หลัง จากเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายน/พฤษภาคมปี 2553 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลให้พลเรือนเกือบ 90รายเสียชีวิต รัฐบาลไทยได้พูดพึมพำถึงเรื่องแผนการปรองดองสมานฉันท์ โดยรัฐบาลสัญญาว่าจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของทุกฝ่าย
และความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ซึ่งจะแก้ไขการขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ธรรมตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาล
แต่เป็นที่น่าเสีย เพราะเกือบสี่เดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่รัฐบาลได้ให้สัญญาไว้ การกระทำของรัฐบาลที่ทำลายกระบวนการสมานฉันท์ปรองดองเผยให้เห็นถึงเบื้องลึก ของความขัดแย้งอันสิ่งเลวร้ายซึ่งเต็มไปด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ
เราสามารถสังเกตเห็นการกระทำของรัฐบาลที่พยายามบิดเบือนกระบวนการ สมานฉันท์ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเข้มงวดกวดขันและจำกัดสิทธิพื้นฐานของพลเรือน และในขณะเดียวกันยังเพ่งเล็งการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างคนเสื้อแดง โดยมีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ. – “แก้ไข” ได้กลายมาเป็นคำอธิบายที่ตลกร้ายของหน่วยงานนี้) เป็นผู้การกระทำการอันกดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชนเป็นส่วนใหญ่ การกระทำอันกดขี่เหล่านี้ได้รวมไปถึงการปิดบังข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก ( เวปไซต์กว่า 100000 เวปไซต์ถูกบล็อก) ไปจนถึงเรื่องที่ไร้สาระ อย่างที่โฆษกศอฉ. ได้
ออกมาประกาศว่าการวางดอกไม้สีแดงหน้าเรือนจำเพื่อระลึกถึงนักโทษทางการเมืองอาจหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงและก้าวล่วงอำนาจศาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสมาชิกรัฐบาลซึ่งส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวรุนแรง พันธมิตรได้แสดงความหวาดระแรงอย่างมากต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของ ประชาชน และความหวาดระแวงดังกล่าวส่งผลให้รัฐดำเนินนโยบายปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอย่าง รุนแรงที่สุด รวมไปถึงการบิดเบือนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุดในประวัติการณ์ ในยุคปัจจุบัน หลังจากการสั่งปิดนิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารที่ถูกสั่งปิดตัวลงล่าสุดในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา นายประวิทย์ โรจนพฤษก์ได้แสดงความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นว่า “ ประเทศไทยกำลังจะกลายเป็น “สังคมแห่งการปิดบังข้อมูลข่าวสาร” อย่างต่อเนื่อง ความคิดเห็นบางอย่างเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หรืออาชญากรรม การพูดคุยถึงเรื่องต้องห้ามบางเรื่องถือเป็นความกล้าหาญทางการเมือง” และนาย David Streckfuss ยังได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มใหม่ที่มีเนื้อหาโดดเด่นของเขาว่า ในประเทศไทย ความจริงมักจะถูกลงโทษ พรรคผู้นำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์แสดงให้เห็นการใช้อำนาจที่คลุมเครือ น่าสงสัยโดยการดำเนินคดีกับบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดกฎหมายหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือจำนวนคดีที่ศาลรับพิจารณาในปี 2553 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการดำเนินคดีในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถึง 1500 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2539และ 2548
แทนที่รัฐบาลจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยจัดให้มีการดำเนินการสอบสวน เหตุการณ์การสังหารผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธตามอำเภอใจในเดือน เมษายน/พฤษภาคมอย่างจริงจัง รัฐบาลกลับเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหน้าที่ที่เชื่อว่ามีส่วนรับผิดชอบในการสั่ง การและดำเนินการสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นการส่งข้อความที่ชัดเจนว่าจะไม่มีการลงโทษหรือการแสดงความรับผิดชอบ ใดๆต่อการใช้กำลังที่เกินสมควรต่อผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะหากเหยื่อเหล่านั้นใส่เสื้อสีแดง ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้นำหัวเก่าที่มีแนวความคิดต่อต้านคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในเป็นผู้บัญชาการทหารบก และสถาปนิกผู้ร่างแผนการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครอย่าง พลโทดาว์พงษ์ รันตสุวรรณ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเช่นกัน
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในการปกครองแบบระบอบเผด็จการ ทหารคือการเลื่อนตำแหน่งในกับพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม สิ่งที่น่าประหลาดใจคือนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ถูกดำเนินคดีว่ามีความ เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย (หรืออุ้มฆ่า) โดยการกระทำดังกล่าวส่งผลเกิดความร้าวฉานของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ความไม่คืบหน้าของการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการสังหาร 4นักการทูตของซาอุดิอาระเบีย และการติดตามเพชรของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียที่ถูกขโมยไปในช่วงเวลาที่ใกล้ เคียงกัน (มีการอ้างว่าเพชรดังกล่าวได้ให้เป็นของขวัญแก่กลุ่มตระกูลที่มีอำนาจมากที่ สุดในประเทศไทย) ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งสอง ประเทศ
ผลกระทบที่ตามมาจากการเลื่อนตำแหน่งอันน่าฉงนของพล.ต.ท.สมคิด คือหนึ่งในตัวอย่างที่รัฐบาลไทยกำลังเผชิญกับการโดดเดี่ยวประเทศจากนานาชาติ และจะเพิ่มมากขึ้นหากรัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายเช่นเดียวกันนี้ ( การแสดงความไม่เต็มใจอย่างต่อเนื่องที่จะส่งตัวพ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซีย นายบูทไปยังสหรัฐก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง) อภิสิทธ์ได้สัญญาว่าจะมีการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อนำเป็นไปสู่การ แก้ไขปัญหาทางการเมือง แต่อภิสิทธิ์กลับคุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยราย พรรคประชาธิปัตย์ได้สัญญากับประเทศสัมพันธมิตรว่าจะพยายามจัดให้มีการเลือก ตั้งใหม่ แต่กลับพยายามทำลายและกำจัดฝ่ายการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม โดยใช้เป็นเงื่อนในการจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งต่อไป และในขณะเดียวกัน ได้มีข้อบ่งชี้หลายข้อที่พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนิน นโยบายสร้างความหวาดกลัว เพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการกับใช้อำนาจฉุกเฉินของตนเอง โดยใช้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดเป็นข้ออ้าง และทุกครั้งที่รัฐบาลถูกกดดันให้ยกเลิกการลิดรอนสิทธิของฝ่ายตรงข้าม มักจะมีเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเกิดขึ้น
รอยด่างของภาพลักษณ์ของประเทศไทยบนเวทีโลกก็ปรากฏจัดเจนขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศเยอรมันตัดสินใจยับยั้งการขาย อาวุธทางการทหาร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถหุ้มเกราะที่ผลิตใน ยูเครนให้กองทัพไทย โดยอ้างถึงกฎเกณฑ์ของกลุ่มประเทศยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับ “รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงทำลายหรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนอย่างเป็นระบบ” ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นที่จะถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีการใช้อำนาจรัฐที่ รุนแรง เป็นประเทศที่มีการทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะเป็นดินแดนแห่งแสงแดดและรอยยิ้มตามที่ชาวตะวันตกหลายคนมอง
คงไม่มีอะไรจะจูงใจรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนแปลงได้จนกว่าประเทศสัมพันธมิตรที่ สำคัญอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และประเทศในยุโยปจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยว่าการ ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยเปิดเผย และการใช้ความรุนแรงกำจัดประชาชนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย และข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนคือ กลุ่มอำมาตย์พร้อมและยอมที่จะโดดเดียวประเทศเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตนเอง แนวโน้มยุทธศาสตร์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ากังวล และอาจจะเหลือช่องทางเพียงน้อยนิดสำหรับประชาคมโลกที่จะแสดงจุดยืนก่อนที่ รัฐบาลไทยจะก่อความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏชัดคือฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลถูกใส้ร้ายอย่างรวดเร็ว จากการดำเนินนโยบายที่กดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชน การจำกัดเสรีภาพประชาชนแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เกินความจำเป็นของ รัฐบาลไทย องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์กรนิโทษกรรมสากล (ซึ่งการยอมรับการจองจำบุคคลที่ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์กร นี้คือสิ่งที่น่าอัปยศ) ควรจะดำเนินนโยบายที่สอดคล้องโดยการแสดงจุดยืนว่ารัฐบาลไทยจะต้องถูกลงโทษ หากยังคงดำเนินนโยบายใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชน
หากเราเผชิญหน้ากับรัฐบาลที่ “รักษาอำนาจโดยการคอรัปชั่น หลอกลวง และปิดปากผู้ที่ไม่เห็นด้วย” ตามที่ประธานาธิบดีได้กล่าวในวาระที่เข้ารับตำแหน่่งว่า นานาชาติมีพันธกรณีที่จะ “ไม่ยื่นมือ” ให้ความช่วยเหลือ จนกว่ารัฐบาลไทยจะคลายกำปั้นของตัวเองออกมา
Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น