คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : ๖ ตุลากับพฤษภาสองทมิฬ
โดย : กาหลิบ
เมื่อ เลือดประชาธิปไตยนองถนนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ คนกลุ่มหนึ่งที่ควรเข้าใจดีที่สุดว่าความหมายของการเข่นฆ่าประชาชนคืออะไร และใครสั่งฆ่า น่าจะเป็นผู้ที่เคย “ชนะ” และ “แพ้” มากับเหตุการณ์ในเดือนตุลาคมทั้งเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ และ ๒๕๑๙
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นชัยชนะที่มาย้อนคิดในภายหลังแล้วเหมือนถูกเขาหลอกใช้ เขาต้องการจะเข่นฆ่าทำลายสุนัขรับใช้ฝูงเดิมที่เขาควบคุมไม่ได้อีกแล้ว เราก็เข้าไปช่วยเขา ถึงจะด้วยเจตนาบริสุทธิ์ก็เถิด
แต่ระบอบ ประชาธิปไตยก็ได้รับน้ำเลี้ยงจากเหตุการณ์นั้น จนชูช่อขึ้นมาได้บ้าง ถึงโดนน้ำกรดรดราดเป็นระยะๆ ก็ยังเหลือเชื้อมาทำทุนจนถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นคุณมากอยู่
แต่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นความพ่ายแพ้ที่หลายคนในขณะนั้นนึกว่าเป็นชัยชนะ ถึงกับฉลองกันในราวป่าก็เพราะเชื่อว่าอีก ๕ ปีศักดินา-จักรวรรดินิยมก็จะแพ้ภัยตัวเองไป แต่แล้วก็ฝันค้าง ต้องย้อนกลับมาค้นหาชีวิตที่ตกหล่นระหว่างทางของแต่ละคน หลงทางเข้าไปในถนนสีเหลือง ชมพู และหลากสีอย่างชนิดถอนตัวไม่ขึ้น และไม่อาจจะร่วมยืนกับสีแดงได้อย่างที่เคยประกาศสัจจะไว้
ปัญหา จะอยู่ที่ตัวคุณทักษิณฯ หรืออะไรก็ต้องใช้เวลาพิจารณากันให้ลึกซึ้ง เพราะถามหลายท่านก็ทำท่าว่าติดที่ตัวบุคคลกันอยู่ ทั้งแง่บวกและลบ
ลักษณะร่วมที่สำคัญมากของเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ กับเมษา-พฤษภา ๒๕๕๓ คือเป็นการใช้ความรุนแรงต่อใคร สั่งการโดยใคร และหวังผลอะไร
ผล คงจะชัดกว่าอย่างอื่นว่า การฆ่าประชาชนกันตรงๆ ด้วยวิธีอันโหดเหี้ยมทารุณ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความตระหนกตกใจว่าเกิดภัยคุกคามอย่างหนักขึ้นกับระบอบ ที่มีตนเป็นศูนย์กลาง จนต้องใช้วิธี “ปราบปราม” แทนการประนีประนอมและประสานประโยชน์ หรือตามครรลองประชาธิปไตยที่จะให้ผลที่ยั่งยืนกว่า
รู้สึกว่ารักษาระบอบของตนไม่ไหวเมื่อใด เลือดก็จะนองแผ่นดินทุกครั้ง
แล้ว ก็จะโฆษณาชวนเชื่อขนาดหนักเพื่อกลบกลิ่นคาวเลือดและคราบไคล ชูฝ่ายชายและฝ่ายหญิงขึ้นมาเป็นพระเอกนางเอก และโยนให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ร้าย ทำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องจนกว่ากลิ่นเหม็นจะจางหายไปหรือไม่ก็สร้างเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมาเบี่ยงเบนความสนใจให้เลิกสนใจกลิ่นเหม็น
หลัง ๖ ตุลาคมเขาก็หวังว่ารัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียรจะทำให้ แต่ต่อมาปรากฏว่าตัวรัฐบาลเป็นปัญหามากกว่าจะเป็นทางออก ก็หมดสิ้นกันไป ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากนั้น ดันไปตกอยู่กับพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งทำให้อย่างเสียไม่ได้ และเริ่มดำเนินนโยบายขัดใจมากขึ้นทุกวัน เช่น ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนประชิดติดกัน เป็นต้น สุดท้ายก็ต้องเรียกนายพลผู้เป็นสาวกอย่าง เปรม ติณสูลานนท์ มาขับไล่ออกจากตำแหน่งไปอีกคน
กระสุนระเบิด M79 และห่ากระสุนที่ระดมใส่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนเลือดกระจายไปทั่วนั้น มันคือความตั้งใจที่เกิดจากจิตใจเดียวกันกับที่สั่งใช้พลแม่นปืนและอาวุธ นานาชนิดเมื่อเมษา-พฤษภา ๒๕๕๓ นั่นคือผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย ฆ่าได้ ทำร้ายได้ เพราะคนไทยต้องไม่หยุดคิดว่าสิ่งที่ตนเคยได้รับการบอกเล่ามาตลอดชีวิตว่าดี เลิศประเสริฐคนนั้น ความจริงเป็นฆาตกรต่อเนื่องประเภทหนึ่งเท่านั้น
โฆษณา ให้ฉ่ำเสียก่อนว่าผู้เรียกร้องประชาธิปไตยเหล่านี้ล้วนเป็นคอมมิวนิสต์ แถมยังมีโคตรเป็นญวนเป็นแกว เพื่อจะเข่นฆ่าได้สะดวก ล้างสมองคนเอาไว้ในนามนวพล กระทิงแดง และลูกเสือชาวบ้าน ร่วมกับทหารตำรวจในงานฆ่าคนสนองเจ้านาย
นั่นคือในปี พ.ศ.๒๕๑๙
โฆษณา ให้ฉ่ำเสียก่อนว่าผู้เรียกร้องประชาธิปไตยเหล่านี้ ล้วนแต่คิดล้มเจ้าและก่อการร้ายทำลายประเทศตัวเองทั้งนั้น เตรียมคนโลกทัศน์แคบที่ใส่สีเหลือง สีชมพู สีน้ำเงิน และหลากสีเอาไว้เสริมความกระหายเลือด เป็นมวลชนบังหน้าฆาตกรตัวจริงที่คืบคลานเข้าไปจากด้านหลัง
นี่คือในปี พ.ศ.๒๕๕๓
สอง พุทธศักราช สองสถานการณ์ ที่เวลาห่างกันถึง ๓๔ ปี แต่สุดท้ายก็คือความโหดเหี้ยมอำมหิตและพฤติกรรมที่เชื่อได้ยากว่าคนไทยจะ กระทำต่อกัน อย่างละม้ายคล้ายคลึงกันยิ่ง
ก็เพราะบางอย่างมันไม่เคยเปลี่ยน....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น