คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ส่งคนไปตาย
โดย กาหลิบ
นอก จากจะรับคำสั่งเบื้องบน (แต่ใจต่ำช้า) มาฆ่ามวลชนเสื้อแดงที่ชุมนุมโดยสงบและสันติเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อย่างเลือดเย็นแล้ว ชาวประชาธิปไตยควรรู้ด้วยว่ารัฐบาลหุ่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะยังเปื้อนเลือดชนิดชุ่มโชกอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้
แม้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่ใช่คนไทย แต่เขาก็คือเพื่อนมนุษย์ที่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดียวกับเราทั้งหลาย
เมื่อ วันคริสต์มาส พ.ศ.๒๕๕๓ หรือเมื่อไม่กี่วันมานี้ รัฐบาลปิศาจของไทยได้บีบบังคับให้ผู้อพยพชาวเมียนมาร์จำนวน ๑๖๖ คนให้เดินทางระหกระเหินกลับเข้าสู่ดินแดนเมียนมาร์ในขณะที่การสู้รบอัน รุนแรงระหว่างกองทัพเมียนมาร์และชนกลุ่มน้อยกำลังดำเนินอยู่ โดยไม่มีทั้งเสบียงและอาวุธใดๆ ที่จะใช้ป้องกันตัวเองในยามคับขัน ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยแถลงข่าวฉอเลาะกับโลกว่าไทยไม่มีนโยบาย บังคับขับไสผู้อพยพออกจากประเทศใดๆ เพราะไทยเคารพในกรอบนโยบายมนุษยธรรมสากลอย่างยิ่ง
เพื่อนมนุษย์ผู้ ร่วมทุกข์เหล่านี้คือชนกลุ่มน้อยที่รัฐบาลเมียนมาร์ไม่ต้องการ เมื่อบุกเข้าปะทะกับกองกำลังของชนกลุ่มน้อยครั้งใดและไม่ว่ากับกลุ่มใด ทหารเมียนมาร์ก็จะถือโอกาสผลักดันชาวบ้านกลุ่มน้อยที่มิใช่ทหารออกจาก พื้นที่ด้วยเสมอ หากไม่ไปหรืออิดออด ก็มักจะถูกกระสุนตะกั่วกลิ้งอยู่ที่เก่า
นโยบายรัฐบาลศักดินา-อำมา ตยาธิปไตยที่ใช้กำลังผลักดันคนเหล่านี้กลับ โดยที่สถานการณ์ก็มิได้ดีขึ้นเลยเช่นนี้ จึงเท่ากับส่งเขาไปตาย ไม่ต่างอะไรจากคำสั่งประหารชีวิตคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
ยิ่ง ในจำนวน ๑๖๖ คนปรากฏว่า ๑๒๐ คนเป็นผู้หญิงและเด็ก ก็ยิ่งทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้นว่า จิตใจไทยที่ประกอบด้วยความเมตตาและกรุณาเป็นพื้น ซึ่งเราเคยภาคภูมิใจกันนัก มันได้หายสาบสูญไปกับความโหดร้ายของเจ้าของประเทศผู้เข่นฆ่าประชาชนของตัว เองแล้วหรือ?
การจงใจส่งคนเหล่านี้กลับไปสู่ชะตากรรมและความตายในวัน คริสต์มาส ทำให้เห็นเจตนาที่ดำมืดยิ่งไปกว่านั้นอีก เขารู้ว่าวันคริสมาสต์มาสของแต่ละปีนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวของรัฐบาลตะวันตก และสื่อมวลชนทั่วโลก โอกาสจะโด่งดังเป็นข่าวมีน้อย เขาเลือกเอาวันนั้นเป็นวันประกอบกรรมชั่วครั้งใหญ่เพราะเขารู้ดีว่า อาชญากรรมเยี่ยงนี้จะต้องทำอย่างเงียบเชียบและลับตาคนที่สุด
นายเบ็น จามิน ซาแวคกี้ ผู้ติดตามข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมืองไทยมานานปี เขียนชี้ประเด็นที่น่าสนใจเพิ่มเติมด้วยว่ารัฐบาลไทยชุดนี้มีพฤติกรรมเช่น นี้มาตลอด เมื่อวันคริสต์มาสของปี พ.ศ.๒๕๕๒ ก็ได้ผลักดันชาวม้งลาวเป็นจำนวนถึง ๔,๕๐๐ คนกลับประเทศ ซึ่งแน่ใจได้ว่าคนเหล่านี้ถ้าไม่ถูกฆ่าก็ถูกจับ โดยที่ในจำนวนนี้ยังเป็นผู้อพยพขึ้นทะเบียนเตรียมไปประเทศที่ ๓ แล้วถึง ๑๕๘ คน
แปลว่านโยบายกระทำทารุณต่อเพื่อนบ้านรอบไทยได้กลายเป็นเรื่องถาวรและกระทำอย่างต่อเนื่องมาแล้วทุกปีและมีแนวโน้มว่าจะดำเนินต่อไป
องค์กรระหว่างประเทศทั้งในกรอบสหประชาชาติและที่มิใช่รัฐจะออกมาประณามหยามเหยียดอย่างไรก็เป็นเรื่องที่เขาจะต้องดำเนินการในวันหน้า
แต่ข้อคิดสำคัญต่อคนไทยโดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้คือ เรากำลังอยู่กับระบอบการปกครองชนิดไหน?
คน ไทยไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไม่ว่าเป็นเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย หรือเวียดนาม การไปมาหาสู่และคบค้าก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องกว้างขวาง แต่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากลับบอกเราว่า ผู้ปกครองไทยกลับเลือกที่จะมองโลกแตกต่างจากคนไทยและเห็นเพื่อนบ้านเป็น ศัตรูคู่แข่งอยู่ตลอดเวลา จนถึงขนาดกดดันให้ส่งผู้บริสุทธิ์ที่เขามาขอพึ่งพาอาศัยกลับไปสู่ความตายได้
ระบอบไทยปัจจุบันจึงมิใช่มนุษย์ แต่เป็นระบอบยักษ์ระบอบมารที่กินเลือดคนเป็นภักษาหาร
การ ยิงศีรษะและหน้าอกของพี่น้องชาวไทยกลางราชประสงค์และภายในเขตอภัยทานวัดปทุม วนารามจึงเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ของเขาคนนี้เท่า นั้น
ซึ่งมิใช่ครั้งแรกและยังมิใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น