๆ แต่ไม่รู้ว่านายพลสนธิฯ แกรู้ตัวบ้างหรือเปล่า?
ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น คือ
การกระทำของ “ไอ้บัง กบฏ”กับพวก
ได้ทำให้บ้านเมืองของเราต้องตกต่ำในสังคมระหว่างประเทศ
ไทยเราต้องจมปลักอยู่ในความขัดแย้งมายาวนาน จนจะครบสี่ปี ในวันที่ 19 ก.ย.2553
ที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เลยถือโอกาสออกมาพูด
ดักหน้าเสียก่อน
การยึดอำนาจของ “ไอ้บัง กบฏ” กลายเป็น ‘ลิ่ม’ ดอกใหญ่
ที่ตอกให้เกิดความความแตกแยก ทั้งทางความคิด และความสามัคคีในหมู่ผู้คน
บนแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักของเรา
ให้หนักหนาสาหัส ยิ่งขึ้นไปอีก!
ที่เป็นอย่างนั้น เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเคารพนับถือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งคนเหล่านั้นเห็นว่า ผู้นำประเทศคนนี้นำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า
ในท้องถิ่นของพวกเขา ที่ได้รับการเหลียวแลน้อยมากจากทางราชการ
ชาวบ้านได้แสดงออกให้เห็นชัดเจน
ถึงความชื่นชมนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณฯเป็นอย่างยิ่ง
แบบที่ไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนไหน เคยได้รับมาก่อนเลย!
จนกระทั่งเมื่ออดีตนายตำรวจผู้นี้ ได้บริหารราชการงานแผ่นดิน
ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มาครบสี่ปีแล้ว ก็จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และ....
พรรคของเขา...ชนะอย่างถล่มทลาย!
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของไทย
ที่พรรคเดียวครองเสียงข้างมาก แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ทำเอาพรรคการเมืองเก่าแก่และเก่ากลางทั้งหลาย ต้องขมขื่นเพราะพบกับการพ่ายแพ้
อย่างย่อยยับ!!
นี่เอง เป็นเหตุให้พรรคการเมืองกะโหลกกะลา
รู้ตัวว่าไม่มีทางสู้กับทักษิณในระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว
จึงเปลี่ยนไปเล่นนอกเกม โดยหันไปสนับสนุนฝ่ายพันธมาร
ให้สร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศชาติบ้านเมืองของเราต่อไปอีก แบบชนิด...
พรรคแพ้...คนไม่แพ้!
เมื่อ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกยึดอำนาจ
ได้รัฐบาลโลซกของนายกเขายายเที่ยง เข้ามาบริหารประเทศ
และทันทีที่คืนอำนาจให้ประชาชน โดยจัดการเลือกตั้งใหม่
อีกทั้ง คมช. ก็ตีกันอย่างเต็มที่ โดยเบิกเงินหลวงไป
เพื่อรณรงค์เรื่องการเลือกตั้ง
แต่แท้ที่จริง เป็นการต่อต้านพรรคทักษิณโดยเฉพาะ
จำนวนเงินที่เบิกไปสูงถึง 5,000,000,000.00 บาท (ห้าพันล้านบาทถ้วน)
ซึ่งก่อนหน้าได้เบิกไป 2,000,000,000.00 บาท (สองพันล้านบาทถ้วน) แล้ว
โดยอ้างว่า
...เป็นค่าใช้จ่าย ในการเคลื่อนกำลัง...ทำรัฐประหาร!
ไม่น่าเชื่อว่าในการเลือกตั้งครั้งแรก หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
คนไทยทั้งหลาย ที่เป็นชาวบ้านธรรมดา ก็ได้แสดงพลังแข็งแกร่ง
เลือกพรรคของทักษิณมากที่สุด ซึ่งพลิกความคาดหมายของผู้คนทั้งปวง
จนพรรคกะโหลกกะลาและพรรคห้อยหิวโหยทั้งหลาย ออกอาการกลัวตัวซี้ตัวสั่น
ไม่อยากกลับเข้าสู่การเลือกตั้งอีกเลย เพราะคนพวกนี้รู้ดีว่า
ชาวบ้านยังรักทักษิณ จะต้องลงคะแนนให้พรรคของนายกฯ
ที่พวกเขานิยมชมชอบ ชนะเลือกตั้งซ้ำอีกครั้ง เป็นแน่แท้!
ผู้คนเขาพูดกันให้อื้ออึงกันว่า
ต่อให้มีการเลือกตั้งอีกไม่ว่าจะปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหน ชาวบ้านก็ยังเชื่อว่า
พรรคทักษิณนั่นแหละเป็นฝ่ายชนะอีก
เพราะไอ้รัฐบาลที่บริหารอยู่ขณะนี้นั้น มีแต่เรื่องการทุจริตคอรัปชั่น
และสารพัดยัด-สารพัดแดก ถูกตีแผ่ผ่านสื่อมวลชนออกมาอย่างถี่ยิบ
เพิ่มความเกลียดชัง ให้กับราษฎรไทยมากขึ้นทุกวัน!
ความเสียหายอีกด้านหนึ่ง อันเป็นความชั่วร้ายแห่งการยึดอำนาจของไอ้พวกกบฏ คือ
การกระทำให้เกิดความเสียหายในกระบวนการยุติธรรม นั่นคือ
การออกคำสั่งของพวกกบฏ ที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมา
เพียงเพื่อใช้สอบสวน กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
คือ นายกฯทักษิณ
ทั้งๆที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ยังคงมีใช้อยู่ตามปกติ ยังไม่มีการยกเลิกแต่ประการใด
ที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง คือศาลไทยไม่กล้าหาญเหมือนกับศาลในอีกหลายประเทศ
ที่ผู้พิพากษาแข็งขืนต่ออำนาจปากกระบอกปืนอันไม่ชอบธรรม แต่ศาลไทยเรานั้น
กลับยอมรับ...อำนาจคณะรัฐประหารอย่างว่าง่าย!
อย่างไรก็น่าเห็นแต่ใจ เพราะพวกผู้พิพากษาต่างก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล
ย่อมเกรงภยันตรายจะมาคุกคามมาถึงตัว แต่ที่น่าเศร้าอย่างจับใจ คือ
มีข่าวออกมาโดยมีพยานบุคคลยืนยันชัดชัดเจนว่า
อดีตประธานศาลฎีกา (ขณะอยู่ในตำแหน่ง) ยังไปสุมหัวกบาล
เพื่อก่อการรัฐประหารกับเขาด้วย...
วงการตุลาการ...ยิ่งเสียหายหนักเข้าไปอีก!
ดังนั้น การตัดสินคดีการเมืองบางคดี คณะผู้พิพากษา
ซึ่งเคยตัดสินความในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
กลับลดเกียรติมานั่งพิจารณาคดี ตามคำสั่งของ “ไอ้บัง กบฏ”
โดยไม่สวมเสื้อคลุมบอกฐานะแห่งตน อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในประวัติอันยาวนานของตุลาการไทย!
แต่ก็น่าชื่นชม เพราะ...
ท่ามกลางความมืดมิด ของแวดวงดงตุลาการ กลับปรากฏ
มีแสงเทียนเล่มเล็กๆ ที่จุดสว่างเด่น ท่ามกลางความอนธการนั้น
ด้วยยังมีผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่มีความหาญกล้า ที่ยืนหยัดท้าทายความไม่ถูกต้อง
โดยกล้าออกคำวินิจฉัยส่วนตนว่า การปฏิวัติรัฐประหารเป็นเรื่องไม่ชอบ นั่นคือ
ท่านผู้พิพากษาศาลฎีกา กีรติ กาญจนรินทร์
ซึ่งผมได้เขียนสรรเสริญท่านเอาไว้แล้ว
ในคอลัมน์ “จดหมายฟ้องโลก” ที่กระฉ่อนไปทั่ว
เมืองไทยของเรานั้น ยังมี ‘ผู้กล้า’ หลงเหลืออยู่เสมอ!
สำหรับตัวนายพลสนธิ หรือ “ไอ้บัง กบฏ” ที่ให้สัมภาษณ์ข้างต้นว่า
พูดคุยกับทางสถานทูตสหรัฐโดยตลอด
ก็เป็นคำพูดที่เสมือนมีความพยายาม ทำให้ผู้คนเข้าใจว่า
ทางสหรัฐอเมริกานั้น เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
ซึ่งนี่ก็เป็นการ “ตอแหล” อีกเหมือนกัน
เพราะผมยืนยันได้ว่า ในฐานะชาติผู้นำประชาธิปไตย สหรัฐไม่มีทางทำเช่นนั้น อย่างเด็ดขาด!
เราจะเห็นได้จากพฤติกรรมของสหรัฐ เมื่อการรัฐประหาร
19 ก.ย.2553 เสร็จสิ้นลง มหาอำนาจอย่างลุงแซม ได้แสดงปฏิกิริยาไม่พอใจ
และโต้ตอบด้วยการยุติความช่วยเหลือไทย
แม้แต่เครื่องบินรบตระกูล F ก็ไม่ขายให้ไทย
จนทำให้ทางผู้นำเหล่าทัพ ต้องกระดี๊กระด๊า ไปซื้อหาเครื่องบินกริพเพน ของสวีเดน
ที่สื่อต่างประเทศเขาลงว่า เป็นเครื่อง Rebuilt
อู้ฟู่...สนุกสนาน บานทะโรคกันไปเลย!
ความจริงแล้ว นายพลสนธิฯ เองก็มีความกระสัน หรือพูดตรงๆว่า “เงี่ยน”
อยากจะเข้าสู่อำนาจในการบริหารประเทศ กับเขาเหมือนกัน
แต่จำต้องหลีกทางให้กับ สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ซึ่งปัจจุบันเขาว่า...ไม่มองหน้ากันแล้ว)
ที่ผู้สนับสนุนแข็งโป๊ก แต่ “ไอ้บัง กบฏ” ทำปากเก่ง เพราะเคยประกาศว่า
“ไม่อยากเป็น...นายกรัฐมนตรี”
ผมเห็นเป็นช่องโหว่ เลยกระหน่ำไปด้วยบทความชื่อ
“พล.อ.สนธิฯไม่ยอมเป็นนายกรัฐมนตรี แค่นี้ก็ดีกับประเทศไทย นักหนาแล้ววววว!!!”
ลงในเว็บผู้จัดการ เมื่อ 1 พฤษภาคม 2550
เพราะเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เจ้าตัวออกมาสำแดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหา
ทางเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังตกต่ำอยู่ในขณะนั้น และจากการให้สัมภาษณ์
นายคนนี้ได้แสดงให้เห็นความ “บื้อ” ออกมาอย่างชัดเจน
ผมเขียนเอาไว้อย่างไรนั้น
ขอให้ท่านผู้อ่านลองคลิกเข้าไปดูกันเอาเอง ตามลิงค์ที่ให้ไว้ท้ายบท
ถึงวันนี้นายพลสนธิฯ ยังโง่ไม่สร่าง
เพราะออกมาให้สัมภาษณ์แบบคนปัญญาน้อย ด้วยการยกย่อง "ทักษิณโมเดล"
ซึ่งเป็นโครงการของคุณทักษิณ อย่างที่เราได้เห็นและได้ฟังกันแล้ว
อยากจะบอกให้ “ไอ้บัง กบฏ” รู้ว่า
โครงการที่ริเริ่มโดยคุณทักษิณนั้น มันยังฝังแน่นอยู่ในใจของผู้คน
เพราะราษฎรเหล่านั้น เขาเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง
ไม่ว่าจะเป็นสามสิบบาทรักษาทุกโรค โอทอป กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ
แม้รัฐบาลสุรยุทธ์ จะพยายามเปลี่ยนชื่อโครงการดังกล่าว
เพียงเพื่อให้ประชาชน ลืมคนชื่อทักษิณ ซึ่งใช้เงินทองไปมากมาย
แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย
เพราะพี่น้องประชาชนไทยนั้นรู้คุณคน ไม่เคยลืมผู้นำอย่างทักษิณ
ที่สร้างคณานุประโยชน์ให้กับพวกเขาทั้งหลาย
ทำให้ลืมหน้าอ้าปาก มีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ
ทักษิณยังได้สร้างปัญญา และความรู้ รวมทั้งจัดหาแหล่งทุน
ในการช่วยให้ผู้คนในประเทศนี้ มีช่องทางทำมาหากินโดยสุจริต
ทำให้ชีวิตพวกเขา มีความสุขมากขึ้น!
เมื่อพรรคด้อยปัญญา แต่มากปัญหา อย่างประชาธิเปรต เข้ามาบริหารประเทศ
แต่กลับไม่มีโครงการใหม่ปรากฏให้เห็นชัด
นอกจากพยายามลอกเลียนแบบของเก่า ที่ทักษิณได้สร้างไว้
เพียงแต่จับตัดโน่นนิด ต่อนี่หน่อย กะริบกะร่อยเป็นหะมอยแซมตูด
กระจุกเล็กกระจุกน้อย กระจัดกระจายไปทั่ว
ซึ่งชาวบ้านร้านตลาดเพียงแค่เห็น เขาก็รู้และพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่า
“ไอ้พวกเปรตนี่มัน ‘ลอก’ ทักษิณทั้งนั้น ไอ้สันดานพวกนี้มันคิดเองไม่เป็น!...
...คิดเป็นแต่เรื่องคอรัปชั่น จะแดกกันลูกเดียว!!”
ครับ...เขาพูดกันอย่างนี้จริงๆ
ผมเลยต้องเก็บมาเล่า ให้ท่านผู้อ่านได้รับฟัง และรับทราบโดยทั่วกัน!!!
จากการยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย.2553 นั้น เป็นความจังไรไร้เทียมทาน
ซึ่งพฤติกรรมของ “ไอ้บัง กบฏ” ได้สร้างความแตกแยก
และความเลวทรามให้กับประเทศ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน
มันเป็นความชั่วร้าย ที่ทำลายระบอบการปกครองของประชาชน
ผมจึงอยากจะให้ฉายานายพลสนธิฯเพิ่มอีก 1 ฉายา คือ
“ซาตาน ประชาธิปไตย” หรือ “ไซตอน ประชาธิปไตย”
ซึ่งเสมือนปีศาจ หรือซาตาน
หรือ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
ซึ่งเขาผู้นี้ ได้ก่อกรรมทำเข็ญให้คนไทยทุกผู้ทุกนาม
ต้องก้มหน้ารับผลร้ายอย่างหดหู่ ยาวนานถึงสี่ปีเต็ม และจะดำเนินต่อไปอีก
แต่กลุ่มคนที่สบายจากความทุกข์ของพี่น้องประชาชน คือ
ไอ้พวก คมช.ที่กลายเป็น “คณะมั่งมีแห่งชาติ” เพราะ ‘อู้ฟู่’ กันไปถ้วนหน้าหมดแล้ว
ถึงกระนั้นสิ่งที่ยังค้างคาใจผม และผู้คนในชาติเหลือกำลัง คือ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในระหว่างที่นายพลสนธิฯและพรรคพวก คมช.ของตน
ยังนั่งอยู่ในอำนาจ นั่นคือ
เหตุระเบิดที่บริเวณปากซอยราชวิถี 24 มุ่งหน้าสวนจิตรลดา
ใกล้บริเวณมูลนิธิไทยคม และเขตพะราชฐานพระราชวังสวนจิตรลดา
เมื่อเวลาประมาณ 21.23 น. ของวันที่ 5พ.ค.50 ซึ่งเป็น
วันฉัตรมงคล
ผู้คนเขาลือกันสนั่นกรุงว่า เป็นฝีมือของ....
“...ไอ้พวกที่เมียไม่มีวาสนา ได้เป็น ‘คุณหญิง’ กับเขา!”
ขอให้ท่านผู้อ่าน ได้โปรดรับทราบว่า
หากผมเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน กับอดีตหัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549
ซึ่งรับผิดชอบ ดูแลความสงบเรียบร้อย ของบ้านเมืองในตอนนั้น
ก็เห็นจะต้องถามกัน อย่างตรงไปตรงมาว่า
“จริงหรือเปล่าวะ...ไอ้บัง กบฏ!!!?”
................
ท้ายบท ท่านผู้อ่านสามารถค้นหาบทความ ที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้
1. บทความของวาทตะวัน ชื่อ ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่ ‘สุมกบาล’ เพื่อก่อกบฏ!
(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=139)
2.บทความของวาทตะวัน ชื่อ “พล.อ.สนธิฯไม่ยอมเป็นนายกรัฐมนตรี
แค่นี้ก็ดีกับประเทศไทย นักหนาแล้ววววว!!!”
(http://www.manager.co.th/Columnist/ViewN...000049476)
(***บทความประจำสัปดาห์ ตอน “ไซตอน” ประชาธิปไตย
(สนธิ บุณยะรัตกลิน... “ไอ้บัง กบฏ” ไง!) ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 11 ก.ย.2553)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=249
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น