Thu, 2010-12-09 21:14
เปลวเทียน ส่องทาง
ชื่อบทความเดิม
"10 ธันวาคม : วันสิทธิมนุษยชนสากลและวันรัฐธรรมนูญไทย
ปล่อยนักโทษการเมือง หยุดกระบวนการรัฐประหาร
คืนประชาธิปไตยให้ประชาชน คืนความเป็นคนให้เท่าเทียมกัน"
นับตั้งแต่มีการปฏิวัติ ปี 2475 จาก "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์" มาสู่ “ระบอบประชาธิปไตย” รัฐไทยได้กำหนดให้วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็น “วันรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในฐานะที่รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายการปกครองสูงสุดของประเทศ และกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญเป็นการสะท้อนความสัมพันธ์ทางอำนาจของกลุ่มพลัง ต่างๆ ในสังคมไทย แต่อย่างใดก็ตามรัฐธรรมนูญก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขทางการเมืองอยู่ ตลอดเวลาโดยเฉพาะเมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทย
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา คณะรัฐประหารชุดนี้ได้ดำเนินการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 40 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และคณะรัฐประหารชุดนี้ได้มีกระบวนการร่างและสร้างรัฐธรรมนูญ 50 ขึ้นมาแทนซึ่งรัฐธรรมนูญ 50 นี้ และได้ให้อำนาจกับอำนาจนอกระบอบการเมืองที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชนผู้เป็น เจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจของระบอบอำมาตยาธิปไตยจึงหวนคืนสู่สังคมการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง
รากเหง้าของการรัฐประหารในครั้งนั้น ยังได้นำพาสังคมไทยสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามขยายใหญ่มากที่สุดในประวัติ ศาสตร์สังคมไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะเหตุการณ์การล้อมปราบสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงผู้เรียกร้องให้ รัฐบาลอภิสิทธิ์หุ่นเชิดของระบอบอำมาตย์ ดำเนินการยุบสภา เพื่อคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนตามหลักการทั่วไปของระบอบประชาธิปไตย
แต่รัฐอำมาตย์อภิสิทธิ์ชน กลับก่อ "อาชญากรรมแห่งรัฐ" ขึ้น โดยได้ใช้อำนาจเหี้ยมโหดอำมหิตเข่นฆ่าประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ต่างจากเหตุการณ์การล้อมปราบนักศึกษา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โศกนาฎกรรมทางการเมืองในครั้งนี้ จึงซ้ำรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปราบปรามสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดง มีผู้สูญเสียชีวิต 91 คน และผู้บาดเจ็บสองพันกว่าคน รัฐอำมาตย์อภิสิทธิ์ชนยังได้ดำเนินการกระชับอำนาจนิยมเผด็จการมากยิ่งขึ้น โดยมีการจับกุมแกนนำคนเสื้อแดงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉุกเฉินเร่งด่วน มีการกดทับเสรีภาพของสื่อสารมวลชนโดยการปิดเว็บไซต์ วิทยุชุมชน สื่อโทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ทีมีความคิดเห็นต่างจากรัฐอำมาตย์อภิสิทธิ์ชน
000
ในอีกแง่หนึ่ง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเป็นต้นมา ผู้นำประเทศต่างๆ ได้ตระหนักว่า การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะก่อให้เกิด สันติภาพแลความเจริญก้าวหน้าขึ้นในโลก จึงได้ร่วมมือกันจัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น เพื่อเป็นองค์การโลกที่จะคุ้มครองมนุษยชาติให้ได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอ ภาคเท่าเทียมกัน สมัชชาสหประชาชาติได้มีมติรับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 และมีมติประกาศให้วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันสิทธิมนุษยชน” (Human Rights Day)
ขณะที่ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยซึ่งส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เกิดมาจากการที่สังคมไทยมีการพัฒนาที่ไม่สมดุล ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาคและไม่มีความเป็นธรรม รากเหง้าส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการขาดอำนาจต่อรองของพลังชนชั้นล่าง ตลอดทั้งสังคมไทยที่ไม่เป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยมักหยุดชะงักจากอำนาจอำมาตยาธิปไตยโดย คณะรัฐประหารทั้งเปิดเผยและซ่อนรูปอยู่เสมอด้วยเช่นกัน
ในอีกด้านหนึ่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนไทยส่วนใหญ่ กลับมีส่วนในการเคลื่อนไหวให้ท้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สนับสนุนการรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือบุคคลที่ได้รับการยอมรับสร้างภาพให้สังคมไทยว่าเป็น "ราษฎรอาวุโส" "นักวิชาการ" "เอ็นจีโอ" "สื่อมวลชน" บางส่วนบางองค์กร กลับสนับสนุนวิธีการแบบอำนาจนิยม ซึ่งเป็นการทำลายการพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าขึ้นอีกรูปแบบหนึ่งด้วยเช่น กัน
นอกจากนี้แล้วท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประชาชนคนเสื้อแดงผู้รักในระบอบ ประชาธิปไตยกับผู้ได้อำนาจจากระบอบอำมาตยาธิปไตย รัฐบาลอภิสิทธิ์หุ่นเชิดของระบอบอำมาตย์ยังใช้กลยุทธ์ให้เครือข่ายอำมาตย์ ของพวกเขาดำเนินการปฏิบัติการณ์ “ปฏิรูปประเทศไทย” โดยมีอานันท์ ปันยารชุณ และประเวศ วะสี เป็นผู้นำ และใช้กลไกเครือข่ายขุนนางเอ็นจีโอ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐอำมาตย์อภิสิทธิ์ชน และเบี่ยงเบนประเด็นการถามหา “ใครฆ่าประชาชน ? ใครสั่งฆ่าประชาชน ? ใครต้องรับผิดชอบ? ใครต้องถูกลงโทษ ?” จากประชาชนคนเสื้อแดง หรือเป็น การปฏิรูปบนกองศพของวีรชนไพร่แดง นั่นเอง
กล่าวได้ว่า ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนนั้น ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรี สิทธิความเป็นมนุษย์ เพื่อต้องสร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในสังคม ที่สำคัญแยกไม่ออกจากการที่สังคมการเมืองต้องมีพื้นที่ประชาธิปไตยมิใช่ เผด็จการอำมาตยาธิปไตยหรืออำนาจนิยม ดังนั้น ผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประชาชนตรวจสอบถ่วงดุลย์ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีส่วนร่วมด้านต่างๆ และวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครองได้
ที่สำคัญ การแก้ไขปัญหาด้านสิทธิ์มนุษยชนในสถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบันนั้น รัฐต้องดำเนินการปล่อยนักโทษการเมืองโดยเร่งด่วน เนื่องจากพวกเขามิใช่อาชญากรแต่อย่างใด พวกเขาเป็นเพียงผู้มีความคิดเห็นต่างจากรัฐบาลเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย
รัฐต้องยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน ยุติการปิดกั้นสื่อ หยุดข่มขู่คุกคามประชาชน คืนเสรีภาพให้สื่อ ให้ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐได้ ตลอดทั้งยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฯ ซึ่งความต่างทางความคิดย่อมเป็นเรื่องทีสร้างสรรค์ในสังคมประชาธิปไตย ไม่เหมือนกับระบอบอำนาจนิยมเผด็จการที่ผู้ปกครองเท่านั้นผูกขาดความคิดเห็น
นอกจากนี้แล้ว ต้องร่วมมือกันผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยใช้กระบวนการร่างเช่นเดียวกับกระบวนการร่างรัฐะรรนูญรัฐธรรมนูญ 40 โดยมีเป้าหมาย เพื่อ "หยุดอำนาจระบอบอำมาตยาธิปไตย สร้างอำนาจระบอบประชาธิปไตย" ซึ่งจะนำสู่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ความไม่เสมอภาคในทุกด้านของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน ต้องผลักดันให้มีการดำเนินการปฏิรูปกองทัพ เพื่อไม่ให้กองทัพแทรกแซงทางการเมือง เพื่อไม่ให้กองทัพกระทำรัฐประหาร กองทัพจึงต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตย และกระบวนการพัฒนากองทัพต้องมีการจัดสรรอำนาจและบังคับบัญชาที่เป็น ประชาธิปไตย เหมือนอารยะประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ตลอดทั้งไม่ให้องคมนตรีแทรกแซงการเมืองด้วยเช่นกัน
ด้านกระบวนการยุติธรรมต้องมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กฎหมายต้องมีความเป็นธรรม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายต้องไม่มีสองมาตรฐาน หรือนิติรัฐต้องมีนิติธรรมอยู่ในตัวมันเอง ตลอดทั้งต้องมีการใช้ระบบลูกขุน เหมือนอารยประเทศ และเพื่อไม่ให้ศาลผูกขาดอำนาจอย่างที่เป็นอยู่
ท้ายสุด นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องไม่กระทำการบิดเบี้ยวบิดเบือนหรือหาเหตุไม่ยุบสภาโดย ไม่ยอมคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน เพื่อแก้ไขรากเหง้าปัญหาความขัดแย้งทั้งปวง เพื่อเคารพสิทธิ์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนเท่าเทียมกันในการเลือก ผู้ปกครองผู้บริหารประเทศตามหลักการประชาธิปไตยระบอบรัฐสภา ซึ่งทุกคนมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเหมือนกันไม่ว่าคนจนหรือคนรวย ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าคนพิการหรือคนไม่พิการ ไม่ว่าผู้ดีหรือไพร่ ฯลฯ และระบอบประชาธิปไตยรัฐสภานั้น ก็มีวาระในการเลือกตั้งที่แน่นอน การยุบสภาจึงเป็นหนทางนำสังคมไทยสู่ความปรองดองที่แท้จริงได้ ตลอดทั้งรัฐประหาร หรือการเสนอให้มีรัฐบาลแห่งชาติ ก็มิใช่ทางออกที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย
และพรรคการเมืองไหนมีเสียงข้างมาก ย่อมมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล โดยที่ทหารอำนาจนอกระบบต้องไม่แทรกแซงเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ปล่อยนักโทษการเมือง หยุดกระบวนการรัฐประหาร
จงคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน คืนความเป็นคนให้เท่าเทียมกัน เสียที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น