คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : นอกกะลา-ตาสว่าง
โดย : กาหลิบ
วิวัฒนาการ ทางสังคมเป็นสัจธรรมที่แปลกประหลาด เมื่อถึงคราวเสื่อมทรุด ชนชั้นปกครองที่เคยเหมาทรัพยากรแถมด้วยภูมิปัญญาในบ้านเมืองไปหมด เหลือเศษขยะเพียงเล็กน้อยให้มวลชนส่วนใหญ่ไปยื้อแย่งแข่งขันกันเองเหมือนหมา กับชิ้นกระดูก กลับกลายเป็นกบในกะลา ความฉลาดแกมโกงกลายเป็นความโง่และอวิชชา นำพาตนเองออกจากวิกฤติไม่ได้
แต่มวลชน “ผู้โง่เขลา” กลับฉลาดหลักแหลมขึ้นด้วยฤทธิ์ของสถานการณ์ และตัดสินใจได้อย่างผู้มีปัญญาในยามคับขัน
ผู้ปกครองกลายเป็นกบในกะลา ขณะที่มวลชนเคลื่อนตัวไกลกะลาออกไปเรื่อยๆ
ผู้ปกครองตาบอดมองอะไรไม่เห็นแม้ในระยะใกล้ ขณะที่มวลชนต่างล้างตาจนตาสว่าง
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยวันนี้
ใคร ได้ฟังบทกวีของ “เดือนวาด พิมวนา” ที่หอประชุมศรีบูรพาหรือหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์จะเข้าใจซาบซึ้งถึงความ รู้สึกนั้นทันที โดยเฉพาะเมื่อเธอชี้เปรี้ยงจนเห็นสัจธรรมว่า “เขา” ประณามว่าเราร้ายเพราะเขาวางแผนร้ายมาก่อน อันเป็นอกุศลมูลอันเนื่องมาจากความอิจฉาริษยาอาฆาต สุดท้ายก็บอกด้วยเสียงเบาๆ ว่าไม่มีความรักที่จะให้กับ “เขา” อีกแล้ว
นึกถึงสำนวนบาดใจของ กฤษณา อโศกสิน ในนวนิยาย “ภมร” ว่า ผู้ชายที่เลวนั้น ผู้หญิงขอบอกว่า “ไม่รัก ไม่นับถือ อีกต่อไป”
ปวงชนชาวไทยฟังแล้วก็ตะโกนกู่ก้องกันสนั่นหวั่นไหว จนดังไปทั่วทั้งหอประชุม ทั่วไทย และทั่วโลก
เขา ครอบงำกลไกการโฆษณาชวนเชื่อมานานจนเชื่อในคำลวงโลกของตนเอง คำสั่งฆ่าทั้งปวงที่อำพรางมาในรูปของพระเอกขี่ม้าขาวจึงถูกกำหนดจากความคับ แคบของกะลา
มวลชนนอกกะลา-ตาสว่างเขามองเห็นได้ในทันที ปรากฏการณ์ที่ไม่น่าเชื่อเมื่อวันรำลึก ๔ เดือนของการฆ่าหมู่ประชาชนกลางเมืองจึงเกิดขึ้น กว้าง ลึก และเจ็บปวดอย่างที่ใครก็ไม่นึกว่าจะเกิดเร็วถึงขนาดนี้ กลางเมืองที่ใครๆ ก็สงเคราะห์ว่าเต็มไปด้วยคนเขลา
การรวมตัวของมวลชนโดยไม่มีแกนนำ แสดงออกทางการเมืองโดยไม่มีใครเขียนบทหรือชักนำ และเกิดอุดมการณ์อันชัดเจนโดยไม่ต้อง “จัดตั้ง” อย่างเป็นทางการเหมือนก่อน นี่คือประชาธิปไตยในรูปกรีกโบราณที่บริสุทธิ์ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ชาติไทย
นี่ล่ะคืออิทธิพลของการรวมตัวกันหงายกะลาที่ครอบตัวเองมาชั่วชีวิต
เมื่อ แรกหงายขึ้น แสงที่จัดจ้าอาจทิ่มแทงตาบ้าง ทำให้แสบตาไม่อยากลืมตารับรู้ความจริงของธรรมชาติบ้าง แต่เมื่อปรับจนเข้าที่แล้ว ก็จะปฏิเสธไม่ยอมหลับตาลงอย่างคนขลาดเขลาอีกต่อไป
ประชาธิปไตยต้องปรับตัว และกำลังปรับตัวอยู่ในเมืองไทยท่ามกลางประเพณีแห่งอำนาจเดิม
แต่เผด็จการโบราณไม่ปรับ และกำลังมุ่งหน้าสวนกระแสความเปลี่ยนแปลงด้วยแรงขับดันของอัตตาและอวิชชาอันมากล้นจนไร้ปัญญา
เวลาพิสูจน์ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว อะไรหลายอย่างจะบังเกิดขึ้นในเมืองไทยที่ไม่เคยเปลี่ยน
สิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” นั้น อยู่ที่เลิกทำบอดและลืมตามองดูโลกด้วยใจอันสว่างเท่านั้นเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น