เรื่อง สี่ปีได้กี่ก้าว?
โดย กาหลิบ
เขา ประมาณกันไว้ว่าต้องสิบปีขึ้นไปกว่าจะถือว่าอะไรเป็นประวัติศาสตร์ได้ เหตุการณ์บางอย่างเร้าอารมณ์ความรู้สึกของผู้มีส่วนร่วมอย่างรุนแรง จนคิดว่าสำคัญและเป็นประวัติศาสตร์ไปหมดในขณะที่เกิด จนเวลาผ่านไปนานพอจึงเกิดระลึกรู้ได้ว่า อะไรสำคัญมากน้อย อะไรอยู่นานพอที่จะช่วยกำกับสติของเราไปชั่วชีวิต (อันสั้น) ได้ และอะไรจะเลือนหายไป
แต่ สี่ปีหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ น่าจะเริ่มนับหนึ่งในความเป็นประวัติศาสตร์ได้ เวลาเพียงสี่ปีย่อมไม่ใช่สิบปี แต่ความครบวงจรครั้งแล้วครั้งเล่าของเหตุการณ์การเมืองในเมืองไทย ทำให้เราย่นย่อประวัติศาสตร์ที่ควรต้องยาวนานกว่านั้นมาพิจารณากันในเวลาอัน สั้นได้
เรา เห็นการรัฐประหารโค่นล้มทำลายระบบรัฐสภาและระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง และการก่อรูปใหม่ของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลที่เกิดจากสภานั้นถึงสองรัฐบาล ก่อนจะเห็นประชาธิปไตยถูกบิดเจตนารมณ์ไปอีกครั้งในรัฐบาลที่สามของสภาเดียว กัน
เรา ได้เห็นการกำเนิดของมวลชนธรรมชาติ ผสมผสานกับกิจกรรมของนักการเมืองและนักเลือกตั้งในระดับที่ไม่เคยเห็นกันมา ก่อน จนกลายเป็นต้นทุนใหม่ของระบอบประชาชน และเราก็ได้เห็นการล้อมฆ่าประชาชนเหล่านั้นอย่างเลือดเย็นและไม่แสดงความ รู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆ
เรา ได้เห็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มที่เห็นว่าระบอบประชาชนเกิดขึ้นแล้วจริงและพร้อมทำงานใหญ่ในการ เปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกับมวลชนเหล่านั้น กับกลุ่มที่ไม่เชื่อว่าเมืองไทยจะสามารถพัฒนาการเมืองไปได้มากกว่าที่เป็น อยู่ และพร้อมกระโดดกลับไปร่วมเตียงกับมหาอำมาตย์และบริษัทบริวารที่ประชาชนลุก ขึ้นสู้และถูกเขาฆ่าตายไปเป็นร้อยๆ เพื่อความอยู่รอดและความรุ่งเรืองของตน
นี่คือตัวอย่างของความครบวงจรและการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยในเวลาอันสั้นจากรัฐประหารครั้งที่ ๑๐ ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แล้วเราเดินสู่ถนนสายประชาธิปไตยได้เพิ่มอีกกี่ก้าวในสี่ปีนี้?
๑. การกำเนิดขึ้นของระบอบประชาชน/มวลชนที่ไม่ต้องคอยรับน้ำเลี้ยงและวิ่งหาพ่อแม่ทางการเมืองจากหน้าไหน
๒. การเปิดเผยปัญหาของระบอบการเมืองไทยจนถึงที่สุดและมีความกล้าหาญในการ แสดงออกเพิ่มขึ้นทุกวันโดยไม่หวั่นเกรงอิทธิพลและบารมีใดๆ เหมือนก่อน
๓. การคัดกรองนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในใจประชาชน โดยแบ่งออกเป็นพวกที่สู้ถึงที่สุดและไม่ถึงที่สุด (บางคนใช้คำว่า “บางซื่อ/หัวลำโพง”)
๔. มวลชนผู้มีความรู้และทักษะต่างระดับถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพในขบวนประชาธิปไตย
๕. ความสนใจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองแผ่กว้างและลงลึกในสังคมไทย โดยไม่แบ่งชนบทและเมือง ไม่แบ่งอายุ เพศ ภูมิหลังของชีวิต ศาสนา และแม้กระทั่งระดับการศึกษา อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในสังคมของเรา
ก้าว เดินเหล่านี้เดิมเป็นเพียงฝันของบรรพบุรุษประชาธิปไตยอย่างคณะเปลี่ยนแปลง การปกครองเมื่อ รศ. ๑๓๐ และคณะราษฎร์ใน พ.ศ.๒๔๗๕ แต่บัดนี้กำลังเกิดขึ้นและเข้มแข็งขึ้นด้วยสถานการณ์ จนแทบจะบอกไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
แน่ นอนว่ายังอีกหลายก้าวนักกว่าจะถึงหลักชัยอันสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าก้าวเดินเหล่านั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง เพราะเส้นทางสว่างขึ้นจากก้าวที่เราเดินร่วมกันมาแล้ว และจุดคบมาเรื่อยๆ ตามรายทาง
ความใส่ใจและมีส่วนร่วมของประชาชนต้องกลายเป็นความมั่นใจและกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นสู้
นักการ เมือง/นักเลือกตั้งที่ไม่ยอมพัฒนา เอาประโยชน์เฉพาะหน้าของตนและเครือข่ายเป็นหลักจนเสียระบอบประชาธิปไตยครั้ง แล้วครั้งเล่า ต้องออกไปจากการเมือง
ต้อง ประกาศศัตรูตัวจริงของระบอบประชาธิปไตยไทยอย่างไม่คลุมเครือ อธิบายทักษะทางการเมืองและวิถีอำนาจของเขาจนเป็นที่แจ่มแจ้งโดยทั่วกันเพื่อ เป็นฐานการต่อสู้ของฝ่ายประชาชน
และอื่นๆ อีกมาก
รัฐ ประหารเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ คือความมืดมิดของบ้านเมืองจริง แต่เป็นเพียงการดับเทียนดวงเล็กๆ ที่ทำให้มืดลงชั่วคราว ก่อนที่ประชาชนจะช่วยกันหล่อเทียนพรรษาขึ้นทั่วประเทศและจุดจนสว่างไสวเท่า นั้น.
---------------------------------------------------------------------------------
ข่าว SMS ของฝ่ายประชาธิปไตย เชิญสมัครสมาชิก SMS-TPNews โดยทีมงานเสื้อแดง เที่ยงตรง ไม่บิดเบือน ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน Call center: 084-4566794-5 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com บล็อก : wwwthaipeoplenews.blogspot.com
เรียบเรียงโดย Nangfa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น