มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เหมือน “ผงเข้าตา”แล้วหาทางแก้กันไม่ได้ซักที ประชาชนคนยากไร้เดือดร้อนกันไปทั่วมานานกว่า20ปี ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาแม้จะพยายามแก้แล้วแต่ก็ไม่เคยบรรลุผล
เรื่องนั้นก็คือ “เพชรสีน้ำเงิน”
เป็น เพชรที่หายไปจากหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยนี่เอง แค่เพชรเม็ดเดียวเม็ดนี้มันสร้างความหายนะอย่างมากมายอย่างไม่น่าจะเป็นไป ได้
ชื่อเสียงของประเทศป่นปี้ ต้นทุนจริยธรรมเสื่อมทราม ถูกต่างชาติถากถางเย้ยหยัน ความเชื่อถือขององค์กรในประเทศถูกหมิ่นเกียรติ ความเป็นคนไทยหมดสิ้นความสง่างาม
ทั้งหมดเป็นเหตุให้ ผู้ใช้แรงานซึ่งเป็นผู้ยากไร้ในประเทศ ต้องได้รับผลกระทบโดยตรง
ประเทศ ที่เป็นเจ้าของเพชร ระงับการเข้าไปทำงานของแรงงานไทย ประเมินกันว่าประเทศไทยต้องเสียรายได้กว่าหลายแสนล้านหรือเป็นล้านล้านบาทใน รอบยี่สิบปีที่ผ่านมานี้
มีผู้ต้องสังเวยชีวิตจากเรื่องเพชรนี้ไป มากกว่ายี่สิบคน เป็นทั้งประชาชนธรรมดา เป็นทั้งพ่อค้าเพชร เป็นทั้งเจ้าหน้าที่สถานทูต เป็นทั้งนักธุรกิจชาวต่างประเทศ เป็นทั้งนับสืบในและนอกราชอาณาจักร และหนึ่งในนั้นก็มีบุคคลชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ในต่างประเทศรวมอยู่ ด้วย
มีผู้ต้องกลายเป็นผู้ต้องหารับโทษอยู่ในเรือนจำมากกว่า10คน หนึ่งในนั้นเป็นข้าราชการที่มีหน้าที่เกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรมมี ตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงนายพล รอการประหารชีวิตรวมอยู่ในนั้นด้วย
สิ่งแทรกซ้อนที่เกี่ยงเนื่องจากเพชรเม็ดนี้
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถูกกระทำรัฐประหาร ไปถึงสองครั้ง
ครั้ง แรกสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ถูกทำรัฐประหาร สืบเนื่องมาจาก การขยายตลาดการค้าไทยไปสู่โลกอาหรับ และได้รับเงื่อนไขมาจากประเทศเจ้าของเพชร ขอให้ช่วยสืบหาเพชรที่สูญหายให้ด้วย รัฐบาลในยุคนั้นรับปากและเริ่มต้นรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาใหม่ เรื่องแค่นี้ก็เป็นเหตุที่ทำให้รัฐบาลนั้นอยู่ไม่รอดแล้ว และโดนทำรัฐประหารไปในที่สุด และหนึ่งในข้ออ้างของการทำรัฐประหารในครั้งนั้นก็คือ “ไม่จงรักภักดี” มีการถ่ายทำวีดีโอ การสารภาพของนายทหารบางคน ที่จะกระทำการรอบสังหารบุคคลสำคัญแพร่หลายออกไปทุกสื่อด้วย
ครั้ง ที่สองสมัยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตรถูกทำรัฐประหาร สืบเนื่องมาจาก การขยายตลาดการค้าไทยไปสู่อาหรับเช่นเดียวกัน ในนโยบาย “ครัวไทยสู้ครัวโลก”
เรื่องนี้ถูกวางแผนมาดี ถูกปูพรหมมาปีกว่า ด้วยข้อกล่าหา “ไม่จงรักภักดี” จากสื่อตะกระตะกราม จากนักวิชาการโสโครก จากอำนาจเก่าดึกดำบรรพ์ และจากเหล่าขุนศึกผู้โง่เขลาหาทางรวยทางลัด ร่วมกัน และเมื่อได้เวลาสุกงอมตามที่วางแผนกันไว้ ก็ร่วมกันยึดอำนาจที่มาจากปวงชนชาวไทยไปอีกครั้ง
มันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จากเพชรเม็ดนี้
ถึงขนาดมีกระบวนการใช้แผนบันได4ขั้น 5ขั้น กำจัดสิทธิ์ประชาชน ต้องเอาคนของตนเองเท่านั้นขึ้นมาบริหารประเทศให้ได้
และก็ทำได้สัมฤทธิ์ผลตามแผนบันไดที่ร่างเอาไว้ ที่สุดก็ ได้หนุ่มงามนาม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ
อะไรที่ไม่ได้มาจากประชามติ อะไรที่ได้มาจากความไม่ชอบธรรม ย่อมมีผู้คัดค้าน มีผู้ออกมาต้าน
คง ไม่ต้องอธิบายเรื่องนี้มากเพราะผมเชื่อว่าทุกท่านซึมซับอยู่แล้ว นั่นก็คือสุดท้ายต้องสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปเกือบร้อยคน บาดเจ็บกว่าสองพันคนในประเทศของตนเอง เพราะเหตุออกมาต้าน ออกมาทวงสิทธิ์ของพวกเขาคืน แค่นั้น
แต่เรื่องเพชรเม็ดนี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้น
รัฐบาลละอ่อน ได้มีการปูนบำเหน็จให้กับผู้ถูกกล่าวหาในคดีฆ่านักธุรกิจชาวซาอุฯและมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย
ภายในระยะเวลาสั้นๆ จากพ.ต.อ. สมคิด บุญถนอม ตำแหน่ง“ดองเค็ม” กลายเป็น พล.ต.ต. สมคิด บุญถนอม ผู้บังคับการจังหวัดเชียงรายไปทันที
ภายในระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลในเวลาสั้นๆก็กลายเป็นพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการภาค5ไปแล้ว
ขณะ ที่อีกคนหนึ่งที่ชื่อ พล.ต.ท. ชะลอ เกิดเทศ ผู้ถูกกล่าวหาในคดีลักษณะเดียวกันนี้ มีเพชรเป็นตัวตั้งเหมือนกัน ยังต้องถูกคุมขัง รอการประหารชีวิตอยู่กล่าวกันว่า เรื่องที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ มันเป็นเวรกรรมของผู้ที่ครอบครองเพชรเอาไว้ ที่มองอะไรทำอะไรก็ผิดไปหมด “ขว้างงูไม่พ้นคอ”
สอง คนเป็นผู้รับใช้เหมือนกันสละชีวิตตนเองให้เหมือนกัน คนหนึ่งได้รับการปกป้องทุกอย่าง ความดีความชอบถูกเสนอให้ทุกอย่าง แต่อีกคนต้องรับสภาพเองไปนอนอยู่ในเรือนจำ รอเพียงคำสั่งให้ประหารชีวิต มันต่างกันราว “นรกกับสวรรค์”
แล้วหายนะก็มาถึง
พ.ต.ท.สมคิด บุญถนอมได้รับการเสนอให้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นมาอีก มาเป็นพล.ต.อ.ตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เท่านั้นเอง สถานทูตซาอุฯที่เฝ้ามองมานานแล้วก็สุดทน ประท้วงขึ้นทันที ด้วยภาษาทางการทูตก็ดูเหมือนว่า ดูดี ไม่ตึงเครียดอะไรมากนัก เพียงแค่อธิบายไปด้วยเหตุผลก็จะน่ารับฟังได้
แต่..มันไม่ใช่เรื่องปาฐกถา มันไม่ใช่แพ้ชนะกันด้วยคำพูด
เขา มีวิธีการของเขามากกว่านั้น เขามีเครือข่าย เขามีศาสนา เขามีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ เขามีแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเขามีมหาอำนาจทั้งหลายต้องคอยง้อเขา
ชั้นแรกที่ขบวนการนี้ออกมาเล่นนอกเหนือจากวิธีการทูตแล้ว
กลุ่มส.ส.ในรัฐบาลเองออกมาแถลง
ผู้ นับถือศาสนาอิสลามจะลำบาก เพราะ ทางซาอุจะไม่ออกวีซ่าให้ โยงไปถึงกลุ่มเครือข่ายลุ่มแม่น้ำ “ไทรกริซ” ที่จะออกมาร่วมตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย
คำพูด ลามไปจนถึงปัญหาชายแดนภาคใต้ที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ในเวลานี้ ผู้บริสุทธิ์ตายเพิ่มขึ้นทุกวันและในที่สุดอาจจะกลายเป็นสงครามแบ่งแยกดิน แดนกันไปเลยจริงๆ
นี่ เป็นเพียงมาตรการชั้นแรกที่ทางประเทศซาอุฯเปิดเกมนี้ขึ้นมาเท่านั้น
ยัง ไม่รู้ว่ามาตรการที่สอง ที่สามจะเป็นอย่างไรตามมาอีก แต่ทุกมาตรการที่ออกมาแน่นอนเชื่อได้ว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือประชาชน ทั้งนั้น
มันเป็นหายนะจริง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ ในประเทศนี้
ถ้าจะมีคำถามว่า มีวิธีไหนบ้างที่จะหยุดยั้ง การกระทำของประเทศซาอุฯในครั้งนี้
คำตอบ ที่ทุกคนทราบดี มีแน่นอนครับ นั่นก็คือ “เอาเพชรสีน้ำเงิน คืนเขาไปแค่นั้น” เรื่องทุกอย่างก็จบสิ้น
ไม่ ใช่การแต่งตั้งพล.ต.ท. สมคิด บุญถนอมแต่อย่างใด การออกมาค้านการแต่งตั้งของท่านทูตจากซาอุฯมันเป็นแค่ เกมเชื่อมโยง เท่านั้น “ถ้าได้เพชรคืนมา เรื่องสมคิดก็ไม่ว่ากัน ลืมได้เลย”ทุกอย่างก็จะกลับมาสงบสุข
ประชาชนผู้ยากไร้ก็จะมีทางเลือกในการที่จะเดินทางไปหารายได้เลี้ยงตัวเองเพิ่มขึ้นในประทศซาอุฯ
ผู้นับถือสาสนาอิสลามจะได้รับความสะดวกในการไปประกอบพิธีในศาสนาของเขา
ปัญหาภาคใต้ก็จะเบาบางลง
ข้อสำคัญที่สุดคนในประเทศจะได้เลิกขัดแย้งกันเสียที อาจจะไม่มีสีต่างๆอีกแล้ว
อย่างที่กล่าว “แค่ผงเข้าตา เขี่ยออกก็หายแล้ว”
คำถามสำคัญ..จะมีใครสละ“เพชร”เพื่อชาติบ้างไหม?
ในความเห็นส่วนตัว เพชรเม็ดนี้ คงไม่สละให้แน่ ถ้าจะเสียสละ“ไม่โลภ” ทำไปนานแล้วคงไม่ปล่อยให้ประเทศพินาศได้ขนาดนี้
ทางที่เป็นไปได้ น่าจะหาเพชรสีน้ำเงินอันใหม่ นำมาแลกกัน ถ้าไม่หนาเกินไปอาจจะพอรับได้
ดังนั้น ผมจึงสอบถามทุกท่านว่า “ใครจะยอมเสียสละบริจาคเงินมาซื้อเพชรสีน้ำเงินนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนบ้าง”?
ผมไม่หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นจริง
แต่สิงที่ผมหวังก็คือ อยากให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นจริง
เพื่อว่า เรื่องแบบนี้จะได้ปรากฏกับสื่อทั่วโลกและโดยเฉพาะโลกอาหรับจะได้เอาเรื่องนี้ไปขยายความต่อ
“คนไทย ร่วมกันบริจาค ซื้อเพชรสีน้ำเงินเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนเอาเพชรจริงคืนประเทศซาอุฯ”[/b]
| |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น