อลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ให้เวลา-อย่าเซ็ง
โดย กาหลิบ
พรรค พวกเล่าว่าขณะนี้พี่น้องเสื้อแดงเป็นจำนวนมากกำลังรู้สึก “เซ็ง” กับวิธีการและบรรยากาศการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งความไม่ชัดเจนของแนวทางการต่อสู้ หรือความรู้สึกว่าได้เกิดการสมานฉันท์อย่างเสียเกียรติขึ้น
ถึง ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยจะหันหลังกลับในทาง อุดมการณ์ เพราะแนวคิดไปไกลเกินกว่าลมจะหวน แต่เราก็ควรถนอมน้ำใจกันเองด้วยการวิเคราะห์ว่าบรรยากาศเช่นนี้แปลว่าอะไร และน่าจะนำไปสู่อะไร อย่างน้อยก็คงลดปริมาณความรู้สึกเซ็งลงบ้าง
ใคร ก็ตาม หากมองสถานการณ์ไทยทั้งภาพและตั้งทัศนะในระดับระบอบแล้ว จะเข้าใจทีเดียวว่ามันต้องเป็นเช่นนี้เอง เป้าต่อสู้ของพวกเราเริ่มจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์ ผู้พิพากษาและสิ่งที่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรม กองทัพ ไปจนถึงองคมนตรีและทำท่าจะขยายผลต่อ
กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่การอภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา
บางคนเห็นไปว่าขณะนี้กลับยิ่งใหญ่กว่า ๒๔๗๕ ในแง่ที่ว่ามวลมหาประชาชนเข้าร่วมขบวนด้วยอย่างกล้าหาญมุ่งมั่น
เรื่อง ใครยิ่งใหญ่กว่าใครนี้ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เอาอย่างหมอเหล็ง ศรีจันทร์ผู้รวมกลุ่มขึ้นมาเรียกร้องและแสวงหาประชาธิปไตยจนถูกจำคุกและ เกือบถูกประหารชีวิตในเหตุการณ์ที่ฝ่ายผู้ชนะเขาจิกเรียกว่า “กบฎ ร.ศ. ๑๓๐” ดีกว่า ท่านเดินทางมาแสดงความยินดีกับพระยาพหลพลพยุหเสนาเมื่อการอภิวัฒน์ประสบผล สำเร็จ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมและแสดงความชื่นชมอย่างสูง
เจ้าคุณพหลฯ ท่านกลับตอบถ้อยคำอันเป็นปิยวาจานั้นว่า “ถ้าไม่มีคณะของคุณ ก็คงไม่มีคณะของผม”
ขบวน ประชาธิปไตยไม่เคยแข่งขันกันในความยิ่งใหญ่ โด่งดังหรือแสวงหาผลประโยชน์ ทุกชิ้นของทุกคนที่ได้เคลื่อนไหวโดยบริสุทธิ์ย่อมเป็นส่วนหนึ่งที่มีความ สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการก่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในภาพใหญ่
เมื่อ เราสู้กันมาถึงระดับนี้ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้นำ แกนนำ และมวลชนที่ร่วมสู้จะตระหนักถึงความจริงอันยากลำบากว่า ขณะนี้เราดั้นด้นกันมาจนถึงภูผาแล้ว สงครามแท้จริงไม่ได้อยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่อยู่ในก้าวย่างจากนี้ไปจนถึงที่สุด
เวลา นี้คือจังหวะที่ยากลำบากที่สุดของการต่อสู้ โดยเฉพาะในการรวบรวมความกล้าหาญเพื่อประกาศต่อประเทศชาติและประชาคมโลกว่า เรากำลังต่อสู้กับสิ่งใด กับใคร
และข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองโดยมีนัยยะสำคัญนั้นคืออะไร
ไม่ว่าใครมาถึงขั้นนี้ ก็ต้องไตร่ตรองด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ละเว้นการใช้อารมณ์ความรู้สึกให้ได้มากที่สุดเพื่อถามตัวเองเสียให้ชัด
ระบอบ เผด็จการไม่ต้องเสียเวลาถามตัวเอง เพราะเขาใช้ระบบควบคุมบังคับและใช้อำนาจเพื่อให้บรรลุผลความต้องการของเขา แต่ผู้ร่วมก่อสร้างระบอบประชาธิปไตยไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะเราจะไม่เอาเผด็จการใหม่ไปแทนเผด็จการเก่า แต่ต้องการสังคมใหม่ที่ยอมรับนับถือในความเป็นมนุษย์มากขึ้น ถึงจะยุ่งยากและเสียเปรียบเผด็จการในระยะต้นบ้างก็ตามที
ความ เห็นที่แตกต่างในขบวนประชาธิปไตยขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น นปช.แดงทั้งแผ่นดิน คุณทักษิณฯ พรรคเพื่อไทย นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตย แดงสยาม และอื่นๆ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตั้งคำถามและหาคำตอบในเวลาที่สำคัญนี้ทั้ง สิ้น
เราต้องยอมอดทนและให้เวลากับการปรับเปลี่ยนตามธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
อย่า กลัวว่าจะแพ้ แนวทางของใครที่ไม่ใช่ เขาจะปลีกตัวหรือผละออกจากขบวนไปเรื่อยๆ ผู้ที่มุ่งมั่นในการต่อสู้อันแท้จริงก็จะรวมกลุ่มกันใหม่และแน่นขึ้นเรื่อยๆ (regrouping) เพื่อเดินให้กระชับและมุ่งตรงไปสู่ผลในที่สุด
คิดเร็วเดินเร็วโดยปราศจากความถ่องแท้เสียอีก จะนำผลร้ายมาสู่ขบวนของเราได้
โปรดอย่าเซ็งและมาใช้เวลานี้ให้สมค่าด้วยหัวใจอันปีติเถิดครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น