คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ฮุนเซ็นดับไฟ
โดย กาหลิบ
อาจ มีบางคนในหมู่พวกเราเสื้อแดงยังรู้สึกเจ็บใจว่า เหตุใดศาลกัมพูชาจึงตัดสินใจปล่อยตัวฝ่ายที่ก่อกระแสวุ่นวายระหว่างชาติกลับ บ้าน ด้วยการรอลงอาญา ทำไมไม่กักเอาไว้ในคุกเขมรชนิดไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยเล่า
ก็พวกเราทางเมืองไทยยังถูกไล่ฆ่า ถูกไล่จับ และถูกล่ากันไม่เลิก มีโอกาสตาต่อตาฟันต่อฟันให้มันสาแก่ใจ ก็ควรทำมิใช่หรือ?
ใครที่ยังรู้สึกอย่างนี้โปรดสงบใจฟังกันสักนิดเถิด
ก่อน เกิดเรื่องนักโทษไทย ๗ คนนี้นั้น ท่านที่ติดตามข่าวมาตลอดจะรู้ดีว่า มูลเหตุแท้จริงย้อนกลับไปถึงความสงสัยว่ากัมพูชาจะให้ที่พักพิงกับนักต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยที่ลี้ภัยไปจากเมืองไทย วิตกจริตกันถึงขั้นจัดตั้งกลุ่มประชาชนขึ้นมากล่าวหารัฐบาลเลือกตั้งภายใต้ นายกรัฐมนตรี คุณสมัคร สุนทรเวช ว่า “ขายชาติ” และกดดันจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องลาออกไป
ความจริง ข้อกล่าวหาขายชาตินี่สืบเนื่องมาตั้งแต่เกิดม็อบต่อต้านนโยบายแปรรูปการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโน่นแล้ว เรื่องนี้คือพล็อตเรื่องหลักของฝ่ายศักดินา-อำมาตย์เขา เขาใช้ลัทธิคลั่งชาติเป็นเครื่องมือในการกอดบัลลังก์แห่งอำนาจมาแต่ไหนแต่ไร
จำ ได้ไหมว่า คราวที่เขาฆ่าโหดนักศึกษาเมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นั้น เขาก็กล่าวหาก่อนว่าคนเหล่านี้เป็นลูกญวนลูกแกว หรือไม่ก็เป็นชาวต่างชาติที่แฝงตัวเข้ามาก่อความวุ่นวาย แถมยังมีอาวุธคิดโค่นล้มสถาบันหลักๆ ของไทยอีกต่างหาก เขารู้ดีว่าอารมณ์คลั่งชาตินั้น หากกระตุ้นถูกที่ถูกเวลา ก็เปลี่ยนคนดีๆ ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีพฤติกรรมเป็นฆาตกรได้ทุกเมื่อ
เกม คลั่งชาติไทย-ต่อต้านเขมรที่พยายามกระตุ้นกันมาเรื่อยจนถึงกรณี ๗ คนเที่ยวนี้ จึงเป็นคำสั่งลับจากระดับสูงสุดของประเทศไทย ที่เคยตัวเสียแล้วว่าปุ่มรีโมทคอนโทรลปุ่มนี้ กดเมื่อไหร่ก็ได้ผลตามที่ข้าต้องการทุกทีไป เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า คนที่รับคำสั่งยุคนี้มันเป็นคนรุ่นหน่อมแน้ม ทำงานอะไรไม่เป็นไม่ใช่คนอย่าง สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือ คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้มีประสบการณ์ยาวนาน สิ่งที่ทำก็เลยกลายเป็นความขายหน้าและแสดงความเสื่อมทรามของระบอบไทยอย่าง ฉกรรจ์
ฝ่ายกัมพูชาเขาก็รู้เรื่องนี้ดี รู้ด้วยซ้ำว่า เขาคนนั้นกำลังสั่งให้ “ปั้น” เรื่องความขัดแย้งกับเขมรให้เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา
ต้อง การเร้ากระแสคลั่งชาติพอให้เกิดปะทะกันสักเล็กน้อยตามแนวชายแดน เพื่อเอาเป็นข้ออ้างสำหรับการรัฐประหารในเมืองไทย ที่เขาเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาการเมืองของเขาได้
เพราะบัดนี้เขารู้ แล้วว่า เขากดเสื้อแดงไม่อยู่ และกระแสแดงตาสว่างก็กำลังแผ่ซ่านไปทั่วขุมขนอย่างน่ากลัวสำหรับระบอบเก่า เป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของเขาเป็นอย่างยิ่ง ความชะแรแก่ชราก็ทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของการใช้อำนาจ อะไรที่จำเป็นต้องทำก็ต้องรีบทำเสียในบัดนี้
หากเรื่องคน ๗ คนยังดำเนินต่อไป ฝ่ายศักดินา-อำมาตย์ไทยเขาก็จะมีวัตถุดิบอันวิเศษในการปั่นกระแสคลั่งชาติ จนอาจเพียงพอต่อการก่อรัฐประหารล้มกระดานประชาธิปไตยและฆ่าหมู่คนเสื้อแดง ได้อีกรอบตามราชประสงค์ สังเกตได้ว่าเขากำลังระดมขี้ข้ากลุ่มต่างๆ ออกมาเล่นบทบาทให้สอดรับกันอยู่ในเรื่องนี้
ออกมาสั่งทหาร ทหารก็ออกมาเดินสวนสนามให้ชื่นใจในวันรุ่งขึ้น
พันธมิตรฯ และกลุ่มนายไชยวัฒน์ฯ ก็ออกมาโวยวายเรื่องขายชาติ-คลั่งชาติ แต่คนไหนที่ต่อรองเอาผลประโยชน์มากไป ก็เขกกบาลเข้าสักที อย่างที่เอาตำรวจไปหิ้วตัวนายไชยวัฒน์ฯ ร่องแร่งออกมาจากร้านสุกี้ แต่ในภาพรวมแล้วก็ให้มันทำหน้าที่ต่อไป
เด็กที่เอามาเล่นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ออกโทรทัศน์ชี้แจงเรื่องเขมร ทำทีเหมือนกับว่าสงครามใกล้จะระเบิด
หน่วย ราชการที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมสนธิสัญญาฯ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และอื่นๆ ก็เล่นบทรับส่งกันไปเรื่อย ตามประสาระบบราชการของคนอื่นที่มิใช่ประชาชน
สุดท้าย นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็เลยเป่าพรวดเดียวจนเทียนดับ กระแสคลั่งชาติที่กะจะเอา ๗ คนเป็นเครื่องมือสำคัญก็เลยสะดุดกึกอย่างแรง ทำท่าจะล้มคว่ำหน้ากระแทกพื้น กันแถวทำเนียบรัฐบาล
นี่ล่ะ... เกมการเมืองของคนที่เขาเคยเล่นมาจนชำนาญมือ เขารับลูกเล่นของคนแก่ที่นึกว่าตัวเองเจ๋งที่สุดในโลกได้อย่างสบาย รับมือด้วยหน้ายิ้มๆ และอารมณ์ขันเสียด้วย
คงต้องสรุปในขั้นนี้ว่า ระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยจะเลี้ยวไปทางไหน ฝ่ายประชาธิปไตยเขาก็มีแผนที่ตามไล่ไว้หมด.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น