เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ที่ น.ส.พ. “ไทยรัฐ”
เริ่มการโจมตีรัฐบาลของนาย
ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับประชาชนคนไทย
ในการเป็นรัฐบาล “ไดแหวก”
แบบทุกเม็ดทุกดอกแดกกันได้ว่องไว ไม่มีพลาดจริงๆ
การเปิดโปงของไทยรัฐ คงสร้างความขัดเคืองให้กับทางฝ่ายรัฐบาลอย่างยิ่ง
ถึงขั้นจะ “สั่งปิด” หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับนี้
แต่ผมเชื่อว่านักการเมืองหรือทหาร
ไม่มีวันกล้ากระทำการชั่วร้ายอย่างนั้น เพราะประชาชนคนในชาติ
ต้องลุกฮือแน่!
เลือดนักหนังสือพิมพ์ที่อยู่คู่สังคมมานาน อย่าง
“ไทยรัฐ”ไม่ได้แสดงความยำเกรงรัฐบาลนาย
กลับสวนด้วยการสัมภาษณ์
นายกฯทักษิณ ชินวัตร แบบเอ็กซคลูซีฟซะเลย...
ยินดีด้วยกับ “ไทยรัฐ” ...join the club!!...555
การทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมือง ยุคประชาธิปัตย์ครองเมือง
ได้แผ่ขยายไปอย่างน่ากลัว สร้างความสะอิดสะเอียนให้กับประชาชนจำนวนมาก
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ข่าวคราวความไร้สมรรถภาพในการสอบสวนเอาผิดกับคนเหล่านี้
โดยหน่วยงานของรัฐ คือ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
กลับโผล่ออกมา ให้ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ได้เห็น และตื่นตกใจกัน
ซึ่งผมได้รายงานให้ท่านผู้อ่านรับทราบ
ในคอลัมน์ “ซุปเปอร์...จังไร” เมื่อสัปดาห์ก่อน
แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมได้บรรยายไปนั้น ยังไม่หมด เลยต้องขอกระแทกต่อในสัปดาห์นี้
อีกสักดอกสองดอกเถอะครับ
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
ในการต่อกรกับนักการเมือง หรือข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ทุจริตคอรัปชั่นนั้น
พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบในสำนวนการสอบสวนนั้น จะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ
มีความมุ่งมั่น ทุ่มเทเอาใจใส่ ในการดำเนินคดีกับคนที่โกงชาติบ้านเมือง หรือพูดสั้นๆว่า
มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง
จึงจะสามารถเอาไอ้คนเหล่านี้ เข้าคุกได้สำเร็จ!
เมื่อพูดมาถึงความรู้ความสามารถกันแล้ว
ทำให้ผมนึกถึงผู้บังคับบัญชาตำรวจท่านหนึ่ง ที่มีความเชี่ยวชาญในการสอบสวน
เรียกได้ว่าอยู่แถวหน้าทีเดียว และเคยดำรงตำแหน่ง “ผู้บังคับการกองปราบปราม” ด้วย
ท่านผู้นี้ได้ทำคดีดังๆเอาไว้มากมาย ตั้งแต่ยังเป็นนายตำรวจเด็กๆ
เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องในเรื่องการสอบสวน จนเป็นที่เลื่องลือ
และยังเป็นอาจารย์สอนวิชาการสอบสวน ทั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ
และหลักสูตรอื่นๆของกรมตำรวจด้วย
นายตำรวจท่านนี้ เขียนหนังสือรวดเร็วมาก สมองว่องไว ตรวจสำนวนการสอบสวน
ถูกต้องแม่นยำโดยใช้เวลาแสนสั้น นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยปฏิภาณไหวพริบ
ในการโต้ตอบกับผู้คนได้อย่างเฉียบแหลมคมคาย
แต่เวลาท่านดุหรือตำหนินายตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชา ก็กระทำด้วยความเมตตาอย่างยิ่งคือ
ดุไปด้วย...สอนไปด้วย!
ครั้งหนึ่งระหว่างทำหน้าที่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ท่านได้เรียกนายตำรวจคนหนึ่งมาต่อว่า เกี่ยวกับความบกพร่องในการทำสำนวน
หลังจากนั้นท่านได้เล่าให้ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง
กับนายตำรวจผู้ใหญ่อีกหลายนายฟังในวงสนทนาว่า
คดีพื้นๆอย่างนี้ แต่พนักงานสอบสวนทำมาอย่างไม่มีความรอบคอบ
และท่านใช้คำพูดที่ผมยังจำไม่ลืม ว่า
“ผมเลยต่อว่าต่อขานเขาไปว่า
คดีง่ายๆอย่างนี้เอาดินสอหนีบตูดเขียนก็ได้แล้ว
ไม่ต้องถึงกับใช้มือเขียน ให้เสียมือเปล่าๆ!”
ผู้บังคับบัญชาและนายตำรวจที่นั่งอยู่ในวง...ฮากันครืน!!
หลังจากนั้น คำว่า “คดีดินสอหนีบตูด”
ซึ่งไม่ได้มีความหมายหยาบคาย หากมีลักษณะเป็นการประชดประชัน และใช้กันเฉพาะกลุ่ม
เลยกลายเป็นคำที่แพร่หลายกันมาก
สำหรับบุคลากรของกองบัญชาการสอบสวนกลางในยุคนั้น
ถ้าพนักงานสอบสวนคนไหน ถูกตำหนิว่า
“คดีดินสอหนีบตูดยังทำไม่ได้ดี สำมะหาอะไรกับคดีใหญ่ๆ
จะมีปัญญาไปทำอะไรได้!!”
หากเป็นเช่นว่า นายตำรวจคนนั้นจะต้องรีบปรับปรุงตัวกันเป็นการใหญ่แล้ว
ไม่เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนหน้าที่ ไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่พนักงานสอบสวน
ต่อมามีการตั้ง กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ
โดยปรับภารกิจของกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากร
โอนการต่างด้าวไปยังกองตรวจคนเข้าเมือง คงไว้ซึ่งคดีภาษีอากร
และกำหนดภารกิจเพิ่มเติม ให้มีอำนาจสอบสวนในคดีความผิดเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์
บริษัทการเงิน การกระทำผิดในตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนั้นก็นำความผิดเกี่ยวกับสรรพสามิต และคดีทรัพย์สินทางปัญญารวมเข้าไปด้วย
กองบังคับการใหม่นี้ ต้องทำการสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับสถาบันการเงิน
ที่ประสบภายในปัญหาหลายต่อหลายคดีที่สำคัญ และมีจำนวนไม่น้อยที่มีนักการเมือง
ผู้ใกล้ชิดเช่น ลูกสาวแท้ๆของอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง พี่น้องแท้ๆของคนพวกนี้
บ้างก็เป็นญาติสนิท รวมทั้งภริยาที่ไม่จดทะเบียนนักการเมือง
เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงของบริษัทดังกล่าว
ครั้นจะมีการดำเนินคดีกับ คนพวกนี้หนีไปเสวยสุขต่างประเทศ
โดยมีคนเปิดทางสะดวกให้!
หลังจากตั้งกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ได้ไม่นาน
พวกที่เข้ามามีอำนาจบริหารบ้านเมืองคือพรรคประชาธิปัตย์
ได้มีนโยบายที่จะเอาคดีเหล่านี้ไปเสียจากกรมตำรวจ
โดยจะนำไปรวมไว้หน่วยงานที่จะจัดขึ้นใหม่ จนมีการแอบนินทากันว่า
แท้ที่จริงแล้ว ฝ่ายการเมืองจะตัดอำนาจตำรวจ
ไม่ให้สอบสวนคดีบรรดาพรรคพวกนักการเมือง
กระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายการเงินการธนาคาร อีกทั้งจะเอาคดีง่ายๆประเภท
“คดีดินสอหนีบตูด” แต่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมหาศาล
ให้ไปอยู่ในมือของนักการเมือง เช่น
คดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะเรื่องเทปผีซีดีเถื่อน
ที่ “เสี่ยเจียง”เคยนำบรรดาพวกดาราศิลปิน ไปเขย่ารั้วทำเนียบเรียกร้อง
ให้รัฐบาลเร่งปราบปราม
นั่นแหละครับ!
วงการนี้ก็รู้กันดีว่า เบื้องหลังมีนักการเมืองคนไหน พรรคไหน
เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นตัวแกนสำคัญอยู่เห็นๆ!!
อย่างไรก็ตาม แนวความคิดโอน “คดีดินสอหนีบตูด” ของพรรคเก่าแก่
เป็นต้นเค้าความคิดของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ทันดำเนินการได้สำเร็จ ก็มีอันพ่ายแพ้การเลือกตั้งไป
และพรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล ดันไปรับเอา ‘กากความคิด’
เรื่องกรมสอบสวนคดีพิเศษจากประชาธิปัตย์มาสานต่อ
และได้ออกกฎหมายที่จัดตั้งกรมนี้มาอย่างสุดแสบ คือ
ให้นายกรัฐมนตรีเป็น
“ประธานกรรมการคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ”
ซึ่งมีอำนาจกว้างขวางมาก
นับเป็นครั้งแรกที่
นายกรัฐมนตรีไทย มีอำนาจเต็มที่ในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา
ไม่ผิดอะไรกับจัดองค์กรตำรวจใหม่ ขึ้นมาซ้อนองค์กรเดิม
ซึ่งไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติ
ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังแล้วว่า ผมได้เขียนคอลัมน์คัดค้านอย่างแข็งขันในเว็บไซด์
“ผู้จัดการ” แต่ก็เป็นเพียงเสียงเดียว เพราะบ้านเรายังไม่เข้าใจว่า
การให้ฝ่ายบริหาร มากุมอำนาจการสอบสวน ที่ผู้คนมักชอบเรียกว่าเป็น
“ต้นธาร”ของกระบวนการยุติธรรมแล้ว จะมีผลเสียหายร้ายแรงได้อย่างไร?
ถึงวันนี้ คดีก่อการร้ายของคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง
คงทำให้ท่านผู้อ่านเห็นกันชัดเจนแล้ว!!
การตัดโอนการสอบสวนไปจากตำรวจอีกหน่วยหนึ่ง คือ
การโอนการสอบสวนคดีทุจริต ซึ่งแต่เดิมมากองกำกับการ 6
กองปราบปรามเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาเมื่อมีการจัดหน่วยงานใหม่ ก็กลายเป็น
“กองบังคับการปราบปรามการทุจริต
และประพฤติมิชอบในวงราชการ” (บก.ปปป.)
การสอบสวนคดีทุจริตของตำรวจ ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีปัญหาแต่อย่างใด
เพราะตำรวจเคยดำเนินคดีมาแล้วทั้งนั้น ตั้งแต่นักการเมืองระดับรัฐมนตรี
ข้าราชการก็ทุกระดับชั้น
ไม่เห็นมี ‘ปัญหา’ อะไรมาก่อนเลย!
เรื่องการสอบสวน ไม่ได้ประสบปัญหา “ล่าช้า”
เพราะมีการควบคุมกันตามลำดับชั้นอย่างแน่นหนา
และตำรวจนั้นมีเกณฑ์พิจารณาว่า
คดีไหนล่าช้า จนถึงขั้นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน
เอาความผิดทางวินัยกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ รวมทั้ง
ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย
กับผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวน
ที่ไม่เอาใจใส่ควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของตนด้วย
นอกจากนั้นยังมีการควบคุมสำนวนการสอบสวนจากระดับกองบัญชาการ
และระดับสูงคือ “จเรตำรวจ” อีกด้วย
http://img809.imageshack.us/img809/4734/fighting.jpg
สัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมเขียนคอลัมน์ “ซุปเปอร์...จังไร”
ก็มีสาเหตุมาจาก การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไร้ประสิทธิภาพของ
ในการทำงานตามหน้าที่ของพวกเขา ซึ่งเป็นความเสียหายของชาติบ้านเมืองนั่นเอง
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดที่มี
นาย
แทนที่จะทำหน้าที่ของตน
ให้สมบรูณ์ตามกฎหมายดันกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง
โดยปล่อยคดีที่ตนกับพวกรับผิดชอบคั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมาก
ผู้กระทำความผิดจำนวนมากลอยนวล เพราะหาก ป.ป.ช.ไม่หยิบยกเรื่องมาทำ
ก็มีเวลาอีกนานนอกคุก
เรื่องที่น่าเกลียดน่าชังคือ...
คณะกรรมการ ป.ป.ช.เหล่านี้
ล้วนเป็นข้าราชการผู้ใหญ่มีประสบการณ์ในสายงานเดิมของตน
แต่เมื่อมาทำงานในหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
แม้จะมีพื้นฐานทางกฎหมายมาอย่างดี
แต่ส่วนมากขาดทักษะในการสอบสวน
จึงไม่สามารถทำการสอบสวนคดีให้มีประสิทธิภาพ
จนไม่สามารสร้างความยำเกรงให้กับบรรดานักการเมือง ข้าราชการ
พนักงานรัฐวิสาหกิจระดับสูงและผู้เกี่ยวข้องทุจริตโกงบ้านรับประทานเมืองได้
แต่เมื่อความแตกออกมา ว่า
นาย
เป็นต้นเหตุสำคัญ ในการปล่อยให้คดีของธนาคารอาคารสงเคราะห์ขาดอายุความ
แทนที่จะรับผิดชอบอย่างน้อยที่สุด ด้วยการ “ลาออก” ไปยกชุด
ไอ้คนพวกนี้มันกลับหาสำนึกผิดไม่ ยังเสือกลอยหน้าลอยตาออกบอกว่า
เหตุที่คดีล่าช้า
เพราะผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง
และ ป.ป.ช.ว่างเว้นจากการไม่มีผู้บริหารมานานในช่วงสุญญากาศหลังจากที่
ไม่มีคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ดูมัน ‘อ้าง’ ซิครับ!?
คนไม่รู้ก็นึกว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนาย
ช่างน่าสงสารเสียจริง เพราะมารับงานช้า หรือกระชั้นชิดเกินไป จึงสอบสวนไม่ทัน
ทำให้ส่งสำนวนไปอัยการก่อนกำหนดเพียงไม่กี่วันก่อนหมดอายุความ
เมื่ออัยการเขาเรียกให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปเพื่อฟ้อง ก็ส่งไม่ได้
ทำให้คดีขาดอายุความไป!
ต้องพูดกับสังคมไทยเรา ให้รับรู้กันชัดๆว่า
การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าหนา
ด้วยการออกมาแก้เกี้ยวความผิดของตนนั้น ผมบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า
ทำเสมือนคนไม่มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เพราะ....
คดีนี้อยู่ในมือของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้
ยาวนานถึง 4 ปี แล้ว
เวลาสี่ปีนี่จากเด็กมัธยมปลาย เข้าเรียนมหาวิทยาลัย จบปริญญาตรีพอดี
แต่สำนวนที่ว่า...กลับไม่เสร็จ!
บอกกันตรงไปตรงมาว่า คดีของธนาคารอาคารสงเคราะห์นั้น
ไม่ใช่คดีพิศโดกพิสดารอะไรเลยจริง เพราะเป็นแค่ “คดีดินสอหนีบตูด”
อีกคดีหนึ่งเท่านั้น
นายตำรวจระดับรองสารวัตรธรรมดาๆ ไม่ต้องโดดเด่นอะไรมากนัก
ก็สามารถทำให้คดีนี้ลุล่วงไปได้โดยง่าย ใยเวลาอันแสนสั้น
หรือใครจะเถียงว่า... “ไม่จริง”?
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้ผมพิจารณาแล้ว
เห็นว่าพวกเขาทะลึ่งใช้คำขวัญว่า
“ล้างทุจริตให้สิ้นแผ่นดิน เทอดไท้องค์ราชันย์”
วรรคแรกของคำขวัญ ที่ว่าจะล้างทุจริตนั้น ฟังดูเหมือนว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้
มีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง จึงได้ประกาศความตั้งใจ มุ่งมั่น
ที่จะกระทำเพื่อสนองพระเดชพระคุณพระผ่านเกล้าชาวไทย ด้วยการกวาดล้างการทุจริต
แต่...
การกระทำของพวกเขา (คือคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุด
ที่มีนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญเป็นประธาน) หาได้เป็นอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อ
ที่เอาสถาบันเบื้องสูงมาแอบอ้าง เพื่อสร้างความขลังและความชอบธรรม
ให้กับคณะกรรมการชุดนี้ แต่อย่างใดไม่!
แท้ที่จริงแล้ว คณะคณะกรรมการ ป.ป.ช. โลซกชุดนี้
ก็แค่เป็นไอ้เป็นพวกเกียจคร้าน
ละเลย จงใจไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่ ปล่อยให้คดีขาดอายุความ
ผู้ต้องหาหลุดลอยนวลเห็นๆ เงินทองที่เสียหายไป
เพราะการกระทำความผิด รัฐก็ไม่มีทางเรียกคืนได้แล้ว!
ถ้าเป็นพนักงานสอบสวนหน่วยงานตำรวจ
หมกคดีหรือดองคดีจนขาดอายุความอย่างนี้
ก็จะต้องถูกลงโทษลงทัณฑ์อย่างรุนแรง
ถึงขั้นไล่ออก ปลดออกแน่นอน ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
อาจจะต้องถูกดำเนินคดี ด้วยซ้ำไป!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
คณะกรรมการ ป.ป.ช.
มันแต่งตั้งนี้ และไม่มีการโปรดเกล้าฯนี้
ไม่มีปัญญาจัดการกับปัญหาการทุจริตของบ้านเมือง
ตามที่พวกเขาควรจะทำ แต่กลับไม่ทำ
ทั้งๆ ที่มันเป็นคดี ‘คดีดินสอหนีบตูด’ เท่านั้น
ผมขอถามท่านผู้อ่านตรงไปตรงมาว่า
แล้วเราจะปล่อยให้คนพวกนี้
มันลอยหน้าลอยตาอยู่ได้อย่างไรกัน!?
ดังนั้น ผมขอเชิญชวนให้พวกเรา พี่น้องประชาชนคนไทย
ที่หวังจะเห็นบ้านเมืองของเราสะอาด ปราศจากคอรัปชั่น
ต้องช่วยกดดันให้บรรดาคนที่มีตำแหน่งแห่งที่ แล้วไม่ทำหน้าที่ของตน
อย่างที่พึงกระทำ
อย่างไอ้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ไร้ประสิทธิภาพชุดนี้
ให้ออกไปจากตำแหน่งสำคัญเสียโดยเร็ว
ก่อนที่พวกมันจะทำความเสียหาย ให้กับบ้านเมือง อันเป็นที่รักของพวกเรา
มากไปกว่านี้อีก!
ผู้เขียนจึงต้องขอเรียกร้อง ให้บรรดา
ผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกทั้งหลาย
ช่วยกันลงนาม ในหนังสือยื่นรายชื่อถอดถอน
ไอ้คณะกรรมการหอกหักหนักแผ่นดินชุดนี้ พ้นจากหน้าที่ไปเสียโดยเร็ว
พร้อมกับส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง
ให้ดำเนินคดีกับ...ไอ้พวกโลซก...โดยด่วนด้วย!!!
................
ท้ายบท มีแฟนคอลัมน์โทรมาบอกว่า ชอบใจที่ผมพูดถึงเรื่อง
นาย “หัวโกร๋น ไพบูลย์” พูดเรื่อง “อภิสิทธัตถะ”
จึงอยากให้วิจารณ์พฤติกรรมของ “นายศิริชุ่ย” ที่แฝงตัวเข้าไปในเรือนจำ
ไปพบกับผู้ต้องขังชาวต่างประเทศ แถมยังแอบอ้างตัวเป็นที่ปรึกษานายกฯ
ผมไม่อยากวิจารณ์อะไรมาก เพียงแต่อยากบอกว่า
เรื่องของ “หัวโกร๋น ไพบูลย์” เป็นเรื่องของความ “ทะลึ่ง” โดยแท้
แต่เรื่องของ “นายศิริชุ่ย” นั้นมันเป็นแค่ความ “เสือก”
แล้วเป็นความ “เสือก” หรือจะพูดว่า “เสือก....ไม่เข้าเรื่อง” ก็คงได้
อ้อ...ที่ผมถามว่า มี “อภิสิทธัตถะ” ในคอลัมน์ “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!”
แล้วให้ลองถามไอ้คนพูดมันว่า
“แม่ ‘อภิสิทธัตถะ’ ชื่อ “สดใสมหามายากล”
พ่อชื่อ ‘อรรถสุทโธ่เถอะนะ’ ใช่หรือปล่า?”
ลืมบอกไป ที่จะให้ถามต่ออีกสักนิดว่า
“แล้ว “อภิสิทธัตถะ” ไปรับเชื้อสาย “เทวทัต” อย่าง ไอ้ “เทวเทือก”
มาคุ้มกะลาหัวอยู่ ได้อย่างไรกันจ๊ะ!!?”
(***บทความประจำสัปดาห์ ของวาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ตอน ป.ป.ช.โลซก ก็ไม่มีปัญญาจัดการ กะอีแค่ ‘คดีดินสอหนีบตูด’!!!
ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 4 ก.ย. 2553)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=247
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น