วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ปกขาวเปลือยไทย
โดย : กาหลิบ
ใน สมัยหนึ่ง เราเรียกวรรณกรรมโป๊เปลือยที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษว่า หนังสือปกขาว ขายหลบซ่อนอยู่แถวแผงหนังสือสนามหลวง สวนจตุจักร และที่อื่นๆ มาภายหลังเมื่อโลกตะวันตกเกิดนิยมเรียกเอกสารหรือหนังสือประเภทเปิดเผยความ ลับที่โด่งดังทั้งหลายเหล่านี้ว่า white paper เราจึงแปลคำนี้อย่างเหนียมๆ เสียใหม่ว่า สมุดปกขาว เพื่อรักษาความหมายเดิม ขณะเดียวกันก็มิให้ใจประหวัดไปถึงวรรณกรรมอีโรติคชนิดฝนตกตลอดเวลา
สมุด ปกขาวฉบับล่าสุดเป็นฝีมือของทีมงานบริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองระหว่างประเทศ ภายใต้ชื่อ นาย
เมื่อได้อ่านเอกสารภาษาอังกฤษยาว ๗๗ หน้าที่เขียนในสไตล์เอกสารทางวิชาการแล้ว สิ่งแรกที่รู้สึกคือทีมนี้เขาคิดอะไรเป็นระบบระเบียบดี
อธิบายปัญหาการเมืองไทยได้ค่อนข้างครบ โดยไม่ยกเว้นผู้ที่ซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลังการเมืองไทยเลยแม้แต่คนเดียว
เพียงแต่เอ่ยถึงสวรรค์ก็ระวังหน่อย ตามประสาของคุณทักษิณฯ
ฝ่ายตรงข้ามออกมาหยามเหยียดกันตามบท บ้างพยายามเร้ากระแสชาตินิยมว่าเป็นการชี้โพรงให้กระรอก (ต่างชาติ) หรือสาวไส้ให้กากิน
แต่ เสียงตอบโต้ที่เถียงกลับได้ยากคือ งานของนายอัมสเตอร์ดัมนั้น ถึงจะดีเลิศประเสริฐเพียงไหน ก็เป็นงานรับจ้างเขียนโดยเงินของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย
น้ำหนักจึงลดลงมากในสายตาของคนที่มองอย่างเอาจริงเอาจัง
ถึง ขนาดว่าไม่อ่าน ซึ่งทำให้ขาดอรรถรสในการต่อสู้ไปมาก เพราะสมุดปกขาวเล่มนี้มีคุณค่าทางสาระมาก เอาไปใช้ประโยชน์ต่อได้เยอะสำหรับคนที่พร้อมสู้ยาว
พูดง่ายๆ คือ สาระดี แต่สถานะไม่สู้จะดีนัก
เรื่อง นี้ควรเป็นบทเรียนสำหรับองค์การนำและผู้นำของฝ่ายประชาธิปไตยไทยเป็นอันมาก เลือกใครมาทำงานสักคน ก็ต้องเหมาะกับสนามต่อสู้และปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้นั้นๆ
การ รณรงค์เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่อาจทำได้เฉพาะในกลุ่มนักเลือกตั้งที่หวังการเลือกตั้งเป็นที่พึ่งในชีวิต ของตน บวกกับนักอธิบายความรับจ้าง แต่จะต้องสร้างกระแสความร่วมมือจากเครือข่ายเพื่อประชาธิปไตยอื่นๆ ที่พร้อมต่อสู้กับระบอบโบราณโดยไม่ได้หวังจะได้รางวัลผ่านการเลือกตั้งหรือ มิได้หวังเงินจากคุณทักษิณฯ และจากครอบครัวชินวัตร
ตัวอย่างง่ายๆ คือหลังการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ กลุ่มต่อต้านเผด็จการที่งอกขึ้นกลางสนามหลวงหลายกลุ่ม ไม่ได้มาจากเงินของฝ่ายการเมืองหรือจากฝีมือของนักเลือกตั้งเลย แต่เกิดจากจิตสำนึกของชาวประชาธิปไตยที่พร้อมยอมสู้ โดยไม่เคยถามเลยว่าเงินค่าใช้จ่ายมาจากไหน และใครคือผู้นำในการต่อสู้
สู้กันอย่างซำเหมา อย่างบ้านๆ โดยไม่เคยได้รับเงินแม้เพียงเศษเสี้ยวของนายอัมสเตอร์ดัม
อย่า ลืมนะครับว่า กว่านักการเมืองสังกัดไทยรักไทยจะออกมารณรงค์กันในคราวนั้น เสียเวลาไปกี่เดือนกี่ปี ชาวบ้านเขาออกมาสู้ก่อนและสู้จริงกันทั้งนั้น
ระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมาถูกรักษาไว้ด้วยคนชนิดนี้
วันนี้ จึงถือโอกาสติงกันอีกคำรบหนึ่งว่า สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าเอาแต่พรรคพวกและคนใกล้ตัวโดยไม่คิดสนับสนุนเครือข่ายเพื่อประชาธิปไตย ที่แท้ สุดท้ายก็จะเหลืออยู่แค่นั้น
มองกันตาปริบๆ ก่อนจะจมน้ำหายไป
สู้กับระบอบเผด็จการโบราณ ต้องมีศรัทธาในพลังของมวลมหาประชาชนอย่างเต็มเปี่ยม.
--------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น