สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

“ทำไมถึงต้องฟ้องโลก”


ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า เมื่อผมเขียนคอลัมน์ชื่อ
จดหมาย ฟ้องโลก” (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=187) นั้น
ได้เขียนเป็น 2 เวอร์ชั่นทั้งภาษาไทยและอังกฤษโดยมีความมุ่งหมายที่จะแจ้งให้โลกทราบว่า
ประเทศไทยของเรานั้น ความไม่ยุติธรรมได้บังเกิดขึ้นในแผ่นดิน
เพราะ มีการรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากประชาชน
ซึ่งผู้คนจำนวนมากใน ประเทศนี้ ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร
เพราะนอกจากทำลายระบอบ ประชาธิปไตยลงแล้ว ยังทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
และศักดิ์ศรีความ เป็น มนุษย์ของผู้คนในประเทศอีกด้วย
แรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ผมเขียนจดหมายฟ้องโลก
ก็เพราะว่าได้ อ่านความเห็นในการตัดสินคดี ของผู้พิพากษาศาลฎีกาอย่าง
ท่าน กีรติ กาญจนจรินทร์ ที่ปลุกเร้าให้ประชาชนคนไทยตื่นขึ้น
ไม่ยอมรับอำนาจในการ ปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งท่านได้เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน

น่าชื่นชมนัก!

จดหมายฟ้องโลกจากคอลัมน์นี้ ผมได้ส่งกระจายไปทั่วโลก
ผ่านช่องทางต่างๆ เท่าที่ตนเองและเพื่อนๆสามารถทำได้
ยังผลให้มีผู้มีคนคลิกเข้ามาดู เป็นจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยคน
ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษ สำหรับเว็บไซด์ส่วนตัวเล็กๆอย่าง www.vattavan.com
จากนั้น ผมได้เขียนคอลัมน์ต่อเนื่อง
ทำไมถึงต้องฟ้องโลก” (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=190)
โดยพูดถึงหนังสารคดีของ คุณไมเคิล มัวร์ (Michael Moore)
ชื่อ Sicko เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ระบบประกันสุขภาพในอเมริกา
ซึ่งคนไทยอย่าง เราๆท่านๆ ไม่สู้จะเข้าใจนัก และหลายท่านอาจยังไม่ทราบว่า
คนอเมริกัน นั้น ไม่มีประกันสุขภาพถึงครึ่งร้อยล้านคน

พรรคการเมืองของสหรัฐอย่างดีโมแครต
โดยเฉพาะวุฒิสมาชิก Edward Kennedy พยายามที่จะออกกฎหมายช่วยเหลือ
คนที่ไม่มีประกันภัยสุขภาพ เป็นเวลาเนิ่นนานกว่า 50 ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ คุณโอบามา
ได้สานต่อความพยายามของ วุฒิสมาชิก เอ็ดเวิร์ด เคนเนดี
เพราะเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดี และมีประโยชน์ต่ออเมริกันชน จำนวนหลายสิบล้านคน
ที่ไม่มีประกันสุขภาพ แต่ประธานาธิบดีผิวสีก็ต้องประสพการต่อต้านอย่างหนักหน่วง
จึงต้อง ต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่...
ในที่สุดกฎหมายอันทรงคุณค่านี้
ก็ผ่านรัฐสภาเมืองลุงแซมไปได้ เป็นเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์
การรักษาพยาบาลของสหรัฐ ไปแบบสิ้นเชิงเลยทีเดียวเชียว

สำหรับประเทศไทย นโยบายที่ให้การรักษาพยาบาลกับประชาชนอย่างครอบคลุมนั้น
ไม่เคยมีผู้นำ ประเทศ หรือรัฐบาลใดเลย จะกล้านำมาใช้ในบ้านนี้เมืองนี้
ตราบจนกระทั่ง เมืองไทยได้ผู้นำชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งคิดถึงคนยากคนจน และพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อย
และเสียเปรียบในสังคม ทักษิณฯคำนึงถึงคนเหล่านี้
อย่างที่ไม่เคยมีผู้นำหรือนักเมืองคนใด ที่เมืองไทยเคยคิดกันมาก่อน
เขาจึงได้นำเรื่อง สามสิบบาท รักษาทุกโรคมาเป็นนโยบายสำคัญ
ในการดูแลสุขภาพพลเมือง ตั้งแต่วาระแรกของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเป็นความกล้าหาญอย่าง ยิ่ง และยังประโยชน์ให้กับผู้คนประเทศนี้
อย่างชนิดไม่เคยมีใครทำมาก่อน เลย ในประวัติศาสตร์ของสยามประเทศแห่งนี้
ขนาดสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจที่ว่าแน่ๆ
กว่าจะใช้นโยบายเช่นเดียวกันได้ ก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษเลยทีเดียว
แค่นโยบายเดียว ทักษิณฯก็ได้ใจพี่น้องประชาชน ชนะพรรคการเมืองอื่นๆ...ขาดแล้ว!
นี่ยังไม่นับ โครงการอื่นๆอีกมากมาย เช่น
โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการโอทอป
ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศอีกหนึ่ง ต้น
ที่แม้แต่ต่างชาติอย่างฟิลิปปินส์ ก็ต้องมาขอดูงานจนนำไปใช้
และ ได้ผลดียิ่ง จนประธานาธิบดีของเขา ต้องขอบคุณนายกฯทักษิณอย่างมากมาย

...ขนาดนั้นเลย!!

ล่าสุดนี้เอง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหยกๆ
ทางเว็บไซด์ ผู้จัดการได้ลงข่าวเรื่องอุทยานการเรียนรู้ หรือ ทีเคพาร์ค โดยบอกว่า
ประชาชนคนไทยนั้น รู้หรือไม่ว่า
ยังมี ทีเค พาร์ค อีกแห่งในประเทศไทยที่เติบโตอย่างมั่นคง
และได้รับความร่วมมือจากคนใน ท้องถิ่นจนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เข้าสู่ปีที่ 3 นั่นคือ
ทีเค พาร์ค ยะลา
ผู้จัดการลืมลงไปว่า สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park)
เกิดขึ้นในสมัยนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อทักษิณ เมื่อปี พ.ศ.2549
ซึ่งคุณทักษิณฯเอง ได้เปิดตัวโครงการนี้
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนเยาวชน ให้มีความก้าวหน้า
จะได้เป็นกำลังสำคัญของชาติ ต่อไปในอนาคต
โครงการดีๆอย่างนี้เอง ที่จับจิตจับใจประชาชน
ไม่ใช่ลอกโครงการเขา ตะพึด แถมยังเสือกลอกกันแบบผิดๆถูกๆ
ทั้งยังสันดานเสีย ทุจริตกันจนยับย่อยไปทุกโครงการ
อย่างที่ไอ้พรรคดักดานกับพวกมัน กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

จนชาวบ้านเขา ระอากันทั้งประเทศ!
ก็ดูเมื่อเร็วๆนี้เอง กรุงเทพโพลล์ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ซึ่ง สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อาวุโส อย่างนายเจริญ คันธวงศ์
(คนนี้ชาวอีสาน เกลียดชังมาก เพราะแกไปดูถูกเขาเอาไว้ อย่างแรง!)
เคยเป็นอธิการใหญ่มา ก่อนแท้ๆ (ตอนนี้ก็ยังเป็น...อธิการกิติคุณ)
ยังดันให้คะแนนบริหาร ราชการงานแผ่นดิน ของรัฐบาลนายมาร์ค ร้อยศพ
ไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ แถมยังให้...

สอบตก...ในทุกๆด้าน...โถ!

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า
ทำไมผู้คนจึงพากันสนับสนุนทักษิณมาก มายอย่างนั้น
ถึงขั้นมีการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใด ทักษิณก็สามารถเอาชนะได้ทุกครั้ง
ส่วนพรรคดักดานต่อให้อยู่มาเก่าแก่แค่ ไหน
และทั้งๆที่มีตัวช่วยมากมาย แต่กลับตกก็พ่ายแพ้ตลอด
ดังนั้น พอจะเลือกตั้งใหญ่ครั้งใด
ขี้ขึ้นไปอัดแน่นอยู่บนหัวขมองของไอ้ พวกโลซกที่เข็ดเขี้ยว
จึงไม่แปลกที่พวกมันจะต้องหาทางหลีกเลี่ยงอย่าง สุดชีวิต
เพียงเพื่ออยู่ในอำนาจและเสพสุขต่อไป แม้เพียงวันครึ่งวัน...ก็เอาดี
หรือใครว่าไม่จริง!?
วันนี้ ผมยังจะไม่พูดถึงเรื่องโครงการของทักษิณ
ซึ่งส่งคุณูปการอย่าง ใหญ่หลวง ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยเรา
อยากเล่าเรื่องของคุณไมเคิล มัวร์ ให้ฟังเพิ่มเติมดังต่อไป
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้ดูสารคดีทางเคเบิล ชื่อ Captain Mike Across America
ซึ่งคุณไมเคิล มัวร์ ได้สร้างขึ้น
เป็น เหตุการณ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อ ปี ค.ศ. 2004
ซึ่ง คู่ชิงตำแหน่งในปีนั้น คือ อดีตประธานาธิบดี จอร์ช บุช พรรครีพับลิกัน
ซึ่ง ครองตำแหน่งมาแล้ว 1 สมัย กับผู้ท้าชิงคือ นายจอห์น เคอรี่ จากพรรคเดโมแครต
ไมเคิล มัวร์ นั้นมีความเห็นว่า
อดีตประธานาธิบดีอย่างคุณ จอร์จ บุช นั้น เป็นผู้นำสหรัฐที่กระทำการเลวร้าย
อย่างไม่อาจให้อภัย ได้เลย เพราะเขาได้นำสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามอิรัค
โดยอ้างเหตุผลที่ ไม่เข้าท่าแถมยังเป็นเท็จ คือกล่าวหาว่า
ประธานาธิบดี ซัตดัม ฮุสเซน นั้นครอบครองอาวุธมหาประลัย
ที่มีอำนาจทำลายล้างสูง จำเป็นต้องเอาทหารบุกเพื่อโค่นล้ม
และเอาอาวุธลับนั้น ออกมาทำลายเสียให้สิ้นซาก
ซึ่งลงท้ายก็เหลวทั้งเพ อาวุธเช่นว่านั้นหามีไม่
ข้อกล่าวหาของ จอร์จ บุช ที่โฆษณากรอกหูอเมริกันชนนั้น กลายเป็นเรื่อง
โกหกทั้งเพ!

นักเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างคุณไมเคิล มัวร์ นั้นคิดว่า
การที่คน อเมริกันหลงเชื่อจอร์จ บุช
โดยไม่รู้ว่าอดีตประธานาธิบดีนั้น นำความเท็จมาบอกกล่าวกับประชาชน
ที่ยังโกรธแค้นเรื่องเหตุการณ์ 9/11 ที่ตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์
ที่มหานครนิวยอร์คถูกถล่ม
จนเป็นเหตุให้ คนอเมริกันสนับสนุนในการทำสงครามในเบื้องต้น
แต่เมื่อทหารบุกเข้าไปใน ประเทศอิรัคแล้ว กลับพบว่า
เรื่องคุณซัตดัมแกครอบครองอาวุธร้ายแรง ทำลายล้างสูง
อันเป็นเหตุแห่ง การบุกเข้าไปในอิรัคนั้น กลายเป็นเรื่อง โกหก
ซึ่งยังผลให้ ชีวิตของทหารอเมริกันจำนวนมาก ต้องสูญสิ้นไป
ในการสู้รบซึ่งไม่มีความจำ เป็นเลยแม้แต่น้อย แถมยังเป็นเรื่อง
น่าอัปยศอย่างยิ่ง!

คุณไมเคิล มัวร์ ยังได้แสดงความเห็นต่อไปอีกว่า
การมี ประธานาธิบดีอย่างจอร์จ บุช นั้น ถือเป็นความ ซวยของอเมริกาโดยแท้
(คล้าย เมืองไทย ไหมครับ!?)
นอกจากนั้น มัวร์ยังตำหนิสื่อมวลชนทั้งหลาย
ที่ไม่ทำหน้าที่สืบคนความจริงอย่างเต็ม ที่ แล้วออกมาโพนทะนาให้คนอเมริกันได้ทราบกัน
จะได้ช่วยกันคัดค้าน การบุกอิรัค ที่ก่อผลเสียให้กับสหรัฐอเมริกาอย่างไม่อาจประมาณได้
ดังนั้น ชายที่เป็นนักสร้างภาพยนตร์ นักเขียน และนักวิจารณ์สังคมอย่างไมเคิล มัวร์ จึงเห็นว่า
ตัวเขาเองควรที่จะมี บทบาทในการต่อต้านประธานาธิบดี จอร์จ บุช
ไม่ให้ยึดทำเนียบขาวอีกครั้ง ทั้งนี้เจ้าตัวยังเชื่ออีกด้วยว่า
หากเขากระตุ้นให้คนอเมริกัน ที่เพิกเฉยต่อการใช้สิทธิใช้เสียง
ออกมาเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมากแล้ว
ทาง ฝ่ายจอห์น เคอร์รี่ แม้จะเป็นรอง
แต่น่าจะมีโอกาสชนะคนที่โกหกประชาชน อย่างนายบุชได้
ด้วยความเชื่อมั่นอย่างนี้เอง
ก่อนการเลือก ตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน 2004 คือ
ระหว่างเดือนกันยายนและ ตุลาคม 2004
ไมเคิล มัวร์ ได้จัดทัวร์ปราศรัยแบบข้ามประเทศ
โดยเดิน เดินทางไปพูดที่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นการเดินทางข้ามไปข้ามระหว่างรัฐ


เขาและคณะใช้ชื่อในการรณรงค์ ของพวกตนว่า เป็น "Slacker Uprising Tour" คือ
เป็นการทัวร์เพื่อปลุก เร้าคนที่ไม่เคยสนใจทางการเมือง ไม่เคยเลือกตั้ง
หรือพวกที่เลื่อนลอย ไร้จุดมุ่งหมายในทางการเมือง ให้ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนี้
ไมเคิล มัวร์ ได้พูดที่ Carrier Dome ของมหาวิทยาลัย Syracuse ว่า
ระหว่างการการเดินทางเพื่อออกทัวร์ คณะของเขาจะแจกราเมน (บะหมี่)
และ เสื้อกางเกงชั้นใน ให้กับผู้ที่ให้คำมั่นว่าจะไปออกเสียงเลือกตั้ง
การพูดอย่างนี้ เป็นบ้านเราถือว่าผิดกติกา
ซึ่งคำพูดนี้ได้ก่อให้ เกิดการตำหนิ จากสมาชิกพรรคตรงข้ามอย่างรีพับลิกัน ที่รัฐมิชิแกน
โดย ฝ่ายต่อต้านพยายามที่จะโน้มน้าวให้รัฐบาลเชื่อว่า
มัวร์สมควรที่จะถูก จับกุม
สำหรับการกระทำความผิดฐาน ซื้อเสียง” (เป็นเมืองไทย อาจโดนยุบพรรคด้วย!)
ความพยายามเช่นว่านั้น ไม่สำเร็จ
เพราะคุณ มัวร์แกไม่เคยบอกกับบรรดา slacker
หรือผู้ที่ไม่เคยสนใจการเมืองว่า คนฟังคำปราศรัยของแก
เมื่อได้รับของแจกแล้ว ต้องไปออกเสียงลงคะแนน ให้กับผู้สมัครคนไหน
ดังนั้น บรรดาอัยการท้องถิ่น จึงต่างปฏิเสธที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้
คุณมัวร์เลย...รอดตัวไป!

หันมาดูในประเทศไทยของเราบ้าง
แม้ พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายทหารอย่างเต็มกำลัง
แต่ก็ ต้องปรนเปรอฝ่ายทหารอย่างเต็มที่
ไม่อย่างนั้นอาจถูกแว้ง ฉกกลับเข้าให้บ้าง เพราะเวลาผ่านมา ได้พิสูจน์ว่า
ทางฝ่ายทหารก็รู้ดี เฉกเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลายว่า
รัฐบาลพรรคดักดาน นั้น มีแผลติดเต็มแผ่นหลัง โดยเฉพาะเรื่องการ
ทุจริต...คอรัปชั่น!

ดังนั้น ฝ่ายทหารตระหนักดีว่า
พวก เขามีขีดความสามารถที่จะถีบส่งรัฐบาลโลซก ให้ออกจากการบริหารประเทศ
ด้วย การปฏิวัติรัฐประหารได้อย่างง่ายดาย โดยประชาชนอาจไม่ลุกขึ้นมาคัดค้าน
หรือ อาจถึงขั้น...
โห่ร้อง...แสดงความยินดีด้วยซ้ำ!
แต่ที่ทหารไม่ทำรัฐประหาร ก็เพราะว่า...
เป็นเรื่องเสี่ยง และเปลืองตัวเกินไป อยู่เฉยๆสบายกว่า
พรรคดักดานก็ทราบความจริงข้อนี้ดี แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
จึงต้องอัดผลประโยชน์ ให้กับฝ่ายทหารอย่างเต็มที่ ไม่ว่าในรูปเบี้ยเลี้ยง
และค่าตอบแทนพิเศษ ในรูปแบบต่างๆ ชนิดไม่อั้น ไม่ต่างอะไรกับพวกนอกกฎหมาย
ที่ต้องจ่ายค่า คุ้มครองให้กับบรรดานักเลงหัวไม้ประจำถิ่นนั่นเอง

ฉะนั้น ทหารจึงมีความสุข เพราะโครงการจัดซื้อจัดจ้างของกองทัพก็ลื่นไหล
และที่ สำคัญคือ
ยังได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษในเรื่องการจัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ มากกว่าที่ขอไปอีกด้วยซ้ำ

การใช้จ่ายงบประมาณของกองทัพ จึงมีอิสระมากขึ้น เงินก็มากกว่าเดิม
เพราะ รัฐบาลเปิดช่องให้อย่างเต็มที่ ทหารไม่ร่าเริงมีความสุขกันตอนนี้
แล้วจะ ไปมีตอนไหน เพียงแต่อย่าลุกขึ้นมา
...ทำปฏิวัติเท่านั้น!!
ส่วนพรรคดักดานนั้น ก็บริหารบ้านเมือง
เหมือนคนเป็นโรคประสาทแดก ใจเต้นตุ๋มๆต่อมๆ
ต้องคอยต้องเหลียวหลังมองตูด
เพราะกลัวทหารจะ เสียบเอา อีกทั้งต้องระวังด้านหน้า...
ก็ให้หวาดหวั่นชาวบ้าน ที่ชิงชังพวกตน...เป็นอย่างยิ่ง!!!

เรื่องราวของรัฐบาลพรรคดักดาน ในการรุกไล่ฝ่ายตรงข้าม
รวมทั้งการใช้ อำนาจ แบบไร้ทิศทาง และย่อหย่อนในการควบคุม
ทำให้พฤติกรรมที่ไม่ชอบธรรม ของรัฐบาลโลซกและทหาร เริ่มเผยมาสู่ประชาชนเรื่อยๆ
หลักฐานเริ่ม...หนาแน่นเข้าทุกที!
แม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ก็เพิ่งออกมายืนยัน
และไทยรัฐเอามาลงว่า ระหว่างการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น...
การละเมิดสิทธิมนุษยชน...มีอยู่เพียบ!!
สื่อมวลชนที่มีจิตใจกล้าหาญ
และยืนอยู่ข้างความจริงและความถูก ต้อง เริ่มจะเผยแพร่เอกสารที่ไม่คาดคิด
ออกมาสู่สาธารณะชน เช่น นสพ.ข่าวสด ได้ออกหนังสือ
"บันทึกพฤษภา"53 ความจริงจากข่าวสด ความตาย 90 ศพ"
ซึ่งได้รับการตอบรับ จากพี่น้องประชาชนอย่างเอิกเกริกมโหฬาร

ผมจึงเห็นว่า สื่อมวลชนของไทยนั้น ไม่ได้แตกต่างจากสหรัฐ
ที่อาจ ต้องยืนอยู่ข้างรัฐบาลในตอนแรกๆ เพราะมีความใกล้ชิดกัน
อีกทั้งยังได้ผล ประโยชน์ตอบแทน โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์
ที่รัฐบาลสนับสนุนด้วยการลงโฆษณา หน่วยงาน
หรือกิจกรรมของหน่วยงานของรัฐ ที่ดูไม่เป็นประโยชน์นักในแง่การโฆษณา
ซึ่งไม่คุ้มกับราคาค่าโฆษณา ซึ่งมีอัตราที่แพงลิบลิ่ว
ดูไปแล้วเสมือนรัฐบาล ต้องจ่ายเงินเป็นค่า ปิดปากไม่ให้สื่อพูด
หรือวิพากษ์วิจารณ์ความ ระยำตำบอน
เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเท่านั้น
ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ข้อเท็จจริงเริ่มปรากฏ ชัดเจนมากขึ้นทุกที
สื่อมวลชนมืออาชีพบางส่วน เริ่มอึดอัด และในที่สุดก็สำนึกบาป
และบังเกิดความละอายใจ ที่พวกตนมีส่วนในการปิดหูปิดตาประชาชน
สื่อบางส่วนจึงได้กลับใจ และเปลี่ยนไปค้นหาตำแหน่ง
หรือจุดยืนใหม่ของตน โดยพร้อมที่จะนำความจริงออกสู่สาธารณะ
เพื่อประโยชน์ของประชาชนมากยิ่งขึ้น
ซึ่ง เป็นเรื่องที่ควรต้องกระทำตามหน้าที่ของสื่อสารมวลชนที่ดี นั่นเอง

ดังนั้น ระยะนี้เราจึงเห็นว่าสื่อทั้งหลาย
เริ่มเผยแพร่กิจกรรม ของนิสิตนักศึกษา และบรรดาคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย
ซึ่งเริ่มมีบทบาทในการ พูดจากัน ทั้งในลักษณะสัมมนา
และการหาข้อมูลในเหตุการณ์ เมษาฯ-มหาโหด
และ พฤษภาฯ-โคตรอำมหิต” (หรือ เมษา-พฤษภา...มหาโหด-โคตรอำมหิต”)
ซึ่ง ได้ขยายความชั่วร้ายของรัฐบาล ในการเข้าปราบปรามประชาชน
จนเป็นเหตุให้ มีผู้คนล้มตาย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมากมาย
ทั้งๆที่สามารถหลีกเลี่ยงความ เสียหายนั้น ได้โดยไม่ยาก
ในส่วนต่างจังหวัดนั้น แม้จะห้ามการชุมนุมทางการเมือง
แต่ก็น่าประหลาดนัก ที่ผู้คนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล แม้จะดูเหมือนพ่ายแพ้
แต่พี่น้องเพื่อนร่วม ชาติเหล่านั้น กลับมีความรักสมัครสมานสามัคคีกันมากยิ่งขึ้น
ยังจับ กลุ่มคุย ปรับทุกข์ถึงความไม่ชอบธรรมในบ้านในเมืองกันอย่างต่อเนื่อง
จน คนเขียนคอลัมน์อย่างผม เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า
ไม่ช้านานนี้ ความชั่วร้ายและความไม่ชอบธรรม ทั้งหลาย
ทั้งปวงของรัฐบาล โลซก ก็จะปรากฏออกมาสู่สายตาประชาชน
อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทุกที...ทุกที!

สำหรับอเมริกาในที่สุด เหตุผลในการบุกอิรัค โดยอ้างว่า
ครอบครองอาวุธมหาประลัย มีอำนาจในการทำลายล้างสูง
บัด นี้ ได้รับการพิสูจน์ว่า ไม่เป็นความจริงไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับประเทศอันเป็นที่รักของเรา เวลาแห่งการพิสูจน์ว่า
เมืองไทยมีขบวน การ ล้มเจ้าจริงหรือไม่ และข้อหา ก่อการร้ายใกล้จะมาถึง
เพราะ กำหนดเวลาควบคุมตัวผู้ต้องหา
ซึ่งเป็นแกนนำ กำลังจะสิ้นสุดลง ในเดือนหน้านี้แล้ว
ดังนั้น จะมีการฟ้องร้องว่า ใครกันที่มีการกระทำความผิดฐาน ล้มเจ้า
และคนไหนกันแน่ ที่กระทำความผิดฐาน ก่อการร้าย
ดังที่มีการกล่าวหากันเอิกเกริก
ระหว่างนี้ คนไทยทั้งประเทศ
ก็หวังพึ่งนิสิตนักศึกษาและคณาจารย์ ในมหาวิทยาลัยนับร้อยๆแห่งทั่วประเทศ
และสื่อมวลชนทุกสาขา โปรดผนึกกำลังกันให้เข้มแข็ง
ช่วยกันเปิดเผย ความจริงประเทศไทย
ออก ไปสู่การรับรู้ของทั้งพี่น้องชาวเรา รวมทั้งชาวโลกด้วย เพราะ

คนไทยยอมให้พวกมัน กดกบาลต่อไป...ไม่ไหวแล้ว!!!

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=236






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น