คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ยกเลิกฉุกเฉิน
โดย กาหลิบ
คำ ประกาศยกเลิกอำนาจพิเศษซึ่งเป็นอำนาจเผด็จการตามพระราชบัญญัติและพระราช กำหนดสองฉบับรวมกันที่จะเกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยควรพิจารณาให้รอบคอบและมองในครบทุกมุม อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าเงื่อนไขทางการเมืองดีขึ้นแล้วสำหรับเรา ควรคิดเสมอว่า มีหลุมพรางอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง
พูดเช่นนี้ก็มิใช่ว่ามองโลกในแง่ร้ายหรือคิดขัดความสำราญของคนที่จะลงเลือกตั้งหรือผู้ลี้ภัยที่อยากจะกลับบ้านเต็มทน
แต่เป็นเพราะภาพรวมการเมืองบ่งบอกว่าสถานการณ์ของประเทศกำลังเลวร้ายลง ไม่ใช่ดีขึ้น
ผู้ ที่มีพรรษาทางการเมืองแนะนำมาว่า ข่าวดีข่าวเดียวท่ามกลางข่าวร้ายเป็นสิบๆ เรื่อง มีแนวโน้มว่าจะเป็นเล่ห์กลของฝ่ายตรงข้ามมากกว่านะโยม
ลองพิจารณาดูภาพใหญ่ที่สุดเสียก่อน
ระบอบ ปัจจุบันตระหนักแล้วว่าตนกำลังมีปัญหาใหญ่หลวง เท่าที่ผ่านมาได้ใช้เครื่องมือประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองมาแล้วทุก ชนิดและใช้หลายครั้ง จนหมดบัดนี้คลังแสง ได้ลากเกมยาวหวังเอาเวลาช่วยทำลายฝ่ายประชาธิปไตยมานานหลายปีแล้ว นอกจากจะไม่ลดลงแล้วยังขยายขบวนการทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ จนสุดท้ายเอาตัวเองออกมาหาเสียงแล้วก็ยังยักแย่ยักยันจนต้องนั่งคิดแล้วคิด อีกว่าได้คุ้มเสียหรือไม่ เพราะผลชี้ว่า คนที่รักมีน้อยลง และคนที่เกลียด หรืออย่างน้อยคือคนไม่ได้คิดสรรเสริญเยินยอใดๆ กับตน กลับมีมากขึ้นและกล้าแสดงตัวชัดเจนขึ้น หากนี่คือเคราะห์กรรมของคนธรรมดาสามัญ ก็คงเริ่มยอมรับสัจธรรมและปรับตัวเอง
แต่ เขาคือมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ห่อหุ้มตัวเองอยู่ในความหลงอันสาหัส เป็นอัตตาขั้นสูงที่ห่างไกลธรรมะจนเอื้อมกันไม่ถึง ปัญญาที่จะเข้าใจในอวสานของตนเองจึงมีน้อยหรือไม่มี
ในภาวะเช่นนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ รวมทั้งการปะทะที่ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของมวลชนอีกหลายระลอกและการรัฐ ประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน
การยกเลิกอำนาจ เผด็จการพิเศษรอบนี้ จึงเป็นเพียงการเปลี่ยนยุทธวิธีไล่ล่าฝ่ายประชาชนให้หนักขึ้น โดยมีความอยู่รอดของระบอบโบราณเป็นเดิมพัน
เขายกเลิกทหารบนดินเพื่อ จะเอาทหารลงใต้ดิน ไม่ต่างอะไรจากหวย ภายใต้ความมืดมัวทางปัญญาของคนอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดาว์พงศ์ รัตนสุวรรณ และขี้ข้านายอื่นๆ ผู้มีความหวังอันเรืองรองคือ ฟื้นฟูระบบผูกขาดอำนาจทางการเมืองโดยกองทัพ และอ้างสถาบันเป็นเป้าหมายสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับฝ่ายตน
สมประโยชน์กันทั้งสองชนชั้น
เพราะ ฉะนั้น ใครที่ชอบชี้ว่าระบอบอำมาตย์ครองอำนาจในเมืองไทยโดยผู้อยู่เหนือขึ้นไปไม่ รู้เรื่องนั้น หากผู้พูดไม่ได้หลงทางอยู่ในที่มืด ก็ต้องตีความว่าพูดเพื่อลวงมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยให้ไขว้เขว และควรที่มวลชนจะช่วยกันเตือนให้หยุดพูด
มองเล็กลงมาอีกหน่อย เราก็ได้เห็นว่าเงื่อนไขที่ช่วยกันก่อให้บ้านเมืองใกล้จะเกิดรัฐประหารรอบ ต่อไปนั้น ก็มีมากขึ้นเป็นรายวัน เราได้เห็นความพร้อมของกองทัพ ความเคลื่อนไหวที่ขยับแล้วขยับอีกของฝ่ายสีเหลืองที่เรียกตัวเองว่า พันธมิตรฯ การแสดงละครเรื่อง “สองมาตรฐาน” โดยคณะผู้ถืออำนาจตุลาการที่เล่นแล้วเล่นอีกโดยไม่สนใจว่าคนดูจะสนใจหรือ กำลังจะลุกฮือขึ้นพังโรงละคร และเราก็รู้ด้วยว่ากลุ่มเล็กๆ ที่แอบไปเจรจาความกันมานั้น กลับมาบ้านด้วยมือเปล่าเสียยิ่งกว่าก่อนไป
เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเรื่องปูทางไว้รอเวลาทั้งสิ้น
การ ยกเลิกอำนาจพิเศษในสภาพการณ์เยี่ยงนี้ น่าเชื่อได้ว่าเป็นการใช้นโยบาย “ดอกไม้บานร้อยดอก” เหมือนที่ประธานเหมาฯ ของจีนเคยประกาศให้คนวิจารณ์ตัวท่านและพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ท้ายที่สุดก็จับตัวมาฆ่าและทรมานเสียจนดอกไม้ยับเยินหรือร่วงโรยไปทุกดอก
หาก ฝ่ายประชาธิปไตยเผลอตัวเพียงน้อยนิด คิดว่าสภาพการณ์โน้มมาทางเรามากขึ้น โอกาสที่จะตกหลุมที่เขาขุดดักและอำพรางไว้จะมีมากเหลือเกิน
โปรดพิจารณาให้ดี.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น