สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

“ฆ่าตัดตอน” ขนานเทียม!...“อุ้มฆ่า”ขนานแท้!!



วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมได้เขียนเรื่อง ไอ้พวกโง่นี่ มันไม่เคยฟัง...ในหลวง!!!?” ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังถึงเรื่องที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ของชาวไทยเรา ทรงมีความห่วงใยในปัญหายาเสพติด จนถึงต้องออกพระโอษฐ์ต่อที่ประชุมมหาสมาคม เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2545
หลังจากที่คอลัมน์ดังกล่าว ได้เผยแพร่สู่ประชาชน ปรากฏว่า อีกไม่กี่วันถัดมา คือวันศุกร์ ที่ 25 มิถุนายน 2553 ได้มีการจัดงานอภิปรายเรื่องคดีฆ่าตัดตอน...คดีที่ต้องสานต่อให้จบที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
วิทยากรที่มาปรากฏตัวในวันนั้น ตามรายชื่อผมก็เห็นมีแต่หน้าเก่าๆช้ำๆ คือพวกถนัดการโจมตีทักษิณ และสิ่งที่นำมาเผยแพร่ ก็เรื่องเดิมๆ ไม่เห็นมีอะไรใหม่ ลงท้ายก็อวดศักดา บอกในทำนองว่า
จะเอานายกฯทักษิณ ไปขึ้นศาลโลก เพราะมีนโยบายกระทำผิดต่อมนุษยชาติ...เก่งๆกันทั้งนั้น!

ผมเห็นข่าวแล้ว ก็เลยอยากจะเล่าเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ต่อจากข้อเขียนครั้งก่อน ให้ท่านผู้อ่านฟังกันต่ออีกสักหน่อย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปรารภถึงความหนักพระทัยในการแพร่ระบาดของยาเสพติด ท่ามกลางที่ประชุมมหาสมาคม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่รอช้า ได้สนองพระราชดำรัสทันที ด้วยการเรียกประชุมหน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน เพื่อผนึกกำลังเข้าต่อตีศัตรูร้ายของชาติอย่างแข็งแรง จนทำให้ขบวนการค้ายาเสพติด ผู้ค้ายา ผู้เสพ แทบจะหมดสิ้น ไปจากแผ่นดินไทยเราเลยทีเดียว
เมื่อปี พ.ศ.2546 รัฐบาลของนายกฯทักษิณ ได้ประกาศสงครามยาเสพติด เพราะในขณะนั้นมีรายงานชัดเจนว่า เฉพาะเยาวชนชาวไทยกลายเป็นผู้เสพหรือต้องใช้ยาเสพติด เป็นจำนวนถึง 800,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก เสียงประชาชนตนเป็นพ่อเป็นแม่ผสมกับสื่อมวลชน ดังประสานขึ้นอย่างกึกก้อง สนับสนุนให้รัฐบาล ปราบปรามยาเสพติดทั้งองคาพยพกันอย่างจริงจัง
หลังจากการประกาศสงครามสำคัญ เพื่อต่อต้านมหันตภัยทำลายชาติ และปฏิบัติการช่วยเหลือเยาวชนที่จะเป็นกำลังของบ้านเมืองเรานั้น ให้พ้นจากพิษภัยของยาเสพติด ทุกหน่วยราชการและสรรพกำลังของชาติทั้งมวล ได้เข้าร่วมในการปราบปรามครั้งนั้น อย่างพร้อมเพรียง
หน่วยราชการไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง กองทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ กองทัพภาคกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน รวมทั้งกระทรวงทบวงกรมอื่น และตำรวจด้วย ถูกกำหนดให้มีภารกิจสำคัญที่สุด ที่ต้องพึ่งขุมพลังทั้งหมดของชาติร่วมกัน
ที่สำคัญไม่แพ้กับหน่วยงานของรัฐคือ องค์กรเอกชน สมาคม มูลนิธิ หน่วยงานอิสระฯลฯได้เข้าร่วมมือร่วมใจประสานกันเป็นหนึ่ง มีส่วนร่วมในสงครามปราบปรามยาเสพติดครั้งสำคัญนี้



โครงการที่ถือกำเนิดต่อเนื่อง กับสงครามปราบปรามยาเสพติด ที่โดดเด่นและผลที่งดงามจากนโยบายของชาตินี้คือ โครงการ ทูบี-นัมเบอร์วันในพระอุปถัมภ์ของ ทูลกระหม่อมฯ ซึ่งบัดนี้ได้มีเยาชนคนของชาติเข้าร่วมโครงการนี้...
กว่าสิบล้านคนแล้ว!
กลายเป็นขุมกำลังของชาติ ในการต่อต้านยาเสพติด ที่สำคัญที่สุดอีกององค์กรหนึ่ง!!
ชมรมของทูลกระหม่อมฯ ก้าวหน้าจนมีนิตยสาร ‘To Be Number1’ ออกมารายคาบสามเดือน มีคอลัมน์ Talk To The Princess ซึ่งทูลกระหม่อมฯทรงตอบปัญหา ที่สมาชิกชมรมสอบถามเข้ามา ด้วยพระองค์เอง
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ รับสั่งถึงโครงการทูบีนัมเบอร์วันที่ทรงทำอยู่ ณ เวลานี้ด้วยว่า
ทรงได้รับกำลังพระทัย จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญ
ทรงเล่าประทานว่า

ท่านจะรับสั่งให้กำลังใจ และบอกว่าเราเดินไปถูกทางแล้ว และท่านก็บอกว่า เราสามารถติดต่อและสื่อกับเด็กๆได้ ซึ่งก็เป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กๆ ท่านจะชื่นชมและปลื้มพระทัย ซึ่งเราดีใจมากที่ทำให้ท่านปลื้มพระทัย และท่านก็บอกให้ทำโครงการนี้ต่อไป และให้สื่อกับเด็กๆมากที่สุด และให้ทุกคนทั้งภาครัฐและเอกชนบูรณาการและพัฒนาโครงการนี้ต่อไป

เรื่องดีๆอย่างนี้หมดไป หลังจากทหารเข้ามายึดอำนาจไปจากประชาชน กลับถูกทำให้เลือนหายไป พร้อมกับการเบ่งบานของยาเสพติด ที่แพร่กลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว
...หรือใครว่าไม่จริง!

หลังรัฐประหารไม่นานนัก หลังพล.อ.สุรยุทธ์ ผู้นำรัฐบาลหุ่นขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พอถึงกลางเดือน พ.ย.ปีกลาย หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวกันพร้อมเพรียง เรื่องนายกฯเขายายเที่ยงสั่งรื้อคดีฆ่าตัดตอน ที่ฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ ระดมโจมตีกันขนานใหญ่ ว่า
ในยุคนั้น มีการฆ่าตัดตอน ถึง 2,500 ศพ
รัฐบาลเขายายเที่ยง ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม ที่มีนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดยุติธรรม เป็นเจ้าภาพดำเนินการในเรื่องนี้ โดยมีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหัวหอกในการดำเนินการ
เป็นเวลาประมาณ 1 ปี จนกระทั่งนายจรัญฯมีอันต้องพ้นจากตำแหน่งปลัดฯไป ก็ไม่มีข่าวปรากฏออกมาให้เห็นว่า หน่วยงานในบังคับบัญชาของเขา มีการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา ในคดีฆ่าตัดตอนได้แม้แต่คดีเดียว หรือมีใครกันบ้าง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ตัวการในคดี ฆ่าตัดตอนผู้คนไปมากมายถึงสองพันห้าร้อยศพอย่างที่พูดกัน
สรุปง่ายๆคือ ที่นายจรัญฯรับเป็นเจ้าภาพสืบหาความจริงนั้น ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย
ต้องพูดกัน อย่างนี้แหละ!

เรื่องฆ่าตัดตอนนี้ ไม่ได้จบแค่นายจรัญฯ เพราะต่อมาเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2550 นายพลสุรยุทธ์ นายก ณ.เขายายเที่ยง แกให้สัมภาษณ์ที่บ้านพิษณุโลก ในรายการของตัวเอง ซึ่ง นสพ.ไทยรัฐได้ลงข่าว และผมขอตัดข่าวมาให้ดูโดยไม่ตัดทอน ดังนี้

แฉเหตุผ่าตร. ฆ่าทิ้งยาบ้า-ใต้ [8 ก.ค. 50]
...เช้าวันเดียวกัน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ เปิดบ้านพิษณุโลกถึงการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจว่า เคยพูดไปแล้วว่า สิ่งที่ประชาชนทางภาคใต้พูดถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะตำรวจซึ่งเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่เรื่องการป้องกันปราบปราม สืบสวนจับกุม ผลที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมามีลักษณะการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ประมาณ 2,000 กว่าคน ไม่ว่าเรื่องการปราบปรามยาเสพติด การใช้อำนาจเกินเลย...

สรุปได้ว่าประเด็นหลักจริงๆ ในการปรับปรุงองค์กรตำรวจของชาติ ก็คือ
นายกฯสุรยุทธ์ ณ เขายายเที่ยง แกฝังจิตฝังใจว่า ตำรวจฆ่าทิ้งเสีย 2,000 กว่าศพ นั่นเอง!
โถ...นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก?
และคนที่มาเป็นประธานกรรมการ ปรับปรุงองค์กรตำรวจ ก็ไม่ใช่ใคร ก็คือนายพล วสิษฐ์ เดชกุญชร หนึ่งในวิทยากรที่เข้าร่วมการสัมมนา ที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งผมได้กล่าวถึงตอนต้นนั่นเอง
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ที่จะต้องดันแบบหัวชนฝากันว่า ต้องมีการฆ่าตัดตอนแน่ๆ
ท่านผู้อ่าน พอจะเห็นความเกี่ยวพันกัน หรือยังล่ะครับ!?

ผมว่านายกฯเขายายเที่ยง แกลืมไปแล้วหรือว่า ในปีที่ประกาศสงครามยาเสพติดกันอยู่นั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ดำรงตำแหน่งอะไรอยู่
ตัวเองมีส่วนร่วม ในสงครามครั้งนี้กับเขาด้วย หรือเปล่า?
หน่วยทหารต่างๆเข้าไปเกี่ยวข้อง กับสงครามการต่อสู้กับยาเสพติด อย่างไรบ้าง?
ผมสงสัยว่านายกฯเขายายที่ยง ที่ความจำจะสั้น จึงต้องเตือนความทรงจำ ด้วยข้อความจากข่าวสารของกองทัพบกเองดังนี้...

“...การประกาศชัยชนะสงครามยาเสพติดนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ ส่วนสนับสนุนกองบัญชาการกองทัพบก ซึ่งผู้อำนวยนวยการส่วนสนับสนุนกองบัญชาการกองทัพบก นำกำลังพล นายทหาร นายสิบ พลอาสาสมัคร พลทหาร ฯ และลูกจ้าง ....ร่วมประกาศชัยชนะสงครามยาเสพติด เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ....
คราวนี้นายกฯเขายายเที่ยง จำได้หรือยังล่ะ!?

ผมไม่รู้ว่า ความเชื่อฝังจิตฝังใจว่า ตำรวจฆ่าทิ้งเสีย 2,000 กว่าศพ อย่างนี้มันฝังหัวกบาล คนระดับนายกฯอย่างสุรยุทธ์ได้อย่างไรกัน
ทำไมถึงเชื่อ...ง่ายดายถึงปานนั้น?
ทำไมแกไม่ฉุกคิด ขึ้นมาบ้างว่า
หากมีการฆ่าคนโดยตำรวจเป็นผู้ลงมือเอง และฆ่ามากมายขนาด 2,500 ศพนั้น มันจะต้องมีเจ้าทุกข์จำนวนนับร้อยนับพัน ปรากฏให้เห็นด้วยการแห่แหนกันมาร้องทุกข์แล้ว
แต่ภาพอย่างนั้น กลับไม่เคยปรากฏ ต่อสาธารณชนเลย!

ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งๆที่เห็นมีการป่าวประกาศกันเหยงๆ ว่าญาติใครถูกตำรวจฆ่า ให้ไปแจ้งความกับกรมสอบสวนพิเศษ ที่นายกฯเขายายเที่ยงเป็นประธานอยู่ หรือแจ้งผ่านสำนักนายกบ้าง แต่เอาเข้าจริงปรากฏว่า
คดีที่กรมสอบสวนพิเศษ ซึ่งมีนายกฯเขายายเที่ยงเป็นประธาน ได้อนุมัติให้มีการสอบสวน โดยมีผู้มาร้องทุกข์ โดยไอ้นักการเมืองหัวหงอก เป็นผู้พามาร้องทุกข์ (เท่าที่ออกข่าว นสพ.) เพียง 1 ราย ที่สงสัยว่าตำรวจจะฆ่าเอา เหตุเกิดที่ จว.นครราชสีมา ตอนนี้คดีความไปถึงไหน ยังไม่มีการเผยแพร่ให้รู้กัน แต่ที่แน่ๆ
ยังไม่มีการฟ้องร้อง ต่อศาลแต่อย่างใด
หรือเหลวไปแล้ว...ก็ไม่รู้!?
รายล่าสุดก็มีคดีเรื่อง น้องฟลุคที่ถูกลูกหลงจากกระสุนปืนของตำรวจ สน.บางชัน ปัจจุบันนี้ คดีก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ตัวตำรวจที่ถูกกล่าวหานั้น พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. ใช้ตำแหน่งยื่นประกันตัว ผู้ต้องหาทั้ง 3 นาย โดย ตานวยแกให้เหตุผล ในการประกันตัวว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ได้กระทำในขณะปฏิบัติหน้าที่จึงใช้ตำแหน่งยื่นช่วยเหลือ เรื่องก็มีอยู่เท่านั้น ส่วนคดีความก็กำลังว่ากันอยู่ในชั้นศาล
แต่ไม่ใช่ คดีฆ่าตัดตอนแน่ๆ!
มีอีกคดีหนึ่งที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ส่งฟ้องตำรวจ
กาฬสินธ์ไป ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นการฆ่าตัดตอน แต่พวกที่ตายก็เป็นแก๊งลักรถ ในคดีก็ไม่ได้โยงอะไร ไปถึงนายตำรวจผู้บังคับบัญชาระดับจังหวัดหรือระดับภาค หรือระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วอย่างนี้ จะไปลากเอาคุณทักษิณฯว่า...
...‘บงการฆ่าได้อย่างไรกัน!?
ฉะนั้น อย่ามาคุยให้เหม็นขี้ฟันกันเลย เพราะไอ้คดีที่กล่าวหาว่าตำรวจอุ้มไปฆ่าตั้ง 2,500 คน แต่ที่อีตาสุรยุทธ์ฯแกเอามาอ้างตามพวกสื่อ และนักการเมืองและฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ กุกันขึ้นมาเป็นข่าวนั้น เป็นคดีตามปกติเท่านั้น คือ
คดีที่ตามกฎหมายเรียกว่า คดีที่ยังไม่ทราบตัวคนร้าย หรือเรียกหรือยังจับกุมตัวไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกพิสดารบ้าบอคอแตกอะไรเลย
จึงขอยืนยัน ณ ที่นี้เลยว่านายกฯเขายายเที่ยง พูดไม่ตรงกับความจริง
พูดโดยมีอคติกับตำรวจ!

การตายในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลหลีกเลี่ยงในการรับผิดชอบไม่ได้ ดูอย่างกรณีตากใบ ทหารฆ่าคนมุสลิมที่ไม่มีอาวุธ ตายอย่างโหดเหี้ยมคาที่เกิดเหตุ 7 ศพ อุ้มขึ้นรถไปอีกนับร้อย และทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย อย่างทารุณโหดร้ายบนรถบรรทุกอีก 74 คน จนเป็นข่าวทำให้เมืองไทยเสื่อมเสียอย่างยิ่งนั้น
รัฐบาลทักษิณก็ต้องรับผิดชอบ แต่เมื่อผลการไต่สวน ชันสูตรพลิกศพออกมา หลักฐานชี้ชัดว่า เป็นการกระทำของฝ่ายทหารโดยตรง รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบทางแพ่ง โดยต้องชดเชยให้กับผู้เสียหาย ซึ่งได้กระทำกันไปแล้ว
แม้ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ชาวบ้านที่นั่นเขาก็ยังวิพากษ์วิจารณ์กัน ว่า
เป็นการอุ้มฆ่าขนานแท้!
เราจะไป ห้ามปากชาวบ้านไม่ได้หรอกครับ เพราะเรื่อง
ตากใบนั้น ชาวบ้านเขาก็เห็นอยู่ชัดๆว่า ทหารเป็นฝ่ายกระทำข้างเดียว ไม่มีใครเขาไปเกี่ยวข้องด้วย!
สำหรับเรื่องการ ฆ่าตัดตอนนั้น ถึงวันนี้แล้ว แม้จะมีการสอบสวนเอาจริงเอาจังกันอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีการทุ่มเทงบประมาณกันมากมาย แต่เวลาผ่านไปแล้วเนิ่นนายตั้ง 4 ปี นับแต่มีการตั้ง คตน.ขึ้นมา ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า
คุณทักษิณแกไปเกี่ยวข้องในเรื่องการ ฆ่าตัดตอนตรงไหนเลย!
ดังนั้น เราพอจะสรุปกันตรงนี้ได้ไหมว่า การฆ่าตัดตอนที่
คุยฟุ้งเอามัน กันนั้น และเป็นเรื่อง ขนานเทียมหรือเสกสรรปั้นแต่งกันขึ้นมาเท่านั้นเอง!
หรือไม่จริง!!?

ก่อนจบข้อเขียนในวันนี้ ผมขอนำความเห็นของคุณ วิมล อยุธยาที่แสดงไว้ท้ายคอลัมน์ ไอ้พวกโง่นี่ มันไม่เคยฟัง...ในหลวง!!!?” มานำเสนอกับท่านผู้อ่าน เพราะน่าสนใจมาก
คุณ วิมล อยุธยาเขียนมา อย่างนี้ครับ

...ตั้งแต่ปฏิวัติปี 2549 มา อยุธยามียาเสพติดเพิ่มขั้นหลายเท่าตัว ไม่มีใครสนใจปราบปรามสักเท่าไหร่เลย ทั้งรัฐบาลทหารบิ๊กบัง ทั้งรัฐบาลสุรยุทธ ทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ล้วนมีอำนาจล้นฟ้า ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทำไมไม่จัดการเรื่องยาเสพติดให้อยู่หมัด หรือเจ้าพ่อยาเสพติดหนุนประชาธิปัตย์อยู่อย่างที่เขาลือกัน เฉพาะที่อยุธยาเดี๋ยวนี้ พูดกันอย่างช้ำใจว่า ชื่อเต็มๆคือ "อยุธยา(เสพติด)" ที่ว่าเคยล่มแล้วสมัยพม่าเผา ตอนนี้ก็ล่มอีกครั้งจากยาเสพติดที่เผาผู้คนโดยเฉพาะเยาวชน...

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
คนที่เขาตั้งใจทำงาน สนองพระราชดำรัสและพระเดชพระคุณของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นการทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองโดยไม่เห็นกับความเหนื่อยยาก ด้วยการกวาดล้างขบวนการยาเสพติด เพื่อลูกหลานของเรา จะได้มีความปลอดภัย ในวันข้างหน้า กลับถูกฝ่ายไอ้พวกอัปรีย์ป้ายสี กล่าวหาร่ำไป
แม้ไอ้พวกขบวนการป้ายสี มันจะพยายามสักปานไหน แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแม้เวลาจะผ่านมาหลายปีดีดักแล้ว แต่ไอ้พวกโลซกเหล่านั้น มันก็ยังหาหลักฐาน มาแสดงต่อสังคมไม่ได้เลย...
แม้แต่น้อยนิด!

ท้ายที่สุดนี้ อยากจะบอกเหตุผล ที่ผมต้องออกมาเขียน เรื่องยาเสพติดอีกครั้งเป็นหลักเป็นฐานไว้ ก็เพื่อจะให้ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ รู้ทั่วกันว่า
ครั้งหนึ่ง บ้านเมืองไทยของเรานั้น เคยทำสงครามเอาชนะยาเสพติดได้แล้ว แต่เพราะไอ้พวกอัปรีย์ ที่มันยึดอำนาจ ไปจากพี่น้องประชาชน และมุ่งแต่ประโยชน์ตน จนร่ำรวยมั่งคั่งไปตามๆกัน และปู้ยี่ปื้ยำบ้านเมืองอันเป็นที่รักของพวกเรา ให้เสียหายยับเยิน แต่พวกมันกลับไม่มีปัญญา ดูแลบ้านนี้เมืองนี้ให้มีความสงบสุขร่มเย็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังไม่ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โดยปล่อยให้เพลิงแห่งยาเสพติด มีโอกาสได้กลับมา และ...

ลุกลาม...โหมไหม้ แผ่นดินของเราอีกครั้ง!!!

********

(ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 3 กรกฎาคม 2553)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น