เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผมได้เขียนเรื่องราวที่ได้ดูจากภาพยนตร์ดังเรื่อง Pearl Harbor
ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี และทำรายได้มหาศาล
หนังเรื่องนี้เขาได้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ของผู้นำสหรัฐคือ
ท่านประธานาธิบดี แฟรงค์กลิน ดี โรสเวลท์
การตัดสินใจที่ยากยิ่ง ในการนำชาติเข้าสู่การสงคราม
แต่ด้วยจิตใจรุกรบและรักเสรีภาพ
โลกนี้ได้ยกย่องให้ท่านเป็น
“มหาบุรุษ”
วันนี้ ผมอยากคุยถึงเรื่องประธานาธิบดีท่านนี้ ต่ออีกสักหน่อย
เพราะการที่พูดถึง “มหาบุรุษ”
ซึ่งเป็นของหายากในบ้านเมืองของเรา
ซึ่งอุดมไปด้วย “ทุรบุรุษ” ที่ทำให้การเมืองไทย ตกอยู่ในภาวะระยำตำบอน จนถึงวันนี้
ท่านประธานาธิบดีโรสเวลท์ ได้สร้างชาติอเมริกาให้มั่นคง แข็งแกร่งขึ้นมา
ด้วยความเฉลียวฉลาดอย่างโดดเด่น ในสังคมโลก
การนำชาติเข้าสู่มหาสงคราม ซึ่งนำมาซึ่งชัยชนะในที่สุด
ทำให้สหรัฐอเมริกา กลายเป็นผู้นำโลกมาจยถึงทุกวันนี้
แต่ใครจะรู้บ้างว่า ท่านประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ตนนี้ เป็น…
คนพิการ!
อเมริกันชนจำนวนมากเชื่อว่า ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่ม
ฮิโรชิม่า และนางาซากิ หรอกครับ
ที่ทำให้ญี่ปุ่นยอมจำนน แต่ทว่าคนอเมริกันจำนวนมากเชื่อกันนักว่า
จุดหักเหและพลิกผันอย่างสำคัญ ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายชนะสงคราม
อยู่ที่ความเป็น “ผู้นำ” ของประธานาธิบดีพิการคนนี้ต่างหาก!
พวกเขา...ถึงกับพูดกันว่า
ถ้าสหรัฐอเมริกาไม่มีคนชื่อ แฟรงคลิน ดี โรสเวลท์ เป็นประธานาธิบดี
ในช่วงเวลาคับขันอย่างนั้น
ถึงป่านนี้ โลกอาจจะอยู่ใต้การปกครองของญี่ปุ่นและเยอรมั นก็เป็นได้
ทั้งนี้ก็เพราะว่า
ประธานาธิบดีขาพิการ คนนี้แหละครับ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามอย่างสำคัญ
เพราะทันทีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ฐานทัพอเมริกัน ถูกญี่ปุ่นโจมตี
ท่านโรสเวลท์ได้บอกกับคณะผู้บริหาร ซึ่งร่วมประชุมกันอยู่ ว่า
มีความจำเป็นอเมริกาต้อง ‘เอาคืน’ ทันที
เพื่อเรียกขวัญพลเมืองอเมริกัน กลับคืนมาโดยเร็ว
ด้วยการใช้เครื่องบิน บุกเข้าทิ้งระเบิดโจมตีกรุงโตเกียว หัวใจแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่นก่อน
ทุกคนในโต๊ะประชุมของฝ่ายบริหาร ต่างพากันหัวเราะด้วยความขบขัน นึกว่าท่านพูดเล่น
เพราะในขณะนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะญี่ปุ่นเพิ่งถล่มเพิร์ลฮาเบอร์มาหยกๆ
กองทัพอเมริกันก็ยังกระปลกกระเปลี้ย ขาดความพร้อมรบโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น ปฏิบัติการโจมตีเอาคืนญี่ปุ่น อย่างที่ประธานาธิบดีต้องการนั้น
ไม่ผิดอะไรกับปฏิบัติการ “การฆ่าตัวตาย” ทุกคนบอกท่านผู้นำอย่างเกรงใจว่า
คงต้องอาศัย ‘ปาฏิหาริย์’ เท่านั้น!
ท่านประธานาธิบดีโรสเวลท์ ผู้พิการ ได้สะกดทุกคนในที่ประชุม
ด้วยการรวบรวมพลังใจทั้งหมด บังคับขาของท่าน ให้พยุงร่างตัวเองลุกขึ้นยืน
และค่อยๆก้าวเดินให้ทุกคนดู
เหล่าสมาชิกร่วมคณะรัฐบาล ถึงกับอ้าปากค้าง ตกตะลึง ในสิ่งที่พวกตนได้เห็น
และเชื่อในปาฏิหาริย์ ขึ้นมาทันที!!
พลังใจของคณะผู้บริหารเริ่มดีขึ้น เพราะผู้นำของชาติ ได้แสดงความมหัศจรรย์
ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ท่านประธานาธิบดีผู้พิการ จึงได้มีบัญชา สั่งการให้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน
ลอบเข้าไปลอยลำในมหาสมุทรปาซิฟิก
ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด โดยนำเรือไปใกล้แผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นมากที่สุด
เพราะตอนนั้นทัพเรือลูกพระอาทิตย์ ยังเกรียงไกรและครอบครองน่านน้ำอยู่
จากนั้น ก็ส่งนักบินผู้กล้าหาญ ขับเครื่องบินทิ้งระเบิด ทะยานขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน
โดยให้บินในระยะต่ำ หลบเรดาร์ญี่ปุ่น เล็ดลอดเข้าไปถึงกลางกรุงโตเกียว
โดยกองทัพญี่ปุ่นไม่ทันส่งฝูงเครื่องบินขับไล่ ออกมาต่อต้านได้ทันท่วงที
เครื่องมะกัน...ทิ้งระเบิด ‘ตูม’ เข้าให้!
พอปลดระเบิดเรียบร้อยแล้ว นักบินต้องบินหนีโดยเร็ว และไปร่อนลงในจีน
เพราะไม่มีน้ำมันเพียงพอ ที่จะบินกลับไปยังเรือบรรทุกเครื่องบิน ยานแม่ที่ตนบินขึ้นมา ได้อีกแล้ว
เสี่ยงกันขนาดนั้น...เลยทีเดียว!!
เป็นปฏิบัติการทางการทหารชั้นเยี่ยม อย่างไม่เคยมีใครเคยคาดคิดมาก่อน
และเป็นการรุกเข้าตี “กลางหัวใจ”ของประเทศคู่ศึกคือ...กรุงโตเกียว
แจแปนิส “ช๊อค” ตกตะลึง พรึงเพริด กันทั้งประเทศ!!
จักรวรรดิญี่ปุ่นในยุคนั้น ชาวเมืองปลาดิบเขาเชื่อมั่นว่า
แผ่นดินแม่ของตน ศักดิ์สิทธิ์และอยู่ยงคงกระพัน ตลอดประวัติศาสตร์
อันยาวนานนับพันปี ของเมืองอาทิตย์อุทัย ไม่เคยมีข้าศึกหน้าไหน จะบุกเข้าตีได้เลย แต่....
อเมริกันรุกพรวดเดียว…
ทิ้งระเบิดเปรี้ยงเข้าให้ ชงตรงกลางหัวใจแดนอาทิตย์อุทัย คือ
กรุงโตเกียว นั่นเลยทีเดียว
ซามูไรงุนงง ชะงักความหยิ่งผยอง ลงทันทีทันใด!!
ถึงวันนี้ ด้วยลักษณะผู้นำที่โดดเด่นยิ่ง ท่านประธานาธิบดีโรสเวลท์
ยังคงครองความนิยมสูงสุด จากการโหวตเสียง
โดยประชาชนชาวอเมริกันมาโดยตลอด และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่โดยแท้
ในสมัยเดียวกันกับท่านโรสเวลท์
นายกรัฐมนตรี เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล (Sir Winston Churchill) แห่งเกรทบริเตน
ก็ได้รับความยกย่องอย่าง ในฐานะ “มหาบุรุษ” แห่งเกาะอังกฤษ
ซึ่งยืนหยัดต่อสู้กับการโจมตีของเยอรมัน อย่างอ้างว้างเดียวดาย
สุนทรพจน์ของนายกฯเชอร์ชิล หนักแน่น จริงใจ และจับใจ คนอังกฤษทั้งมวล
ท่านพูดชัดว่า
“เรา (อังกฤษ) จะไม่ยกธง (ยอมแพ้) หรือล้มเหลว เราจะสู้จวบจนวาระสุดท้าย
เราจะสู้ในฝรั่งเศส ในท้องทะเลและมหาสมุทร
เราจะสู้ด้วยความเชื่อมั่นในกำลังทางอากาศบนท้องฟ้า ที่จะป้องกันเกาะ (อังกฤษ) ของเรา
ไม่ว่ามันจะต้อง...ป่นปี้สักแค่ไหน
เราจะสู้บนชายหาด เราจะสู้บนแผ่นพื้นพสุธา เราจะสู้ในท้องนา เราจะต่อสู้บนถนน
เราจะสู้บนภูเขา...
เราจะไม่มีวัน...ยอมแพ้”
ด้วยบุคลิกที่สู้ไม่ถอย องอาจหาญกล้าแบบสิงโตเจ้าป่า
ที่ปรากฏใน ตราแผ่นดินของอังกฤษ และคำพูดหนักแน่น เร้าใจให้ฮีกเหิม แบบ
“สู้...สู้...สู้...และ...สู้!”
อย่างนี้แหละครับ ที่ปลุกปลอบขวัญชาวเมืองผู้ดี ให้ยืนหยัดต่อสู้กับการ
โจมตีของจักรวรรดินาซี อย่างทรนงองอาจ
จนได้รับชัยชนะในที่สุด
สำหรับนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม นายกโลซกนั้น ประชาชนคนไทยรู้ดี ว่า
ภาวะความเป็นผู้นำของเขา มีปัญหาอยู่มาก
นับตั้งแต่การเข้ามาสู่ตำแหน่ง แบบพิลึกพิลั่น ซึ่งได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า
เป็นการวิ่งราวอำนาจ ด้วยการอุปถัมภ์ของฝ่ายทหาร!
จนถูกกระหน่ำจากสื่ออย่างหนัก ในทำนองว่า
รัฐบาลโลซกและทหาร มีผลประโยชน์ร่วมกัน
จากการเพิ่มงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
แต่กลับมีเรื่องการทุจริตอื้อฉาว
ซึ่งถูกสื่อโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะสื่อสีเหลือง ค่าย “ผู้จัดการ”
พันธมิตรที่แนบแน่น ของพรรคประชาธิเปรต
ซึ่งได้ออกมาโจมตี “โป๊งเหน่ง-ป๊อก” หรืออดีต ผบ.ทบ. คนล่าสุด ตั้งแต่วันแรก
ที่นายทหารผู้นี้ หลุดพ้นจากตำแหน่ง ว่า
กองทัพบกยุคของ “นายพลหัวถลอก” คนนี้
เป็นยุคที่มีการทุจริตมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ทหารไทย!
แม้ฝ่ายทหารจะโอบอุ้มนายอภิแสบ โดยปกป้องเสมือนเขาเป็น “ลูกอันฑะ” ของตัวเอง
แต่ทำได้แค่ให้อีตามาร์ค มุกควาย คนนี้
โบกหัวกวัดไกวอยู่หว่างขาทั้งสอง ของคนในเครื่องแบบ เหมือน
“ไข่ในหำ” ยังไง...ยังงั้น!
ฝ่ายทหารเองถึงกับยอมสละชีพ เพื่อป้องกันนายอภิแสบกับพวกเป็นสามารถ
แม้จะต้องลงทุนเปิดศึกกับพี่น้องประชาชน และเพื่อนร่วมชาติอย่างโหดร้าย
จนบาดเจ็บล้มตายลงมากมาย
ไม่น่าเชื่อว่า
พวกทหารยอมประกอบอาชญากรรมที่น่ารังเกียจ อย่างสิ้นศักดิ์ศรี...อย่างนี้ได้!
จนถึงวันนี้คนไทยและสื่อทั้งหลาย ก็ยังไม่เข้าใจเหตุผล
ทำไมพวกเขายอมรับใช้นายอภิแสบ อย่างไม่ฟังเสียงประชาชน?
แต่ ถึงกระนั้น...
ท้ายที่สุดแล้ว พรรคประชาธิเปรตเอง ก็ไม่ได้ปกป้องฝ่ายทหารจากความเสียหาย
เรื่องทุจริตคอรัปชั่นแต่อย่างใด แม้แต่การฆ่าฟันทำร้ายประชาชนของฝ่ายทหาร
นายอภิแสบก็ ‘ชิ่ง’ หลบปัญหา เฉไฉไปว่า
ไม่ได้เป็น “ผู้สั่งการ” แต่อย่างใด เหมือนจะโยนให้ฝ่ายทหารรับไปเต็มๆ
ตามสันดาน นายกฯ คุณภาพต่ำ!
ดังนั้น เรื่องภาวะความเป็น “ผู้นำ” ของนายอภิแสบ จึงมีปัญหาอยู่มาก
และหากนำเขาไปเปรียบเทียบ กับผู้นำในภูมิภาคเดียวกัน แบบปอนด์ต่อปอนด์
แม้ผู้นำประเทศเล็กๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านติดกันอย่าง ลาว เขมร
ผู้นำโลซกของไทยอย่างนายมุกควาย
ก็เป็นรองเขา...สุดกู่แล้ว!!
ไม่ต้องถึงนำไปเทียบกับผู้นำ ที่แข็งแกร่งอย่าง
เวียตนาม อินโดเนเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และ พม่า ซึ่งเทียบชั้นกัน ไม่ได้เลย
นายอภิแสบนั้น ได้กลายเป็นผู้นำไทย ที่กลายเป็นปัญหามากที่สุด
ในภูมิภาคอาเซี่ยนนี้เลย ทีเดียวเชียว!!!
เมื่อไม่ได้รับความนิยมในบ้าน คือประเทศไทยของตัวเอง
แต่เวลาไปต่างประเทศ อีตาโลซกอภิแสบ
ยังกลับมีพฤติกรรมกระทำดับเบิลและทริปเปิลแสบ หนักข้อยิ่งขึ้นอีก คือ
ไปทำให้ชาวต่างประเทศ งงเต็กไปตามๆกัน เพราะดันทะลึ่ง ไปให้สัมภาษณ์ว่า
คนไทยในประเทศ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตน เปรียบเสมือนเป็นผู้ก่อการร้าย
“อัลกออิดะห์”
ชาวบ้านบอกว่าไอ้หมอนี่ “โง่ยำหมา” เลย ที่ไปแหกปากให้ชาวโลกรู้ว่า
คนไทยไม่ชอบรัฐบาลโลซก ของพวกมัน!!
เหล่าพี่น้องประชาชน ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม กับนายมาร์ค มุกควาย นั้น
ได้แสดงการต่อต้านออกมา ในรูปแบบต่างๆ
อย่างเมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553 นี้เอง “มติชนออนไลน์” ลงข่าวน่าขำว่า
ตำรวจจับแม่ค้า ขายรองเท้าแตะสีดำแดง
ข้างซ้ายพิมพ์ข้อความว่า "มีคนตายที่ราชประสงค์" และมีรูปพิมพ์ใบหน้าของนายสุเทพ
ส่วนข้างขวาพิมพ์ภาพใบหน้าของนายอภิแสบ ว่า
กระทบต่อ...ความมั่นคงของชาติ!
หนังสือพิมพ์ต่างชาติ เอาไปลงเป็น “ข่าวฮา” กัน ทั้งโลก!!
ผมได้วิพากษ์วิจารณ์ ถึงเรื่องความเป็นผู้นำ ที่คุณภาพต่ำ
หรือไร้คุณภาพของ “นายมาร์ค ร้อยศพ” ไปหลายครั้งหลายครา
แต่อาจไม่ดังเท่า ส.ส.พรรคเดียวกันกับเขา อย่าง พ.อ.วินัย สมพงษ์
สมาชิกระดับแนวหน่าประชาธิเปรต ถึงหลุดปากวิพากษ์วิจารณ์หัวหน้าพรรคอย่างรุนแรง
เมื่อครั้งล้มเหลวในการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า
“ลีดเดอร์ชิพ เสียหมด!!!”
นี่ขนาดคนพรรคเดียวกัน ยังวิพากษ์วิจารณ์เสียหมาอย่างนี้
แล้วจะไม่ให้ชาวบ้าน “ด่า” ได้อย่างไรกัน?
ก่อนจบบทความในวันนี้ ผมได้อ่านข่าวทำเนียบรัฐบาลมีการปรับ “ฮวงจุ้ย” กันหลายรอบ
ปรับกันแล้ว ก็ปรับกันอีก เดี๋ยวเอาต้นไม้ใหญ่มาปลูก เดี๋ยวก็ถอนออก แก้โน่นเติมนี่
วุ่นวายกันไปหมด!
ซินแสระดับอาจารย์ ก็พากันออกมาอวดภูมิ วิพาษ์วิจารณ์กันใหญ่โต
โดยเฉพาะการปรับเที่ยวหลังสุดนั้น ซินแสบางนาย ถึงกับกล่าวว่า
การนำประติมากรรม และรูปปั้น ‘สัตว์’ ต่าง ๆ หินสี พระสังขจาย ฯลฯ มาประดับทำเนียบ
และปลูกต้นไม้หลากหลาย นั้นเป็นความงมงาย
ซึ่งเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา อีกทั้งความเชื่อด้านไสยศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่อง “ฮวงจุ้ย” เลย
ซินแสขั้นเกจิบางคน ก็ได้แนะนำว่า...
ในอดีตนั้น ทำเนียบรัฐบาลมีชื่อเดิมว่า "บ้านนรสิงห์" น่าจะเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทาน
หรือโดยท่านเจ้าของบ้านตั้งขึ้น เจ้าของบ้านเก่า คือ
"พลเอก พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ" (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
เดิมมีรูปสลัก “นรสิงห์” ตั้งอยู่ที่สนามหญ้า
เมื่อเจ้าคุณท่านขายบ้านให้รัฐบาลแล้ว "บ้านนรสิงห์"
ทางการได้เปลี่ยนเป็น "ทำเนียบสามัคคีชัย" และ "ทำเนียบรัฐบาล" โดยลำดับ
ซินแสระดับเกจิ แนะให้กลับไปใช้ชื่อเดิม โดยให้เรียกว่า
“ทำเนียบนรสิงห์”
อยากจะเรียนกับท่านผู้อ่านว่า เจ้าคุณรามฯนั้น
ท่านเป็นคนไม่เชื่อไสยศาสตร์ ชังเอาเสียด้วย แม้บ้านนรสิงห์
หรือทำเนียบรัฐบาลปัจจุบัน ครั้งท่านเจ้าของเดิมยังครอบครองอยู่นั้น
ก็ไม่มีแม้กระทั่ง “ศาลพระภูมิ” ด้วยซ้ำไป
ใครไม่เชื่อ ลองไปถามลูกท่านคนไหนดูก็ได้ เหตุที่ผมรู้
เพราะตัวเองเป็นพื่อน และสนิทสนมคุ้นเคยกับบุตร
และบุตรีของท่านหลายคน มาจนกระทั่งทุกวันนี้
เพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งอ่านคำแนะนำของซินแสคนหลัง เขาไม่เห็นด้วย
และมีความเห็นแย้ง โดยเจ้าตัวอธิบายกับผม อย่างนี้ครับ...
พื้นที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลนั้น ใครๆก็ทราบดีว่า ชุกชมไปด้วย “ตัวเงินตัวทอง”
ซึ่งออกมาปรากฏกาย ให้ผู้คนเห็นอยู่บ่อยๆ
ซึ่งดูเหมือนพวกมันเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองพื้นที่นี้โดยแท้
ดังนั้น เราน่าจะสร้างประติมากรรม รูปสัตว์เจ้าของถิ่นเก่าแก่นี้
โดยสร้างให้ตัวใหญ่โตพอควร แล้วลงรักปิดทองเหลืองอร่าม นำมาตั้งไว้ที่สนามหญ้า
หน้าทำเนียบ แทน “นรสิงห์” ของเดิม ให้ดูเด่นเป็นสง่า
จะได้เป็นศิริมงคล แก่นายอภิแสบผู้นำคณะรัฐบาลโลซก
ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า...
“เหี้ย” นั้นเป็นสัตว์สุขาภิบาล ที่ทำความสะอาดพื้นที่ ด้วยการกินซากสัตว์
และของสกปรกต่างๆ ถือได้ว่าเป็นสัตว์มีประโยชน์ เพราะช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี
ฉะนั้น เพื่อกวาดล้างเรื่องทุจริตในทำเนียบ ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย
ในยุครัฐบาลชุดพรรคประชาธิเปรต เป็นแกนนำ เช่น
โครงการไทยเข้มแข็ง
ซึ่งเกิดทุจริตขึ้นฉับพลันทันที ที่พรรคดักดานนำทีมเข้ามาบริหารประเทศ
ซึ่งผู้คนเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า
มีการเตรียมการโกงไว้ก่อนล่วงหน้า อีกทั้งสถานที่ตั้งของโครงการนี้
ก็อยู่ในทำเนียบ ห่างจากห้องทำงานนายอภิแสบนิดเดียว
ซึ่งโครงการนี้ ทุจริตกันจนฉิบหายวายตลิ่ง
ซึ่งถูกสาปแช่ง จากพี่น้องประชาชนคนไทย อย่างสาดเสียเทเสีย
จึงมีความจำเป็น ที่บ้านเมืองของเรา ต้องมุ่งหน้ากวาดล้างความสกปรก
อันได้การทุจริตคอรัปชั่น ที่พรรคประชาธิเปรต และพรรคร่วมของพวกเขา
ได้สร้างเอาไว้ ซึ่งได้บ่อนทำลาย และ
กัดกร่อนรากฐานของชาติเรา ให้ได้รัความเสียหายมากมาย จน
ถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นแล้ว เรายังควรเปลี่ยนชื่อจาก “ทำเนียบรัฐบาล”
โดยเรียกชื่อใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นสวัสดิมงคล สมบูรณ์พูนผลจงทุกประการ
โดยให้เรียกอย่างเต็มยศ ว่า
“ทำเนียบเหี้ย!”
เพื่อนผมซึ่งออกความเห็นอย่างที่เล่าแล้ว
ได้หันมาถามผมซึ่งรับฟังอย่างไม่เชื่อหูตัวเองว่า ผมนั้น...
“คิดอย่างไร?”
ท่าทีที่เขาพูด ดูอย่างเอาจริงเอาจังมาก
ฟังความคิดของเพื่อนแล้ว ไม่ตอบคำถามเขา เพียงแต่บอกว่า
ผมจะนำเรื่อง “ทำเนียบเหี้ยๆ” อย่างนี้ ไปถามแฟนคอลัมน์ก่อน แล้วจะกลับมาให้คำตอบ
ก็ขอถามกันตรงนี้เลยนะครับ ว่า
“ท่านผู้อ่านล่ะครับ...คิดอย่างไร?”
.............
ท้ายบท ต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน เมื่อฉบับที่แล้ว
ผมได้เขียนนามสกุลของท่านประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ว่า
“รูสเวลท์” ซึ่งตัวประธานาธิบดี อ่านนามสกุลของท่านเอง ว่า
“โรสเวลท์”
ฉบับนี้ ผมจึงได้แก้ไขให้ถูกต้องแล้ว
“โรสเวลท์” อยู่ในตำแหน่งตั้งแต่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1933 –
12 เมษายน ค.ศ. 1945
ประธานาธิบดีอีก 1 ท่าน ที่ ใช้นามสกุลว่า Roosevelt คือ
Theodore Roosevelt ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 26 อยู่ในตำแหน่ง
ตั้งแต่ 14 กันยายน ค.ศ. 1901 – 4 มีนาคม ค.ศ. 1909ท่านนี้อ่านนามสกุลของตัวเองว่า
“รูสเวลท์”
ดังนั้น ผู้คนมักสับสนในเรื่องนามสกุล ของทั้งสองประธานาธิบดีนี้
แม้ทั้งสองท่านนี้ จะเป็น “ญาติ” กัน แต่ต่างฝ่ายก็อ่านนามสกุลตัวเอง ไม่เหมือนกัน
ขอได้โปรดเข้าใจ ตามนี้ด้วยครับ
(***บทความประจำสัปดาห์ ตอน “ทำเนียบเหี้ย” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 9 ต.ค. 2553)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=254
http://www.internetfreedom.us/showthread.php?tid=11027
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น