ข่าวคราวของเสื้อแดง ที่ออกมาเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ มันเหมือนบั่นทอนจิตใจกันเหลือเกิน
ยิ่งนับวัน พวกเราก็ดู เหมือนไม่ใช่ญาติ เหมือนไม่ใช่มิตร เหมือนไม่ใช่เพื่อนที่เคยร่วมอุดมการณ์กันมา แบ่งเป็นก๊ก เป็นเหล่า แบ่งพรรคแบ่งพวกเหมือนจะ แย่งชิงอะไรบางอย่างกันอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นเราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
“อีโก้” ที่แต่ละคนได้สร้างกันมาสะสมกันมา
เมื่อถึงเวลาก็เอาอีโก้นั้นมาเป็น “แบรนด์” ให้กับตนเอง สร้างมวลชนให้กับตัวเอง พยายามแบ่งก๊กแตกแยกออกไป หรือ ตั้งตนเองเป็นผู้นำก๊กซะเองเลย
เราจึงได้เห็นความแตกแยกมากขึ้น เมื่อมีการกล่าวร้ายกล่าวหากันเอง ทั้งที่ในอดีตทุกคนก็เคยร่วมสู้กันมาแล้วทั้งนั้น
เรื่องที่เอามากล่าวคงหนีไม่พ้นอยู่สองเรื่อง
1. เรื่องเงิน อันนี้มากที่สุดแฉกันได้ตลอด
2. แนวทางการต่อสู้ อันนี้ก็ไม่วายที่จะต้องโจมตีอีกก๊กหนึ่งที่มีความเห็นต่าง แล้วก็โยงไปโจมตีเรื่องส่วนตัวกัน กล่าวหากันเองให้อีกคนหนึ่งกลายเป็นคนเลว คนไม่ดี ไปให้ได้
คนฟัง คนสนับสนุน ก็เลือกที่จะเชื่อ อีกต่างหาก เพราะทุกก๊กล้วนมีเหตุผลของตนเองทั้งสิ้น
ผมในฐานะที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อ่านอย่าง มีสติ ฟังอย่างมีเหตุผล ไม่พยายามเข้าไปเสนอความคิดเห็นในกระทู้ต่างๆที่เริ่มมีการขัดแย้งกันเกิด ขึ้นและมากขึ้นทุกวันจากการนำมาโพสต์โจมตีกันเองในเวบไซด์
ผมมักจะตั้งคำถามให้ตัวเองเสมอ และพยายามหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา และไม่พยายามข้ามความคิดคนอื่น อ่านอย่างตั้งใจและใช้เวลาในการอ่านนานมาก ทั้งนี้เพื่อให้ถึงแก่นแท้ของผู้ที่มีเจตนาเขียน ว่าเขาต้องการที่จะสื่ออะไรกันแน่
แล้วผมก็ตั้งคำถามให้กับตนเองขึ้นมาในใจ
1.ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าถูกหรือผิด
ถามว่า แท้จริงเรามีความสามารถสูงพอที่จะสู้กับพวกอำนาจเถื่อนพวกนั้นได้หรือไม่?
2.แล้วถ้าเราแตกแยกกันแบบนี้ขึ้นมาอีก เราจะเอาอะไรไปสู้กับอำนาจเถื่อนนั้นๆ
3.แต่ละคนที่สร้างผลงานให้กับตัวเองทั้งภาคสนามและในเว็บไซด์ มีแฟนคลับมากมาย เมื่อเวลาต้องออกไปต่อสู้จริงเขาเก่งจริงหรือ? เขาสามารถจะเป็นผู้นำได้จริงหรือ?
4. คนอื่นที่เขามีความสามารถน้อยกว่า ทั้งในด้านการวางแผน แนวคิด การถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูด หรือกระทั้งการเขียน เพื่อนๆพวกนี้มีความสำคัญน้อยกว่าหรือไม่ และพวกเขาจะอยู่ส่วนไหนของการต่อสู้?
เมื่อผมตั้งคำถามไว้ในใจทั้งหมด ผมก็เริ่มหาคำตอบให้กับตัวเอง
จนได้คำตอบที่ชัดเจนแบบนี้ครับ
1.ที่ผ่านมา เราจะสู้แบบไหน ใครจะนำ เราก็พ่ายแพ้ทั้งนั้น
แต่..การพ่ายแพ้ที่ผ่านมา มันได้อะไรมามากมายในการต่อสู้ครั้งนั้น มากกว่าการต่อสู้ครั้งไหนๆที่เคยผ่านมาในอดีตไม่ว่าจะเป็น14ตค.16 6ตค.19 หรือ 17พค.35
ซึ่งล้วนให้เราได้กระชากหน้ากากของผู้ที่อยู่หลังม่านออกมาให้คนทั้งโลกได้ เห็นกันชัดๆ ว่าใครกันแน่ อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดทั้งในอดีตและปัจจุบัน
การต่อสู้ในครั้งต่อไปเป้าประสงค์หลักจึงได้ถึงแก่นของปัญหา...ว่า
เราสู้อยู่กับใครกันแน่
สู้แบบไหนจึงจะพ้นภัย
สู้แบบขอไปทีแบบในอดีตคงจะพอกันที การเสียชีวิตของวีรชนในครั้งนี้ต้องได้ผลที่คุ้มค้าจริงๆ ถ้าเปรียบเทียบกับต่างประเทศในอดีต ถือว่าน้อยมาก การเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง การสูญเสียชีวิตของผู้คนเป็นหลักหมื่นหลักแสนทั้งนั้น บางแห่งเป็นหลักล้านเลยก็มี
2.ถ้าเราแตกแยกกันแบบนี้ แท้จริงมันก็คือแนวทางการต่อสู้อีกแบบหนึ่ง ตามหลักยุทธศาสตร์เหมือนกัน แยกกันเดินแยกกันตี ต่างคนต่างอิสระในการทำงาน
แต่..ถ้ามีจุดหมายอันเดียวกัน ปลายทางเดียวกัน เมื่อถึงเวลาก็สามารถร่วมกันได้ ผมตรองดูแล้วไม่น่ามีผลเสียแต่อย่างได เพราะที่ผ่านมา เราก็เห็นกันชัดๆ สองแนวทางต่อสู้ร่วมกันได้แน่นอน อาจจะขัดแย้งกันบ้าง แต่สุดท้าย มันก็คือน้ำในบ่อเดียวกันทั้งหมด ทั้งน้ำดำน้ำแดงมันผสมอยู่ในบ่อเดียวกันนั้นเอง
3.การเป็นผู้นำกลุ่ม ถ้าไม่ทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่ดีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ข้อสำคัญอย่าหักหลังอุดมการณ์ เพราะนั่นเท่ากับคุณได้หักหลัง ทรยศต่อประประชาชน ลดทิฐิลงมาบ้าง มองเป้าหมายหลักให้มากกว่าเรื่องส่วนตัว ยอมรับในความคิดเห็นคนอื่นบ้างอย่างจริงใจ แค่นั้นก็เป็นประโยชน์มากกว่าเป็นโทษไปแล้ว
4. ต้องถือเสียว่าทุกคนคือหนึ่งไม่มีใครเก่งกว่าใคร ทั้งด้านมันสมองและการทำงานภาคสนาม ทุกคนเท่ากันหมด อย่าลืมว่าเราต้องการทุกคนเพื่อมาร่วมด้วยจริงๆ ตะเกียบอันเดียวหักง่าย สองอันรวมกันก็หักยากขึ้นแต่ถ้านำมารวมกันหลายๆอันมันยิ่งยากมากขึ้น ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น
ไม่ใช่เอาแต่ วางแผนอย่างเดียว การเป็นผู้นำคนต้องมีศิลปะหลายอย่าง คนไหนมีความสามารถมากกว่าเราต้องยอมรับในช่วงการต่อสู้นั้น
แต่..ในทางปฏิบัติงานต้องเป็นเอกภาพ ฟังคำสั่งที่ลงมติเห็นชอบแล้ว
แม้แค่คนๆเดียวที่ไม่ชอบเรา ก็จงอย่าทำลายน้ำใจของคนๆนั้น ด้วยทิฐิของตนเอง การชนะศัตรูด้วยการให้โอกาสให้อภัยถือว่าเป็นศิลปะชั้นสูงในการปกครองคน และเมื่อศัตรูกลับมาเป็นมิตร จะมี่ค่ามากกว่ามิตรที่เรายังไม่รู้ใจ
เมื่อได้คำตอบทั้งหมดในใจแล้ว ก็มีคำถามอยู่ในใจเพิ่มขึ้นมาอีก
แล้วในขณะนี้จะปล่อยไปแบบนี้หรือ ควรมีใครหรือผู้ไดมาออกความเห็นบ้างจะดีหรือไม่
ผมรู้ตัวเองดี ผมไม่มีความสามารถพอที่จะบอกกับใครๆได้ ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่าง
แต่..ในความคิดของคนที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ผมก็แค่ คนๆเดียว ในความคิดที่ร่วมกับคนเสื้อแดงมายาวนานก่อนจะเป็นเสื้อแดงซะอีก
ถ้าจะออกความเห็นบ้างในฐานะ 1 เสียงของคนเสื้อแดงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ในแนวทางที่เราต่อสู้เรียกร้องกันอยู่แล้วคือ 1สิทธิ์ 1 เสียง
เสียง1เสียงนี้ อยากจะบอกว่า
1.ท่านโกรธกันเราไม่ว่า ท่านเถียงกันด้วยเหตุผลกันเราไม่ว่า เพียงแต่จะขอว่า อย่ามาใส่ร้ายกันเอง ในที่สาธารณะเช่นนี้
2. เราพวกเรากันเอง หยุดคำพูดที่เสียดสีถากถางกันทั้งหมด โดยเฉพาะกล่าวชื่อหรือตั้งกระทู้ในเวบไซด์ต่าง เพื่อมาดีสเครดิตกันเอง จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะกระทำ เปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น
3.ลดทิฐิตนเองลงซักเล็กน้อย มองเพื่อนคือเพื่อน
4.มองข้ามในสิ่งที่เราไม่ชอบไปเสียบ้าง เช่นการเขียนความคิดเห็นในกระทู้อะไรที่ไม่ถูกใจ ควรทำใจซะก่อนที่จะตอบ อ่านความเห็นและมองถึงเป้าหมายของผู้ที่นำเสนอจะดีกว่า
5.ข้อสำคัญที่สุด มนุษย์ร้อยคนก็ร้อยความคิด การที่มีอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการนำเสนอของอีกคนหนึ่ง ชัดๆเช่น อ.สุรชัย กับ อ.ธิดาที่ต่างมีแนวคิดต่างกันชัดเจน เราแค่ผู้รับฟังเราจะเชื่อใครก็ไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายทุกแนวทางมันก็มาลงอยู่ที่ขับไล่เผด็จการทั้งนั้น
แต่..ที่จะบอกก็คือ อย่าไปขัดกันเอง ทะเลาะกันเองในแค่เงื่อนไขการนำเสนอ ในทฤษฎีเท่านั้น ทั้งที่ปฏิบัติจริงยังไม่ได้เริ่มลงมือเลย
และผมเชื่อว่า สุดท้ายคนเสื้อแดงที่แยกกันเชียร์อยู่นี้ก็ต้องร่วมกันอยู่ดี เมื่อวันที่ศึกใหญ่มาถึง
สิ่งที่ผมนำเสนอในกระทู้นี้ แน่นอนว่ามีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมากมาย
ใครใคร่ปฏิบัติหรือไม่ ไม่สำคัญครับ
ผมเพียงแต่ทำหน้าที่ของผมในหนึ่งเสียงของคนเสื้อแดงเท่านั้น
และหวังว่ากระทู้นี้อาจจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อยครับ
ปีใหม่ที่จะถึงนี้ เราพวกเราทุกคน คงจะได้รับข่าวดีกันถ้วนหน้านะครับ
ด้วยความเคารพในวิญญาณผู้ที่เสียสละให้กับพวกเราทุกท่านทุกนามครับ
หมายแหตุ:ในกระทู้นี้ท่าน “Jedi”ได้ให้เกียรติ ให้เสียงประกอบเนื้อหาในกระทู้ด้วย
ต้องขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูงด้วยครับ
http://www.mediafire.com/?pv3knwdnhwksvht
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น