คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : เผด็จการไม่เงียบ
โดย : กาหลิบ
เคล็ด ลับอย่างหนึ่งของระบอบเผด็จการโบราณไทยคือความเงียบ เขาจะเสี้ยมสอนภายในระบอบกันอยู่เสมอว่าอย่าใช้อำนาจอย่างเอะอะ จะฆ่าใครก็อย่าไปประกาศ ใช้ให้บ๋อยลงมือทำอย่างเงียบที่สุด คนไทยจะกระซิบแพร่ข่าวกันไปเองว่าเป็นฝีมือใคร จนรับรู้กันทั่ว ตัวเองก็จะได้สำแดงอิทธิพลเถื่อนโดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เว้นแต่ต้องตกรางวัลให้พวกลูกน้องที่มาร่วมก่อกรรมทำชั่ว ไอ้ที่จะออกมาแสดงอินทรีย์แบบลูกผู้ชายเปิดเผยไม่ใช่วิสัยของผู้เผด็จการไทย
วิธีนี้เขามั่นใจว่าฝรั่งตะวันตกจะไม่มีส่วนรู้เห็นและจะไม่เข้ามาสอดแทรก เรื่องฝรั่งนี่สำคัญ เพราะหัวหน้าโจรคนนี้เขากลัวฝรั่ง
เพราะฉะนั้นรูปแบบเผด็จการของเขาคือแอบฆ่าคนไทยโดยไม่ให้ฝรั่งรู้
แต่ ปัญหาคือระบอบนี้กำลังเผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน เสาหลักที่ว่าแน่นหนากำลังถูกสุมเพลิงจากภายนอกและถูกมอดปลวกกัดกินจากภายใน จนไม่รู้ว่าหักโค่นถล่มทลายลงมาในวันไหน
ภาวะ เช่นนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกภายในระบอบ เหมือนเกิดน้ำท่วมฉับพลันจนไม่รู้จะคว้าสิ่งไหนก่อน ก็เลยต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างพัลวัน และไม่อาจรักษาความประณีตบรรจงของวิชามารแบบเดิมเพื่อรักษาอำนาจอันล้นพ้น เอาไว้ได้
สำคัญที่สุดคือไม่อาจต่อสู้กับฝ่ายประชาธิปไตยด้วยความเงียบอย่างเดิมได้อีก
เผด็จ การตัวสำคัญนี้จึงออกโรงชนิดเห็นตัวมากขึ้นทุกที แต่ละครั้งก็ส่งเสียงดังยิ่งกว่าสัตว์ร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ จนได้เห็นและได้ยินกันทั่ว
ฆ่าประชาชนผู้เป็น เสี้ยนหนาม ก็มิอาจพรางด้วยกลุ่มกระทิงแดงกระทิงด่าง ลูกเสือชาวบ้าน หรือกลุ่มนวพลบ้าบอแบบสมัยก่อน แต่ต้องฆ่าตรงๆ ด้วยกองทัพและอาวุธสงครามชนิดมุ่งทำลายล้าง
ข้อ กล่าวหาคอมมิวนิสต์สมัยใหม่ ได้แก่ หมิ่นเจ้า และ ก่อการร้าย ก็ดูจะคลายความศักดิ์สิทธ์ิลงอย่างน่าใจหาย ถึงจะใช้เป็นเครื่องกวาดล้างได้บ้าง แต่มิอาจเปลี่ยนใจมวลชนที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรได้เลย คนที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้ดูจะได้เกียรติยศอย่างใหม่เสียด้วยซ้ำไป
ถึง ได้ต้องออกมาสั่งงานเองโดยตรง เพราะแอบสั่งลงไปเป็นชั้นๆ อย่างเดิมไม่ได้เสียแล้ว ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเขาจะทำตามสั่งเหมือนก่อน เนื่องจากเป็นคำสั่งชั่วที่อาจดูดตัวเจ้าหน้าที่คนทำลงนรกไปได้ เขาก็พากันวิ่งหนี ไม่อยากทำให้ถึงขนาดนี้ก็เลยต้องออกโรงหนักขึ้น ให้คนเห็นตัวมากขึ้น และส่งเสียงดังขึ้นทุกวัน
ผลก็เลยเสมือนเป็นการเปิดแถลงข่าวของฝ่ายเผด็จการโบราณจนทั่วประเทศและทั่วโลกเขารับรู้กันทั่วว่างานนี้ของใคร โดยใคร และเพื่อใคร
ตา สว่างแล้วเขาก็เปลี่ยนจากความรักเป็นความชิงชัง แสดงออกตรงไหนได้เขาก็แสดง โดยไม่มีหน้าไหนจะบังคับให้เขาเปลี่ยนใจมาสอพลอตอแหลให้ตัวสบายอกสบายใจได้
เมืองไทยเดินทางถึงระยะสำคัญที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมากกว่ายุคไหนทั้งหมด นับแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา
ระบบมีปัญหาแต่ยังไม่เท่าระบอบมีปัญหา
“อำมหิต ไม่เงียบ” เขาจึงช่วยป่าวประกาศให้คนรู้กันทั่วโลกโดยอ้อมว่าเมืองไทยมีปัญหา ล่าสุดองค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ Amnesty International ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินในทันที เพราะไม่เกิดผลทางด้านความมั่นคง แถมยังลิดรอนสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก
จะเรียกว่ากรรมสนองกรรมก็น่าจะได้
ใคร คือผู้เผด็จการตัวจริงของไทย ใครคอยบัญชาการอย่างละเอียดในการปฏิบัติการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ใครที่ไฟริษยามันท่วมท้นล้นหัวใจจนต้องออกมาแสดงตนว่าฉันชนะประชาชนแล้ว บัดนี้ก็ชัดเสียยิ่งกว่าชัด
เพราะมันเงียบเสียจนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมืองแล้วครับ.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น