คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เสพติด
โดย กาหลิบ
ข่าว ที่ศาลไม่ยอมตามความต้องการของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ในการถอนประกัน คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตัวคุณจตุพรฯ ที่รอดคุกไปได้อีกมื้อหนึ่ง แต่อารมณ์เดียวกันนี้เอง ได้แสดงความจริงอย่างหนึ่งว่า มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยก็ยังผูกติดอยู่กับอะไรบางอย่างในระบอบไทยเดิม หรือระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตย อยู่เป็นอันมาก จนอาจขัดขวางเป้าหมายใหญ่ของขบวนเราได้
สิ่ง ที่ผูกติดอย่างไม่ยอมปล่อยนั้นคือ ความเชื่อลึกๆ ว่า ศาลยังคงเป็นศาล ผู้พิพากษายังคงเป็นผู้พิพากษา กฎหมายทุกระดับยังคงเป็นกฎหมาย ทั้งที่ฝ่ายประชาธิปไตยถูกโค่นอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในช่วงปีหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็ด้วยอำนาจศาล หรือที่เรียกกันเองว่าตุลาการวิบัตินี่เอง
ไม่ เฉพาะสัญลักษณ์ใหญ่อย่างคุณทักษิณฯ และครอบครัวเท่านั้นที่ถูก “ฆ่า” ด้วยกระบวนการทางกฎหมายของศาลไทย ยังมีพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน นายกรัฐมนตรีผู้ชอบธรรมอย่างคุณสมัคร สุนทรเวช และคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปจนถึงมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยนับไม่ถ้วนที่กำลังถูกล่า ถูกจับ และถูกละเมิดสิทธิของความเป็นคนด้วยวิธีการต่างๆ จนท้ายที่สุด ก็กลายเป็นข้อสรุปไปแล้วทั่วโลกว่าในเมืองไทยทุกวันนี้หามีกฎหมายและความ เป็นธรรมทางสังคมไม่
ใคร ที่คอยลุ้นอยู่ตลอดว่าคดีนั้นคดีนี้ออกหัวออกก้อยอย่างไร จนถึงลุ้นว่าคุณจตุพรฯ จะสูญเสียอิสรภาพไปอีกคนหนึ่งในคราวที่ผ่านมานี้หรือไม่ ลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้วหรือ?
หาก จำได้ ก็ไม่น่าจะเสียเวลาในชีวิตเพื่อลุ้นระทึกในสิ่งเหล่านี้เลย เพราะการรอดคุกหรือคดีที่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็ตามนั้น ย่อมมีเหตุผลการเมืองอยู่เบื้องหลัง ใครจะไปรู้ว่าเขา “ปล่อย” คุณจตุพรฯ ในคราวนี้เพราะเหตุใด อาจเป็นเพราะกลัวคนเสื้อแดงที่รักคุณจตุพรฯ จะลุกฮือ อาจเป็นเพราะไม่อยากเปิดประเด็นใหม่ในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะเชื่อว่าคุณจตุพรฯ ไม่ได้คิดล้มเจ้าแต่จะล้มนายอภิสิทธิ์ฯ กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์สองคนเท่านั้่น หรืออาจจะเป็นเหตุผลกลใดที่เราหยั่งไม่ถึงอีกมาก
สิ่ง เดียวเท่านั้นที่อ้างไม่ได้คือการตัดสินใจคดีคุณจตุพรฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีความมากมายในระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องของกฎหมายแท้ๆ
ใคร อ้างอย่างนี้ได้อย่างหน้าชื่น ก็เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งและผสมพันธุ์รัฐบาลกับใครก็ได้ รวมทั้งกับประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณไม่มีทัศนะเรื่องระบอบและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ใหญ่ในหัวคิด อย่าไปดัดจริตต่อสู้กับรัฐบาลนี้เลย
หาก ยอมรับระบอบใหญ่ว่ายังศักดิ์สิทธิ์ น่าเชื่อถือและพึ่งพาได้ ก็เท่ากับยอมรับเจ้าของระบอบนี้เป็นนายใหญ่ของชีวิตต่อไป เมื่อยอมรับนายของเขาแล้ว จะไปทะเลาะเบาะแว้งกับสุนัขในสังกัดอย่างนายอภิสิทธิ์ฯ หรือนายธาริตฯ ทำไมให้อายหมา?
ทั้ง หมดนี้ไม่ได้หมายความว่า เมื่อพวกเราอย่างคุณจตุพรฯ กำลังอยู่บนเส้นด้าย จะเข้าคุกหรือไม่ก็ยังไม่รู้นั้น เราจะห่วงกังวลและพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยคุณจตุพรฯ ไม่ได้ คนที่รักกันและต่อสู้ร่วมกันมาเนิ่นนานเช่นนี้ จิตใจก็ต้องผูกพันกันและห่วงหาอาทรกันเป็นธรรมดา
แต่ ความดีงามในหัวใจ จะต้องไม่ปล่อยไปไกลจนลืมภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าการเข้าคุกหรือไม่เข้า หากเอางานในภายภาคหน้าเป็นหลัก เราอาจจะต้องเดินหลังตรงเข้าคุกกันอีกมากด้วยซ้ำ เพื่อผลักดันให้สิ่งที่เราเชื่อมั่นและต่อสู้คือประชาธิปไตยที่แท้ ให้เกิดขึ้นในสังคมพิกลพิการอย่างเมืองไทยได้
บาง ทีการทอดตัวรับอาญาจากรัฐ ก็เป็นวิธีการต่อสู้อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้ที่หลบหนีไปตั้งฐานต่อสู้ที่อื่นเพื่อจะได้มีอิสรภาพเอามาทำ งานการเมืองได้ ขบวนประชาธิปไตยต้องอาศัยหลายวิธีในการต่อสู้กับศัตรูตัวใหญ่ที่มีวิชามาร และเล่ห์กระเท่มากมายสุดจะพรรณนา เราจึงจะคาดหวังชัยชนะได้บ้าง
การ ต่อสู้จากนี้ไป ต้องไม่ลืมว่าเรากำลังต่อสู้ในเชิงระบอบ ไม่น้อยไปกว่านั้นและไม่ต่อรองราคาชีวิตของมวลชนทั้งที่เสียไปแล้วและยัง อยู่ให้มันน้อยไปกว่านั้น
อย่า ไปหวังความเป็นธรรม ความชอบธรรม และความเมตตาใดๆ จากระบอบที่ประกอบขึ้นด้วยการฆาตกรรม การทำลายล้าง และการสูบเลือดสังคมไทยในทุกมิติ แม้แต่ในระบบความคิดความเชื่อเป็นอันขาด
ศาลเศิลอะไรมันก็ของเขาทั้งนั้น
โปรดระลึกไว้ว่า ถ้ายังเสพติดเขาอยู่ ก็เท่ากับว่าเรายังไม่ได้นับหนึ่งในการต่อสู้กับเขาเลย.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น