สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

กาหลิบชิ้นที่ 100 โดย กาหลิบ


คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง กาหลิบชิ้นที่ ๑๐๐
โดย กาหลิบ

ร้อยกาหลิบได้อีกร้อยเพราะคอยคิด

เฝ้าร้อยจิตร้อยใจให้ความหวัง
เมื่อเมืองไทยไร้เสียงจากเวียงวัง

ก็คือตื่นจากภวังค์...ประชาชน

เมื่อความเงียบเสียบในหัวใจราษฎร์

แต่ยิงกราดลงจากฟ้าเป็นห่าฝน
เขานั่งมองปวงประชาหมาหรือคน

สั่งขยี้ปี้ป่นอยู่บนเตียง

เลิกโทษเถิดพวกลูกน้องล้วนของเขา

ระบอบใดไม่ใช่เราก็ย่อมเสี่ยง
นั่งสง่าน่ากลัวหรือตัวเอียง

ไม่อาจเลี่ยงถูกครอบระบอบใคร

ตาสว่างแล้วทางจะมีต่อ

ปล่อยพวกกราบร้องขอให้เป็นไพร่
ปล่อยไปเถิดสมานฉันท์กับจัญไร

มาร่วมสร้างรัฐใหม่ด้วยไทยเดิม

ถามเมื่อไหร่จะชนะทั้งระบอบ

ก็กะลาที่เขาครอบอย่าช่วยเสริม
หยอดน้ำตาให้มองเห็นเป็นประเดิม

เอาความจริงต่อเติมให้ตาโต

คนฉลาดแต่ยอมน้อมรับใช้

พอนานไปลุกลามเป็นความโง่
แก่ก็ยังเยาว์วัยเพราะไม่โต

อย่าอวดโอ่เหนือขบวนนำมวลชน

สองสายพันธุ์ผูกเป็นแพแพ้ซ้ำซาก

เดินลำบากพี่น้องจึงหมองหม่น
ใครเลือกตั้งแยกไปดั่งใจดล

ใครถนนปฏิวัติจัดกลุ่มกัน

เลิกรวมกันเสียเถิดจะเกิดผล

ยอมรับเถิดว่าเป็นชนคนละขั้น
วิธีการและเป้าหมายไม่คล้ายกัน

จะทอนบั่นกันไฉนในเส้นทาง

คนเลือกตั้งเขาหวังในระบบ

แผนคือพบสรวงสวรรค์อันสล้าง
ทั้งเกี้ยเซี้ยสมานฉันท์มั่นใจทาง

หวังส้มหล่นให้ระหว่างเส้นทางรอ

นักปฏิวัติไม่ยอมรับในระบบ

มีชีวิตหรือเป็นศพไม่คบต่อ
เพียงได้เป็นรัฐบาลไม่ด้านพอ

ไม่ร้องขอไม่อ้อนวอนไม่อ้อนตีน

แยกเสียเถิดแยกเสียทีดีทุกเมื่อ

อย่าหวังขี่สองเสือเหมือนทรงศีล
แยกเสียตามครรลองดังสองจีน

จงสาวตีนเดินแยกให้แตกตัว

หยุดทีเถิดการรวมเหมือนร่วมเพศ

ต้องขีดเขตครึ่งคลองเป็นสองขั้ว
เตรียมเลือกตั้งระฆังลั่นสั่นระรัว

ใครไม่กลัวเดินไกลอย่าไปฟัง

หากได้เป็นรัฐบาลก็สานต่อ

อย่าถือหลักเพียงพอต้องถึงฝั่ง
เอาอำนาจเป็นสะพานสานพลัง

แต่เป้าหมายคงยังมุ่งเปลี่ยนแปลง

สายเลือกตั้งอย่าทำลายสายปฏิวัติ

อำนาจรัฐยังมิได้อย่าหน่ายแหนง
เป็นรัฐบาลสำราญนักอย่าหนักแรง

ช่วยเสริมสายสีแดงผู้เอาจริง

ร้อยกาหลิบเขียนกลอนใช่สอนสั่ง

แต่ด้วยหวังเล่นรุกทุกสรรพสิ่ง
สานพลังสังคมให้สมจริง

อย่าอยู่นิ่งเป็นรัฐบาลสำราญตน

มวลชนเราเอาจริงอย่าทิ้งขว้าง

อย่าเดี๋ยวจับเดี๋ยววางเดี๋ยวทำหล่น
รักจะเปลี่ยนเมืองไทยต้องใช้คน

รวมทุกดวงใจดลจึงเปลี่ยนแปลง.

http://www.democracy100percent.blogspot.com/

วิสา คัญทัพ เขียนถึง ธีรยุทธ บุญมี

คราว นั้นทำให้เกิด กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญเคลื่อนไหวจนทั้งคุณธีรยุทธ ผมและเพื่อนรวม 13 คนถูกจับเป็นกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็สนิทสนมกับ ธีรยุทธ บุญมี ในระดับที่แน่นอนหนึ่ง



โดย วิสา คัญทัพ
ที่มา เฟซบุ๊ควิสา คัญทัพ


ผมเคยเขียนถึงธีรยุทธ บุญมีไว้ในคอลัมน์ "เราต่างมาจากทั่วทุกสารทิศ" ในหนังสือ ประชาทรรศน์รายสัปดาห์ เมื่อร่วมสองปีที่ผ่านมา

อ.สม ศักดิ์ เจียมฯ และเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอาจไม่ได้อ่าน จึงคัดมาให้อ่านกันย้อนหลังโดยมิได้ปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม ด้วยเห็นว่าสอดคล้องกับบรรยากาศที่ อ.สมศักดิ์พูดถึง สู้ตอนหนุ่ม กับสู้ตอนแก่ครับ (อ่าน สมศักดิ์ เจียมฯเขียนถึงทองใบ ทองเปาด์

http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_9588.html)

ธีรยุทธ บุญมี ไม่เคยรับรู้ สนับสนุน และเห็นชอบกับการทำรัฐประหาร


ธีร ศาสตร์สดับทั้ง สุนทรี

ยุทธ ศิลปะกวี ประดับสร้าง

บุญ ทำก่อกรรมดี บริสุทธิ์

มี สุขอย่ารู้ร้าง รุ่งรุ้ง เรืองโพยม




ผม รู้จัก ธีรยุทธ บุญมี ก่อน 14 ตุลาคม 2516 เมื่อผมถูกลบชื่อออกจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงพร้อมเพื่อนนักศึกษาเก้าคน ผมกับบุญส่ง ชเลธร เป็นคนเดินทางไปพบเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาในสมัยนั้นคือ คุณธีรยุทธ ที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬาฯ

ไปเพื่อขอให้ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเคลื่อนไหวต่อสู้คัดค้านการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของนักศึกษา เนื่องจากทำหนังสือมหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีคำตอบ อันมีข้อความบางส่วนกระทบกระเทือนผู้มีอำนาจเผด็จการ

ศูนย์ นิสิตฯ นำการเคลื่อนไหวชุมนุมนักศึกษาประชาชนเรือนหมื่น ซึ่งนับว่ามากที่สุดเป็นครั้งแรกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่สำคัญได้รับชัยชนะ นักศึกษาเก้าคนได้กลับเข้าไปเรียน อธิการบดีรามฯต้องพ้นจากตำแหน่ง และ ประเด็นสุดท้ายที่เป็นประหนึ่งสัญญาประชาคมคือการเรียกร้องรัฐธรรมนูญจาก เผด็จการ

กรณี 21-22 มิถุนายน 2516 คราวนั้นทำให้เกิดกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญเคลื่อนไหวจนทั้งคุณธีรยุทธ ผมและเพื่อนรวม 13 คนถูกจับเป็นกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร

จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็สนิทสนมกับ ธีรยุทธ บุญมี ในระดับที่แน่นอนหนึ่ง (ขออนุญาตใช้ศัพท์ฝ่ายซ้ายที่อธิบายได้ใกล้เคียงที่สุด) หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม นักศึกษาบางส่วนที่จบการศึกษาไปแล้วอย่าง คุณประสาร และคุณธีรยุทธก็ก่อตั้ง กลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (ปช.ปช)ขึ้นเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อเนื่อง

ผมก็เข้าร่วมทำงานกับกลุ่มนี้ อภิปราย, ปราศรัย, เดินสาย ไฮปาร์คไปตามม็อบกรรมกรชาวนาต่างๆที่มีขึ้นไม่ขาดสาย

จน สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นมีการลอบฆ่าลอบสังหารผู้นำนักศึกษา ผู้นำกรรมกรชาวนา ผู้นำนักการเมือง พวกเราถูกข่มขู่คุกคามจากอำนาจที่มองไม่เห็นถึงขั้นเอาชีวิต

ไม่มี ทางเลือกอีกแล้ว มีทางให้หนีไปสู้อยู่สองทาง คือ หลบไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ หรือหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต่อสู้กับภัยมืดเผด็จ การ

ผมตัดสินใจเข้าป่าซึ่งตอนแรกๆก็ไม่รู้ว่าจะได้เข้าไปพร้อมกับใคร อย่างไร ก่อนวันเดินทางไม่นานนักผมจึงรู้ว่าคณะนี้มีพี่ประสาร มฤคพิทักษ์พร้อมภรรยา, คุณธีรยุทธ บุญมีพร้อมภรรยา, และมีพี่ชัยวัฒน์ สุรวิชัย, คุณมวลชน สุกแสง, น้องในรามฯชื่อวิสุทธิ์หรือ
สหายตรง และลูกหลานอาจารย์ประวุฒิ ศรีมันตะ อีกสองสาว รวมสิบคน

เราเดินทางเข้าป่าทางภาคเหนือ เขตอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ลงรถจากถนนลาดยางก็ดั้นด้นเดินดงพงป่าด้วยเท้าเหยียบก้าวย่างขึ้นภูลงห้วย ข้ามเขาไม่นับลูก รอนแรมอยู่หลายวันกว่าจะถึงจุดพักบนดอยยาวสำนักสหายเล่าเต็ง ไม่ต้องพูดถึงความยากลำบาก ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และเหงื่อหยดที่มิอาจนับเป็นหยาด

ไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มคนสาวที่มี ชีวิตสุขสบายในเมืองใหญ่อย่างพวกเราจะฝ่าฟันผ่านพ้นไปได้ ผ่านชีวิตเป็นตายร้ายดีมาด้วยกันถึงขั้นนี้จะให้ลืมความรักความผูกพันอัน เป็นรอยอดีตร่วมกันได้อย่างไร

ตรงจุดพักกินข้าวเย็นริมถนนลาดยางแห่ง หนึ่ง ก่อนถึงจุดนัดหมายที่สหายในป่ามารับ ผมเสนอให้ผู้นำนักศึกษาที่มีชื่อเขียนจดหมาย ประกาศการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธส่งไปให้พวกเราในเมืองแจ้งให้ประชาชนได้ทราบ เหมือนที่อดีตเลขาฯศูนย์ฯอย่างเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ และผู้นำนักศึกษาคนอื่นๆเคยทำมาแล้ว ด้านหนึ่งเพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ด้านหนึ่งเพื่อเป็นกำลังขวัญให้พวกเรากันเอง

จำได้ว่า คุณธีรยุทธไม่เห็นด้วย ก็เลยไม่มีการส่งจดหมายดังกล่าว แต่เมื่อไปถึงสำนัก A 30 ที่มีลุงอุดม สีสุวรรณเป็นหัวหน้าใหญ่ การประกาศการต่อสู้ดังกล่าวก็ทะยอยออกมาเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า ชื่อของผมดูเหมือนจะร่วมอยู่ในกลุ่มของคุณธีรยุทธ บุญมี และคุณประสาร มฤคพิทักษ์ นี่แหละ

งานในสำนักแนวร่วม A 30 ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานนิตยสาร สามัคคีสู้รบอันมีทีมงานในกองบรรณาธิการสี่คนคือคุณธีรยุทธ บุญมี, คุณสมาน เลือดวงศ์หัด (หรือเลิศวงรัฐ ในปัจจุบัน), คุณประยงค์ มูลสาร และผม

สามัคคี สู้รบ เป็นหนังสือที่ส่งเผยแพร่ส่วนใหญ่ในต่างประเทศ เพื่อสามัคคีพันธมิตรในแนวร่วมอันหลากหลาย ตอนนั้นมีประเด็นถกเถียงกันว่าพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้อยู่ในฐานะนำแนวร่วม แต่ควรเป็นองค์กรหนึ่งในแนวร่วม ซึ่งมีนโยบายเฉพาะหน้าของแนวร่วมที่จะสามัคคีกำลังรักชาติรักประชาธิปไตยไป เอาชนะรัฐบาลปฏิกิริยาไทย

เวลานั้นจึงมีการตั้ง กป.ชป. หรือคณะกรรมการประสานงานกำลังรักชาติรักประชาธิปไตยขึ้นเพื่อเตรียมสร้างแนว ร่วมที่เป็นรูปการในอนาคต มี สามัคคีสู้รบเป็นกระบอกเสียง

ธีร ยุทธ บุญมี ปัจจุบันยังคงเคลื่อนไหวมีบทบาทเสนอแนะและชี้นำทางการเมืองในประเด็นสำคัญๆ เป็นระยะตลอดมาในทุกรัฐบาล โดยทั่วไปก็เป็นที่ยอมรับกันได้ในแวดวงปัญญาชนคนชั้นกลางที่รักความเป็นธรรม อยากให้ระบอบประชาธิปไตย

บ้านเราพัฒนาไปทางที่ดีขึ้นไปเรื่อย ไม่ว่าธีรยุทธ จะออกมาปะทะกับนายกรัฐมนตรีคนไหน อย่างดีก็มีเสียงโต้ตอบออกมาจากนักการเมืองที่ปกป้องรัฐบาลเท่านั้น ไม่เคยล่วงล้ำลามมาสร้างความไม่พอใจให้กับมวลชนที่กว้างขวางเหมือนกับที่ กำลังถูกมองในทางลบเช่นทุกวันนี้ ดังที่ธีรยุทธได้กล่าวไว้เองว่า

ผม ก็ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนเผด็จการ ทั้งที่ความเป็นจริง ผมไม่เคยเบี่ยงเบนความคิดจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน ไม่เคยสนับสนุนระบอบทักษิณ ไม่เคยรับรู้ สนับสนุน และเห็นชอบกับการรัฐประหาร เพราะวันที่ 18 ก.ย.2549 ผมพร้อมค้วยอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ และคณบดีอีก 5 คณะได้ร่วมกันประชุมหารือเพื่อหาทางออก โดยเฉพาะข่าวลือที่ว่า จะมีการรัฐประหาร แต่ก็ไม่ทันการณ์ เพราะในวันรุ่งขึ้นก็มีการยึดอำนาจ ดังนั้นผมขอยืนยัน ผมไม่เคยใยดีกับตำแหน่งอำนาจวาสนาหลังรัฐประหาร ถือเป็นและได้ทำหน้าที่วิจารณ์ คมช.และรัฐบาลสุรยุทธ์ ให้คลี่คลายวิกฤติและไม่สืบทอดอำนาจ



ข้อความดังกล่าวโผล่ขึ้นมาในตอนหนึ่งของการกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อตุลาการภิวัตน์กับการรอมชอมในสังคมไทย

การ กล่าวข้อความเยี่ยงนี้ สำหรับผมไม่ถือว่าเป็นคำแก้ตัวใดๆ โดยความที่เคยสนิทสนมเชื่อมั่นศรัทธากันมาก่อน ผมเป็นห่วงสุขภาพของเขาด้วยซ้ำไปเวลาที่ต้องใช้ความคิดหนักๆ ยิ่งการแถลงครั้งล่าสุด เส้นผมบนศีรษะเบาบางลงมาก ไม่อยากให้เกิดความรู้สึกที่เจ็บช้ำใดๆ ท่านไม่ใยดีกับตำแหน่งอำนาจวาสนาหลังรัฐประหารนั้นถูกควรแล้ว หากทำเหมือนเพื่อนพ้องน้องพี่ของท่านบางคน อาการก็อาจจะหนักไปมากกว่านี้

อัน ที่จริง 5 ภาวะเสื่อมที่ อ.ธีรยุทธเสนอมา ไม่มีอะไรใหม่ เป็นภาวะเสื่อมที่เห็นกันมานานแล้ว โดยเฉพาะข้ออมาตยาธิปไตยเสื่อมนั้นถูกต้อง ส่วนข้อคุณธรรมเสื่อมนั้นน่าจะไม่ใช่ เพราะไม่มีใครเห็นว่าคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา และไม่มีใครคิดว่า โกงก็ได้ขอให้ทำงาน มีแต่คิดหาทางจะกำจัดคอรัปชั่น และถ้าโกงจริงก็ต้องขึ้นศาลเอาเข้าคุก

ข้อความสามัคคีในบ้านเมือง เสื่อมนั้นมุ่งชี้เป้าไปโทษรากหญ้าโทษประชาชน โดยธีรยุทธชี้ว่าการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน เกิดจากทิฐิมานะ ประชาชนเลือกพรรคการเมืองที่เข้าถึงใกล้ชิดมากกว่าชนชั้นนำซึ่งห่างไกลแปลก แยก ผมไม่ทราบว่าชนชั้นนำไหน พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้ปกครองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่ชนชั้นนำหรือชนชั้นนำที่คุณธีรยุทธพูด หมายถึงใคร และทำไมดูถูกประชาชนว่าเลือกผู้แทนด้วยทิฐิมานะ เรื่องภาคการเมืองเสื่อม ภาคสังคมเสื่อม พรรคการเมือง รัฐสภา สถาบันทางวิชาการ...การแตกแยกทางความคิดเห็น ไม่มีใครฟังใคร ไม่มีผู้ใหญ่คอยไกล่เกลี่ยที่ธีรยุทธพูดมาที่จริงก็เป็นเรื่องของพวกท่าน ทั้งหลายนี่แหละที่ไปรับรองรัฐธรรมนูญปี 50 ของ คมช. เมื่อผู้ใหญ่เปล่งเสียงร้องเพลงเดียวกับ คมช.เยี่ยงนี้ ก็เท่ากับผู้ใหญ่ทำลายคุณค่าของตัวเองลง

ทำไมจึงไม่ได้ฟังสำเนียงไม่ เอารัฐธรรมนูญปี 50 ทำไมจึงไม่ได้ฟังสำเนียงต้านรัฐประหาร ทำไมจึงไม่ได้ยินสำเนียงคัดค้านทัดทานพวกกลุ่มพันธมิตรฯจากอาจารย์ธีรยุทธ บ้าง

ซ้ำกลับมาบอกว่าอย่ารีบร้อนแก้รัฐธรรมนูญเพราะจะเกิดการเผชิญ หน้ากัน อาจารย์ธีรยุทธต้องตะโกนคำว่าไม่เคยรับรู้ไม่เคยสนับสนุนและเห็นชอบกับการรัฐประหารให้ดังกว่านี้หน่อยนะครับ

และตะโกนคำว่า เอารัฐธรรมนูญเผด็จการออกไปส่วนประชาธิปไตยประชาชนนั้นเราต้องร่วมกันเพรียกหาต่อไป.


******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-สมศักดิ์ เจียมฯเขียนถึงทองใบ ทองเปาด์ การเป็นนักสู้เมื่อหนุ่มสาว กับการยังคงเป็น หรือเพิ่งเป็น เมื่อแก่ อย่างไหนสำคัญกว่ากัน?

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 1/25/2011 07:58:00 หลังเที่ยง Share on Facebook



ไทยรัฐ ไทยร้าว วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

สงครามยิงเกิดขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเราเรียกว่า วันเสียงปืนแตกเกิดขึ้นเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508
ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก
เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
หลังจากนั้นเพียงสองปี ฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดนแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
ได้ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ลอบเข้าตีตอนใกล้รุ่ง
ตัวนายตำรวจซึ่งทำหน้าที่ผู้บังคับหมวด
เป็นนายร้อยใหม่ๆเพิ่งสำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน
เขาและผู้ใต้บังคับบัญชายิงตอบโต้แบบสู้เย็บตา จนสามารถรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ได้
และได้วิทยุรายงานเหตุการณ์ ไปยังกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
พล.ต.ต.กระจ่าง ผลเพิ่ม รองผู้บัญชาการในขณะนั้น ตอบวิทยุ กลับไปว่า
สมน้ำหน้า! ที่ถูกโจมตี ก็เพราะ...ขาดการลาดตระเวนรอบฐาน!!
ตั้งแต่นั้นมา ผู้บังคับหมวดคนนี้ ก็ไม่เคยลืมคำตำหนิเชิงสั่งสอน ของผู้บังคับบัญชาท่านนี้เลย
นายตำรวจที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นลูกหม้อของตำรวจตระเวนชายแดน
ตั้งแต่มียศเป็นร้อยตำรวจตรี ต่อมาได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการในที่สุด
และได้เกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้ว

เมื่อ 4 ม.ค.พ.ศ.2547 ค่ายทหาร ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
ชื่อ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ถูกผู้ก่อการร้ายเข้ายึด และฆ่าทหาร
ปล้นเอาอาวุธปืนไปเป็นจำนวนมาก
ผู้คนตกตะลึง!
นับว่าเป็นค่ายทหารที่ถูกตีแตกพ่าย เป็นครั้งแรก
ในรอบกว่า 200 ปี ของประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์!
ขายขี้หน้า...เป็นที่สุด!!
ในครั้งนั้น ผมยังอยู่ที่ค่าย ผู้จัดการก็ได้เขียนบทวิพากษ์วิจารณ์รุนแรง และคิดว่า
เหตุการณ์ที่ถูกผู้ก่อการร้ายสั่งสอนเอาในครั้งนั้น
น่าจะเป็นบทเรียนให้ฝ่ายทหาร คิดทบทวนหามาตรการป้องกัน
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้อีก
ความคาดหมายของผม...ผิดไป!

ปีใหม่ปีนี้เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไร
ในวันที่ 18 ม.ค.2554 ผู้ก่อการร้ายไม่ได้ได้บุกปล้นค่ายทหารอีกก็จริง
แต่ครั้งนี้บุกเข้าถล่มฐานทหาร พระองค์ดำของฉก.นราธิวาส 38
เป็นเหตุให้นายทหารหนุ่มยศร้อยเอก กำลังจะแต่งงาน ต้องสังเวยชีวิต
พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนายไป อย่างน่าเสียดาย
ปืนในคลังถูกปล้นไปกว่า 50 กระบอกพร้อมกระสุนอีกกว่า 5,000 นัด
การโจมตีครั้งนี้ มีลักษณะอุกอาจ มีการวางแผนเป็นอย่างดี
ยิ่งกว่าการปล้นค่ายทหารครั้งแรก ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส...
ใช่แต่เพียงแค่นั้น...
ต่อมาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ชาวบ้าน จะไปเก็บหาของป่า
ถูกระเบิดของฝ่ายผู้ก่อการร้าย ตายไปอีก 9 ศพ น่าอเนจอนาถนัก
เหตุเกิดที่อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
สะเทือนขวัญราษฎร เป็นอย่างยิ่ง!

การโจมตีฐานทหาร เมื่อ 18 ม.ค.2554 นั้น ในวันเกิดเหตุ
มีทหารพักถึงครึ่งหนึ่งของกำลังที่มีอยู่ ซึ่งการพักในพื้นที่ซึ่งมีสถานการณ์เข้มข้นนั้น
โดยปกติแล้วเขาจะพักกัน 1 ใน 5 ของกำลังที่มีอยู่
ในวันดังกล่าว มีทหารอยู่ในฐานน้อย ทั้งนี้
อาจเป็นเพราะทหารมีภารกิจในการรับทั้งนายกฯ
และผู้บังคับบัญชาของตนมาแล้วก่อนหน้านั้น เลยทำให้บางส่วนพักซ้อนกัน
นอกจากนั้นในวันที่โดนโจมตี หน่วยทหารเรือฝ่ายนาวิกโยธิน
มีการจัดเลี้ยงในวันกองทัพไทยในเมือง
ทางฐานก็ต้องมีกำลังทหารจากฐานนี้ ไปร่วมงานตามธรรมเนียมด้วย
ดังนั้น ความระมัดระวังตามปกติถดถอยลง
การดูแลรักษาความปลอดฐานจึงย่อหย่อนลง
และ เรื่องการจัดชุดลาดตระเวนรอบฐาน ก็คงไม่ได้ทำ
ความสูญเสียจึงเกิดขึ้น!

ผู้บัญชาการทหารบก คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งรับผิดชอบกองทัพบก
นอกจากจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ แล้ว
ยังไม่ได้ออกมาพูดจาให้ความอุ่นใจกับประชาชน
แต่กลับบอกว่า ประชาชนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของทหารเสียอีกด้วย
ตัวท่าน ผบ.ทบ.เอง ก็เพิ่งมีปัญหากับสื่อ
เพราะการออกอารมณ์ฉุนเฉียว จนถูกวิพากษ์วิจารณ์เอามากๆ เมื่อไม่นานมานี้
มาคราวนี้ก็เอาอีก ด้วยการพูดจา ขัดหูชาวบ้าน
ผมคิดว่า สื่อมวลชนมีสิทธิ์ไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะประชาชนเองก็มีสิทธิ์รู้ว่า กองทัพมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
ในการรักษาแผ่นดินของบรรพบุรุษผืนนี้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อาสามาทำหน้าที่ ทหาร
และบัดนี้ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลนี้ ให้ดูแลรับผิดชอบเหนือหน่วยราชการอื่นๆ
แต่กลับทำงานไม่ เข้าตาชาวบ้าน แล้วยังมาพูดจาในทำนองต่อว่าชาวบ้านเสียอีก
ยิ่งกลายเป็น ขี้ปากผู้คนหนักขึ้นอีก!
ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก คือการแสดงออกด้วยภาษากายของท่าน
มีการออกแอ๊คชั่นลีลาด้วยท่าทาง ที่เหมือนจะพยายามแสดงว่า
เป็นคนเอาจริงและดุดัน คล้ายตั้งใจทำให้ภาพลักษณ์ออกมาดูเหี้ยมเกรียมน่ากลัว
แต่แทนที่ชาวบ้านจะกลัว เขากลับมีความไต่ถามกันว่า
เว่อร์เกินเหตุไป หรือเปล่า!!?

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ฯมาเป็น ผบ.ทบ.นั้น ทั้งสื่อและประชาชนก็ทราบดีว่า
ตัวท่านเองยังไม่เคยมีประวัติในการรบ จนเป็นที่ประทับใจทหารและชาวบ้าน
เหมือนกับอดีตผู้บังคับบัญชาทหารบกบางท่าน
แต่นั่น ยังไม่ใช่ประเด็น...
เรื่องหลักจริงๆอยู่ตรง ทั้งสื่อและชาวบ้าน เขาต้องการทราบว่า
เมื่อมีเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่ท่านรับผิดชอบ
ท่านและกองทัพบก มีกลยุทธ์ที่จะใช้แก้ปัญหาภาคใต้นั้นได้ดีแค่ไหน?
ตรงนี้และที่สำคัญ!

สำหรับสื่อและประชาชน เขาเห็นว่าการก่อการร้ายที่ปลายด้ามขวานของไทยเรา
มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และนี่เอง คงชี้ให้เห็นว่า
ท่าน ผบ.ทบ.มี กึ๋นอยู่แค่ไหน!!?

ขอบอกกันตรงๆ เลยว่า
ความเป็นผู้นำหน่วย ที่จะทำให้ผู้คนเขาเคารพนับถือ
นอกจากมีความสามารถในการนำหน่วยแล้ว การพูดจากับสาธารณะชน
ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือประชาชน ควรจะแสดงความเป็น ผู้ดี
และที่สำคัญจะต้องแสดงความเป็น มิตรด้วยน้ำใสใจจริง
จึงจะเอาชนะใจชาวบ้านได้!
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.
หากท่านต้องการที่จะลดการวิพากษ์วิจารณ์ ของสื่อและชาวบ้าน นั้น
ท่านจะต้องทำให้กองทัพ มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่
และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะกวาดล้างทุจริตในกองทัพ
ซึ่งบ่อนทำลายและกัดเซาะความเชื่อมั่นของผู้คน
รวมทั้งคนในกองทัพด้วย!!

ผมอยากให้ท่านลองศึกษาเรื่องเจ้ากรมทหารสื่อสาร ยศ พล.อ. 3 นาย
ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลไปเรียบร้อย
และยกเป็นตัวอย่างเตือนใจทหารผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย
นี่ยังไม่นับรวมเองคอรัปชั่นในกองทัพอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เรือเหาะที่ไม่เคยเหาะได้เหมือนชื่อ
หรือเรื่อง ไม้ชี้หลุมขี้ที่พี่น้องประชาชน เขาพากันขบขันปนสมเพชไปทั้งประเทศ
แล้วพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า

ทำไมมัน ทุเรศอย่างนี้! (วะ)
ดูอย่างกลุ่มพันธมารที่กำลังไปเปิดเวทีอยู่ที่มัฆวาน
ยังเอาเรื่องคอรัปชั่นของทหารมาด่าโครมๆ ผมไม่เห็นมีทหารหน้าไหน ออกไปเถียงว่า...
พวกตัวเองนั้น ไม่ได้คดโกงแผ่นดินสักคน หรือไม่กล้าสู้หน้าพวกพันธมารก็ไม่รู้
กลัวกันมาก...ขนาดนั้นเลยหรือ?
สรุปว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ จะต้องหมั่นเตือนผู้ใต้บังคับบัญชา
ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน
และตัวท่านเอง ก็จะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างอันดีด้วย
ก็เตือนกันไว้ แค่นี้แหละ!!

การแก้ไขปัญหาภาคใต้นั้น มีการทุ่มเทงบประมาณมหาศาล
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ความรุนแรงก็กลับเพิ่มมากขึ้น
แม้ทางทหารและทางราชการ จะออกมาโปรปะกันดา ผ่านช่องทางต่างๆว่า
สถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ
การก่อการร้ายเป็นรายครั้งลดลง ระดับความรุนแรงลดลง
เสร็จแล้วกล่าวสรุปสถานการณ์ ด้วยคำกล่าวที่เป็น cliché หรือซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายว่า
เรามาถูกทางแล้ว!
ผมคิดว่า ในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น
จะต้องมีการศึกษาหนทางปฏิบัตินอกกรอบ แต่มีความเป็นไปได้ แล้วนำมาลองใช้กันบ้าง
จะขอยกตัวอย่างแนวความคิด ของคนใกล้ตัว ที่เป็น ก.ตร.เลือกตั้ง คือ
พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ได้ให้สัมภาษณ์
น.ส.พ.ไทยโพสต์ ฉบับแทปลอยด์ ประจำวันอาทิตย์ ที่ 23 ม.ค.2554
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
สมควรจะยกมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันในวันนี้
เพราะนานๆครั้งจะมีคนคิดหาแนวทางใหม่
เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องที่เป็นความทุกข์ของแผ่นดินกันอย่างจริงจัง
ก.ตร.หมาดๆผู้นี้ เขาได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ อย่างนี้ครับ....

“...ผมมีแนวคิดที่จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วย ได้เคยบรรยายในหลักสูตรต่างๆว่า
ถ้าแก้ไขปัญหาในแนวทางที่ผมศึกษามากว่า 40 ปี
ผมไม่เห็นด้วยกับ การเมืองนำการทหารหรอก
ผมจะใช้ ศาสนานำการปกครอง
ที่นั่นคนเคร่งศาสนา คนที่ไปอยู่ที่นั่นต้องยึดมั่นในศาสนา ต้องเป็นคนดี
การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด
7 ข้อที่ หะยีสุหรงขอไว้ มีข้อใดบ้างที่ทำได้ ต้องทำ
เพราะฉะนั้น ผมหยิบปัญหาตรงนี้มาพิจารณา
วันนี้ผมเป็น ก.ตร. ผมจะผลักดันการรับบุคลากรตำรวจที่ 3 จังหวัด...ให้รับคนพื้นที่
วันนี้ ผมไปสำรวจตำรวจใน 3 จังหวัดถูกฆ่า
คนเป็นมุสลิมที่เกษียณและยังไม่เกษียณ ถูกฆ่ามาก
จนกระทั่งเหลือประมาณพันคนเท่านั้น ในอัตรากำลังที่มีอยู่ 12,000 คน
ถ้าวันนี้เราเปลี่ยนเอาคนพื้นที่อื่นที่ลงไป กลับไปปฏิบัติงานที่บ้านของเขา
และรับคนพื้นที่ทั้งหมด เราอาจจะรับ 2 ระดับ ชั้นประทวนในระดับที่จบปริญญา
แต่จบ ม.ปลาย หรือศาสนา ระดับ 10 ที่จบโรงเรียนธรรม เป็นคนที่รู้ศาสนาอิสลามดี
เรารับเพราะเทียบเท่า ม.ปลาย
ผมว่าเราเพิ่มตำรวจมุสลิม สัก 5,000 คน ใน 20 ปี ข้างหน้า
เราจะครองใจผู้คนได้ วางระบบการรับทั้งสัญญาบัตร
ในพื้นที่ที่เขามีพ่อแม่ลูกเมียอยู่ที่นั่น มีข้อแม้อย่างเดียวว่า
ต้องพูดอ่านเขียนไทยคล่อง ภาษาไทยต้องลึกซึ้ง
ผลจากการนี้ สมมติ 5,000 คน จะมีคนหันกลับมาเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น
คนเหล่านี้จะไปเป็นตำรวจในพื้นที่
ที่สามารถสื่อสารประชาชนได้ในภาษาเดียวกัน
เข้าใจวัฒนธรรม มีศรัทธา ความเชื่อในศาสนาเดียวกัน
ความผสมกลมกลืนในพระบรมราโชวาท เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ย่อมทำได้โดยง่าย
ทำเช่นนี้ลองคิดดูว่า 5,000 คูณ 20 คือ 10 จากฝ่ายพ่อแม่ของเขา
และ10 จากฝ่ายพ่อแม่ภรรยา เราจะได้คน 100,000 คน (หนึ่งแสนคน) มาเป็นพวกรัฐ
ถ้าเอาคนหนึ่งแสนคน ไปดูคน 2.3 ล้านเท่ากับ 1 ต่อ 23
คุณว่าการข่าว...จะดีขึ้นไหม?
การเข้าถึง(ประชาชน)...จะดีขึ้นไหม?
ก่อนจ่าเพียรตาย ก่อนผมจะลาออก ผมยังพูดกับท่านอดุลย์ (แสงสิงแก้ว) ว่า
พี่กลับไปนี่ พี่จะไปจัดสรรเงินกองทุนสวัสดิการ
ที่พี่เป็นคนหามา เอามาจัดศูนย์สอนภาษาถิ่น
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานพูดภาษาถิ่นได้ การเข้าใจภาษาถิ่นก็เหมือนกับรู้เขารู้เรา

ฉะนั้น ปัญหาภาคใต้ผมว่าแก้ได้
แต่ไม่ได้แก้ด้วย ราคาคุยที่บอกว่า 6 เดือน 99 วัน 1 ปี ไม่มีทาง
ถ้าเรายอมรับความจริง ต้อง 1 generation ต้อง 20 ปี ผมตายไปแล้วนั่นแหละ
จะแก้ไขปัญหาภาคใต้ให้ลุล่วงได้ ต้อง กลับความรู้สึกของชาวบ้าน
เขาเป็นเจ้าของพื้นที่ เขาไม่อยากไปอยู่ประเทศอื่นหรอก แต่...
ให้เขามีเกียรติ มีศักดิ์ศรี รักษาอัตลักษณ์ เชื้อชาติมาลายูและ อิสลามของเขา
แต่ขณะเดียวกันในหลักศาสนาอิสลาม เกิดแผ่นดินไหน ก็เป็นของแผ่นดินนั้น
เขาเป็นคนไทย คนสยาม คนที่นั่นข้ามไปมาเลย์
เขาก็ไม่รับ เขาบอกว่าคุณไม่ใช่บุตรของแผ่นดิน (ภูมิปุตรา)
คุณเป็นคนสยาม! ...

นั่นเป็นแนวความคิดนอกกรอบ ของคนที่เฝ้าติดตามศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นที่นั่นมานาน
แต่รัฐบาลยังไม่เคยคิด
รัฐบาลจะลองนำไปคิดต่อกันดู ก็คงไม่ผิดกติกาอันใด
สำหรับตัวผู้เขียนเองนั้น ก็มีแนวความคิดในเรื่องกลยุทธ์ในการลดปัญหาความรุนแรง
โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่ายด้วย แต่การเสนอผ่านหน้าสื่อ
ดูจะไม่สมควร อย่างไรรับรองว่า ผมจะเสนอแน่...
ถ้าเรามีรัฐบาล ที่ดีกว่าชุดปัจจุบันนี้!

ปัญหาการก่อการร้ายที่ปักษ์ใต้นั้น ก็เป็นโจทก์ใหญ่ก็จริง
แต่โจทก์มหึมากว่า ผมว่ายังคงอยู่ที่กรุงเทพและจังหวัดทั่วไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนเอง ไม่สบายใจเอามากๆ และต้องนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ
ไม่กี่วันมานี้ ผมมีโอกาสได้นั่งแท็กซี่ และสนทนากับคนขับรถหลายเรื่อง
และคุยกันถึงเรื่องการโจมตีฐานทหาร เขาแสดงความเห็นด้วยความ สะใจว่า
สมน้ำหน้า แม่งงงงงง!



ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่า
ที่สะใจก็เพราะทหารได้แสดงความโหดเหี้ยม ในเหตุการณ์สังหารประชาชน
ที่ราชดำเนินและราชประสงค์ ปีที่แล้วนั่นเอง
ผมลองสดับตรับฟังดู ในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือข่าวเก่า
คนที่คิดอย่างโชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ มีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
คิดแล้วก็น่าใจหาย!
เมื่อครั้งที่บ้านเรา ยังที่การเผาศพทหารตำรวจและพลเรือน จำนวนมาก
ที่ต้องล้มตายไปในการสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์
ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นประจำปี หลายปีติดต่อกัน
ในยุคนั้นเรามีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่ให้กับผู้กล้าหาญ อย่างน่าประทับใจมาก
ประชาชนคนที่เป็นชาวบ้าน แม้จะไม่รู้จักผู้ตายคนไหนเลย
ต่างก็ไปร่วมงานอย่างคับคั่ง เพราะพวกเขาคิดว่า
คนเหล่านั้นเป็น วีรบุรุษเป็นผู้เสียสละให้ชาติไทยอันเป็นที่รักของเรา
เมื่อตายตามหน้าที่ พวกเขาก็ไปแสดงความเคารพ เป็นการเกียรติ กับ...
ผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน!

มาถึงวันนี้ ทหารจะตายก็ตายไป ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ
นอกจากไม่สนใจไต่ถามแล้ว ยังมีจำนวนมากที่สมน้ำหน้าให้เอาด้วย
อย่างนี้ก็มี!
ที่น่าแปลกใจจริงๆก็คือ เมื่อมีข่าวทหารไทยจะรบกับเขมร
ชาวบ้านคนไทยแท้ๆจำนวนไม่น้อย ก็พลอยดีใจ
เพราะอยากให้เขมร ช่วยล้างความรู้สึกคั่งแค้น ของพวกเขาออกไปบ้าง
หลังจากพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องถูกกลุ่มทหารสังหาร อย่างทมิฬหินชาติ จนอื้ออึงไปทั่วโลก

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ยามนี้ คนในบ้านเมืองของเรา นอกจากหมดรักกันแล้ว
ยัง เกลียดชังกันอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
น่าเป็นห่วงยิ่งนัก!

บ้านเมืองของเรา ไม่ใช่ ไทยรัฐแต่กลายเป็น ไทยร้าวเสียแล้ว!!

...............

(คอลัมน์ ไทยรัฐ-ไทยร้าว ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ.2554)


http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=276

จาตุรนต์ : ความเห็นต่อข้อเรียกร้องของพันธมิตร

ข้อ เรียกร้อง3ข้อของพันธมิตรนั้น เป็นข้อเสนอที่รัฐบาลไทย ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ควรทำตาม..บางทีอาจแฝงความพยายามที่จะทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรง ด้วยวัตถุประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนแบบที่หาเหตุหาผลตามปรกติไม่ได้ก็ได้



โดย จาตุรนต์ ฉายแสง
26 มกราคม 2554

ผม ได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติและกลุ่มพันธมิตรในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องที่ไม่ อาจมองข้ามละเลยได้

มาถึงเวลานี้ก็ชัดเจนแล้วว่า การเคลื่อนไหวนี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และต่อสถานะและเสถียรภาพของรัฐบาลไทยเองอย่างที่หลายฝ่ายอาจคาดไม่ถึงมาก่อน

ล่า สุดกลุ่มพันธมิตร นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมืองได้เสนอข้อเรียกร้อง 3 ข้อให้รัฐบาลดำเนินการภายใน 2 วัน มิฉะนั้นก็จะดำเนินการขั้นต่อไป พร้อมทั้งได้ประกาศด้วยว่า ไม่ชนะไม่เลิก(อีกแล้ว)

ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อดั่งที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วนั้น เป็นข้อเสนอที่รัฐบาลไทย ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ควรทำตาม เพราะเป็นข้อเรียกร้องที่มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสียหายมาก ยิ่งขึ้น และอาจจะเสียหายมากถึงกับกลายเป็นการกระทบกระทั่งหรือการรบกันระหว่างทหาร ของทั้งสองประเทศ

ในความเห็นผม สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับทั้งสองประเทศและสำหรับประเทศไทยเองด้วย ก็คือ การมีสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศรวมทั้งกัมพูชาด้วย

การ มีความสัมพันธ์ที่ดีควรจะเกิดจากการพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะร่วมมือกันใน ด้านต่างๆให้มากขึ้น ทั้งในด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การค้า การลงทุนฯลฯซึ่งทั้งสองประเทศมีศักยภาพที่ดีที่จะร่วมมือกันอยู่แล้ว

รวมทั้งยังมีพื้นฐานที่ดีจากการที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลและประชาชนของทั้งสองประเทศได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้แล้วด้วย

รัฐบาล ไทยก่อนการรัฐประหารเมื่อปี 2549 เคยมีนโยบายร่วมมือและช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านให้มากๆ ด้วยแนวความคิดว่ายิ่งประเทศเพื่อนบ้านดีขึ้นเท่าไร เราก็ดีขึ้นด้วยเท่านั้น

ผ่านมาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น เรากลับกำลังมีปัญหากับกัมพูชามากขึ้นๆ และกำลังมีความพยายามที่จะผลักดันให้ทั้งสองประเทศขัดแย้งกันจนถึงขั้นรบรา ฆ่าฟันกันไปเสียแล้ว

ปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศนั้นควรแก้ด้วยการ เจรจาหารือกัน เหมือนอย่างที่เราทำกับประเทศรอบบ้านเราจนมีผลสำเร็จด้วยดีเสมอมาซึ่งก็รวม ถึงกัมพูชาด้วย

มาถึงตอนนี้วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายรวมทั้งประเทศไทยเองก็คือการเจรจาหารือ ไม่ใช่ใช้กำลังเข้าใส่กัน การยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 จึงไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้สองประเทศถอยหลังกลับไปสู่ภาวะที่ตึงเครียด และเสี่ยงต่อการที่ปัญหาจะลุกลามบานปลายโดยไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย

การถอนตัวจากการเป็นกรรมการมรดกโลกก็เป็นสิ่งที่ไทยไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เสียโอกาสในการชี้แจงเรื่องราวต่างๆให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ไทย และไทยก็ไม่ได้มีเรื่องปราสาทพระวิหารอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ต้องอาศัยคณะ กรรมการนี้

เรายังต้องร่วมมือกับนานาประเทศในเรื่องต่างๆอีกมาก ไทยเราจึงควรแสดงความมีวุฒิภาวะที่พร้อมจะร่วมมือแก้ปัญหาต่างๆอย่างอารย ประเทศเขาทำกัน

สำหรับข้อเสนอข้อที่ 3 ที่เสนอให้ทหารไทยผลักดันประชาชนกัมพูชาให้ออกจากพื้นที่พิพาทนั้น ฟังผิวเผินก็อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ยาก เพราะหากไม่ทำก็เหมือนกับยินยอมยกดินแดนตรงนั้นให้กัมพูชาไป

แต่ ความจริงการจะแก้ปัญหานี้ รัฐบาลไทยควรให้หลักการตามที่กำหนดไว้ในเอ็มโอยู ปี 2543 คือต้องใช้การเจรจาหารือบนพื้นฐานของการพยายามร่วมกันแก้ปัญหาอย่างมิตรต่อ มิตรด้วยกัน จะดีกว่าการเผชิญหน้ากันด้วยกองกำลังทหารซึ่งอาจจะบานปลายเสียเปล่าๆ

สรุป ว่าผมไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรทั้ง 3 ข้อ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยจะทำตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตร และขอเสนอให้รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบ พยายามชี้แจงเหตุผลความเป็นมาให้ประชาชนเข้าใจ เคารพสิทธิของประชาชนในการชุมนุมและแสดงความคิดเห็น ไม่ใช้มาตรการหรือวิธีการใดๆที่รุนแรงเกินกว่าเหตุต่อประชาชนไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายไหนก็ตาม

ผมคิดว่าสังคมไทยควรมีการศึกษาทำความเข้าใจเรื่อง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในกรณีของไทย-กัมพูชากันอย่างจริงจัง เพื่อจะได้มีทางแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ไม่ไปผสมโรงกับการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะคลั่งชาติ ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศและความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ไว้บนหลักการที่ถูกต้อง

นอกจากนั้นยังควรช่วยกันติดตามเรื่องนี้ อย่างใกล้ชิด บางทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรในเรื่องนี้อาจไม่เพียงต้องการให้ไทยกับ กัมพูชาขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

แต่อาจแฝงความ พยายามที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่รุนแรง ด้วยวัตถุประสงค์ที่ลึกลับซับซ้อนแบบที่หาเหตุหาผลตามปรกติไม่ได้ก็ได้

http://chaturon.posterous.com/41019392


0000

รายงานเกี่ยวเนื่อง:

-กระบอกเสียงพธม.นับเลขผิดฟุ้งม็อบเรือนหมื่น สื่อนอกตบหน้าแค่2พัน หยันเสื้อแดงเดินเล่นยัง3หมื่น

-บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 9ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา กับปัญหาการต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตย

-จาตุรนต์:การเลือกตั้งครั้งต่อไป ยังจะมีความหมายอะไร

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 1/26/2011 04:45:00 หลังเที่ยง Share on Facebook

http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_26.html



ใจ อึ๊งภากรณ์:นับถอยหลังถึงวันเลือกตั้ง

ใจ อึ๊งภากรณ์ เสื้อแดงสังคมนิยม บรรยายให้พี่น้องเสื้อแดงสวีเดน ในงานชุมนุมรากหญ้าสังคมนิยมที่นครสต๊อกโฮล์ม เมื่อ 22 มกราคมที่ผ่านมา บรรยากาศเป็นไปด้วยอบอุ่นและมีชีวิตชีวา (ชมภาพชุด )



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

หมายเหตุไทยอีนิวส์:เราได้เซ็นเซอร์ถ้อยคำบางคำในบทความนี้ เพื่อให้เผยแพร่ได้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมายของไทยบางมาตรา

อภิสิทธิ์ประกาศว่าจะเลือกตั้งเร็วๆ นี้ เราจะเชื่อได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่อง เพราะนายกฯตัวนี้โกหกเป็นสันดาน

อย่าง ไรก็ตามเราทราบว่า ตามกติกาที่มันอ้าง มันต้องยุบสภาปีนี้ มันอาจเลือกปัดกติกาทิ้งด้วยข้ออ้าง ความไม่สงบก็ได้ ทหารอาจทำรัฐประหารก็ได้

แต่เราควรเข้าใจว่าการทำรัฐประหารหรือการ เลื่อนการเลือกตั้งออกไป จะมีผลเสียอย่างมากกับอำมาตย์เพราะจะทำให้ขาดความชอบธรรมเพิ่มขึ้นในสายตาคน ไทยและสายตาคนต่างประเทศ

นอกจากนี้การทำรัฐประหารจะเป็นการหมุน นาฬิกากลับไปสู่ ๑๙ กันยา ๒๕๔๙ ในขณะที่ไม่มีข้ออ้างที่น่าเชื่อถือเหลืออยู่เลย และรอบที่แล้วทหารก็แสดงตนว่าบริหารบ้านเมืองไม่เป็นอีกด้วย

ดังนั้นสิ่งที่อำมาตย์อยากทำมากที่สุดคือการชนะการเลือกตั้ง แต่ถ้าพรรคหลักของอำมาตย์ (ประชาธิปัตย์) จะชนะการเลือกตั้ง มันคงต้องโกง

ขั้นตอนการค่อยๆ โกงการเลือกตั้งเริ่มนานแล้ว และกำลังเดินหน้าทุกวันนี้ด้วยคือ

· -การถอนสิทธิ์นักการเมืองไทยรักไทย
· -การทำลายพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน
· -การเอาคนของอำมาตย์ไปไว้ใน กกต. กรรมการสิทธิ์ และการที่ศาลเข้าข้างอำมาตย์ ตรงนี้มีประโยชน์เพื่อแจกใบเหลืองใบแดงในอนาคตเพื่อลดเสียงพรรคเพื่อไทยใน สภา
· -การกดดันและซื้อตัว เนวิน ชิดชอบ
· -การคุมสื่อกระแสหลักทั้งหมดโดยอำมาตย์
· -การฆ่าคนเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์เพื่อหวังทำลายความมั่นใจ
· -การที่แกนนำเด่นๆ ของเสื้อแดงติดคุก หาเสียงไม่ได้หรือด้วยความยากลำบาก
· -การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มสส.สัดส่วน ซึ่งเป็นประโยชน์ให้ประชาธิปัตย์ในการลดอำนาจต่อรองจากพรรคงูเห่าเล็กๆ แต่ตรงนี้อาจให้ประโยชน์กับเพื่อไทยบ้าง
· -การที่นักการเมืองเลวๆ อย่าง เฉลิม อยู่บำรุง พร้อมจะออกจากเพื่อไทย



นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยเอง ซึ่งมีนักการเมืองหลายคนที่ไม่เคยออกมาทำอะไรกับขบวนการเสื้อแดง ไม่ยอมช่วยตัวเอง ไม่ยอม คิดใหม่ทำใหม่ด้วยนโยบายที่ครองใจประชาชน เช่นเสนอรัฐสวัสดิการอย่างถ้วนหน้า ครบวงจร ผ่านการเก็บภาษีจากคนรวย หรือเสนอให้ปฏิรูประบบยุติธรรม ฯลฯ มัวแต่อาศัยบุญเก่าจากไทยรักไทย จนเปิดโอกาสให้พรรคอำมาตย์ชนะได้

และถ้าพรรคอำมาตย์ชนะการเลือกตั้ง มันจะใช้อาวุธนี้เพื่อประโคมความชอบธรรมของมันและข่มขู่คนเสื้อแดงให้หมดกำลังใจในการต่อสู้

ดัง นั้นคนเสื้อแดงต้องเตรียมตัว ต้องไม่ตั้งความหวังทั้งหมดกับการเลือกตั้ง ต้องทำทุกอย่างเพื่อสกัดชัยชนะของประชาธิปัตย์ และต้องเตรียมรับมือถ้ามันชนะ เราต้องมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจนซึ่งจะใช้ได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเกิดอะไร ในรัฐสภา เช่น

1. -ต้องมีการลงโทษ อภิสิทธิ์ สุเทพ อนุพงษ์ ประยุทธิ์ ในฐานะที่เขาฆ่าประชาชน
2. -ต้องมีการปฏิรูปกองทัพและระบบยุติธรรมอย่างถอนรากถอนโคน
3. -ต้องเลิกการเซ็นเซอร์สื่อทุกชนิด ต้องเอาทหารออกจากสื่อมวลชน ต้องยกเลิกกฏหมายหมิ่นกษัตริย์
4. -ต้องมีการนำรัฐธรรมนูญปี ๔๐ กลับมาใช้ก่อนที่จะแก้รัฐธรรมนูญต่อไปให้ดีขึ้น
5. -ต้องลงโทษพันธมิตรฯ ที่ยึดสนามบิน และนายพลที่ทำรัฐประหาร
6. -ต้องเดินหน้าสร้างรัฐสวัสดิการ



ข้อ เรียกร้องแบบนี้เป็นรูปธรรมที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมวลชนได้ ไม่ว่าประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ และถ้าเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้ง เราต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจนและเป็นจริงในใจเรา เพื่ออธิบายให้คนอื่นฟัง

ในช่วงนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง พันธมิตรฟาสซิสต์เพื่อเผด็จการ กำลังวิ่งเต้นกระโดดให้คนมองมัน การยุให้เกิดสงครามกับเขมรอย่างบ้าคลั่ง

เป็น การพยายามเบี่ยงเบนประเด็นจากปัญหาเรื่องสำคัญเรื่องจริงในสังคม ไปสู่นิยายอันตรายที่อาจทำให้พี่น้องชาวไทยกับเขมรฆ่ากัน แต่มันสะท้อนให้เราเห็นว่าพันธมิตรฯกับพรรคการเมือง ใหม่ของมันกำลังหายไปในรูตูดมันเอง

ไม่ค่อยมีใครสนใจ อำมาตย์เองมองว่าเคยใช้งาน แต่ตอนนี้รำคาญเหมือนรำคาญยุงกัด ประชาธิปัตย์ใช้วิธีแข่งแนว หันหลัง และแอบตบ เพื่อลดบทบาทของพันธมิตรฯ ลงอีก อำมาตย์บางส่วนอาจเลี้ยงไว้บ้างเผื่อใช้งานอีก แต่ที่สำคัญอำมาตย์มองว่าต้องคุมให้ได้ ไม่ปล่อยให้พันธมิตรฯ มากำหนดวาระทางการเมือง

ทหารไทยระดับนายพลไม่ใช่ว่าจะฉลาด บ่อยครั้งก้าวร้าวหลงตัวเอง อาจมีบางคนที่โง่คิดทำรัฐประหาร ซึ่งจะทำลายความชอบธรรมทางการเมือง เรารับประกันว่าจะไม่เกิดไม่ได้

แต่มันมีอีกกรณีที่เขาอาจทำรัฐประหารด้วยเหตุผล คือกรณีที่นาย(เซ็นเซอร์)ถึงแก่กรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นทหารอาจรีบออกมาทำรัฐประหาร ประกาศภาวะฉุกเฉิน และตั้งรัฐบาลแห่งชาติ(หมา)

แต่ คนเสื้อแดงจะต้องไม่ร่วม จะต้องคัดค้านการทำลายประชาธิปไตยแบบนี้อย่างที่เราเคยทำ และเราจะต้องไม่ให้พวกเผด็จการนำเรื่องเจ้าๆ มาเป็นข้ออ้างในการปิดประเทศไทย เราทราบดีว่าคนไทยจำนวนมากอยากให้มันจบสักที ไม่อยากให้มี(เซ็นเซอร์)

เราต้องพยายามให้เป็นจริงเพื่อให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

********

เชิญฟังคลิปรายการวิทยุ ใจ อึ๊งภากรณ์ :เราจะปฏิวัติอำมาตย์อย่างไร
http://www.mediafire.com/?ym3zd0hiqm9p7sc

ติดตามงานของใจ อึ๊งภากรณ์

http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 1/28/2011 11:13:00 หลังเที่ยง Share on Facebook

http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_6174.html



วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

กษัตริย์ชิงออสการ์ โดย กาหลิบ



คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง กษัตริย์ชิงออสการ์
โดย กาหลิบ

คน ที่ชอบดูหนังทั่วโลกคงจะรู้จักรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกขานกันทั่วไปว่า รางวัลออสการ์ เป็นอย่างดี เมื่อวานนี้สถาบันผู้จัดได้ประกาศรายชื่อภาพยนตร์และบุคคลที่ได้เข้ารอบสุด ท้ายประจำปีล่าสุดนี้อย่างระทึกใจ ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่อง “The King’s Speech” ซึ่งเป็นผลงานจากอังกฤษ ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งคือ ๑๒ รางวัล และผู้แสดงนำฝ่ายชายคือ โคลิน เฟิร์ธ ก็ได้รับการคาดหมายว่าน่าจะคว้ารางวัลผู้แสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมมาครอง วันประกาศรางวัลคือ ๒๗ กุมภาพันธ์ปีนี้

ใครจะได้หรือไม่ได้อย่างไร เราคงไม่ได้นำมาพูดกันตรงนี้เพราะไม่ใช่เรื่อง แต่สิ่งที่น่าสะดุดใจเป็นที่สุดเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อมาก ที่สุดเรื่องนี้ คือความที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษโดยตรง และเป็นเสี้ยวหนึ่งจากประวัติศาสตร์จริงของ พระราชบิดาคือพระเจ้าจอร์ชที่ ๖ ผู้เป็นพระราชบิดาและเป็นกษัตริย์องค์ก่อนสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่ ๒ ผู้ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน

เรื่องที่นำมาสร้างมีพื้นฐานจากความจริง และเรื่องที่นำมาเสนอนั้นก็มิใช่เรื่องบวก ถึงจะลงท้ายดีแบบที่เรียกว่า happy ending ก็ตาม

หนัง เรื่องนี้เล่าถึงกษัตริย์องค์หนึ่งของอังกฤษ ผู้เกือบจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์และเกือบถูกปลดจากกษัตริย์ เพราะปัญหาความทุพพลภาพทางร่างกายอย่างหนึ่ง นั่นคือเป็นคนพูดติดอ่าง

ผู้ กำกับภาพยนตร์คือ ทอม ฮูเปอร์ เล่าเรื่องที่ออกจะประหลาดนี้อย่างน่าทึ่ง เรื่องง่ายๆ แต่ชวนให้เราติดตามได้อย่างระทึกใจ และร่วมลุ้นไปกับใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตลอดเรื่อง เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ใส่เข้ามาอย่างพอเหมาะพอดีจนออกมาเป็นหนังประวัติศาสตร์สถาบันกษัตริย์ที่ น่าติดตาม อารมณ์ขันก็ไม่ล้ำเส้น และความนับถือในโบราณราชประเพณีก็ยังดำรงอยู่ท่ามกลางอารมณ์ขันและรอยยิ้ม นั้น

รายละเอียดจากภาพยนตร์เรื่องนี้ขอไม่เล่า แต่แนะนำให้ท่านที่สนใจไปหาชมกันเอาเอง


ดู หนังเรื่อง “The King’s Speech” แล้ว สิ่งที่วิ่งตรงเข้ามาสู่ความรู้สึกนึกคิดคือ ประเทศอารยะที่เขายังคงรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้เป็นศรีแก่บ้านเมืองนั้น เขานำเรื่องของสถาบันนี้มาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ตลอดและอย่างกว้างขวาง

ผล การวิจารณ์ดังกล่าวแทนที่จะเป็นการ หมิ่นหรือทำให้เกิด ระคายเคืองกลับทำให้คนทั่วไปมองเห็นความงามของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ควรเป็น

นั่นคือเป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

พระ เจ้าจอร์ชที่ ๖ เป็นคนธรรมดาที่ต้องทำหน้าที่พระมหากษัตริย์ เมื่อติดอ่าง ก็รู้สึกทุกข์ร้อนและต้องแสวงหาทางที่จะพูดได้อย่างปกติ เพื่อทำหน้าที่พระมหากษัตริย์ เหมือนคนธรรมดาๆ ที่ต้องหาทางดับทุกข์ของตนเองไม่ว่าจะทุกข์เล็กหรือใหญ่

การต่อสู้ กับตัวเองด้วยหัวใจที่ถูกสั่งสอนให้อดทนมากเป็นพิเศษ ซึ่งบางคนอาจเรียกให้สวยหรูว่า ขัตติยะมานะก็เป็นบทเรียนสำหรับคนธรรมดาเดินดินผู้มิใช่เทพ มิใช่พรหม ไม่มีอำนาจจะไปไล่ล่าฆ่าฟันราษฎรที่ไหน

แต่เป็นผู้ใช้ความพยายามอย่างสูงส่ง ให้ได้รับความรักใคร่นับถือ และความยอมรับอย่างแท้จริงจากประชาชนของตนเอง

บทบาท ที่แสดงออกต่อสังคมก็เป็นการรักษาไว้ซึ่งครรลองทางวัฒนธรรมและสังคมของชาติ โดยเอาตัวเองและครอบครัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนทั้งชาติเขาอยากประพฤติ ปฏิบัติตาม บทบาทใดๆ ที่คนเขาลงความเห็นทั่วกันว่าชั่วว่าเลวก็อย่าเฉียดกรายเข้าไปใกล้

สิ่ง ที่ได้เห็นจากภาพยนตร์เรื่อง “The King’s Speech” จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของทุกสังคมที่กำลังดูสถาบันพระมหากษัตริย์ของตน เองอย่างพินิจพิเคราะห์และประเมินค่า ในข้อที่ว่า จะรักษาเอาไว้ให้งามอย่างไรในพุทธศักราชนี้

อย่ามาพูดกันง่ายๆ ว่าของฉันเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่อย่างนั้นจะยื่นหน้าไปรับอินเตอร์เน็ต 3G เทคโนโลยีดิจิตอล และความก้าวหน้าอื่นๆ ของโลกหาพระแสงอันใด


ดูหนังเรื่องนี้ แล้วลองคิดใคร่ครวญให้ดีว่า ระหว่างการไล่ฆ่า-จับติดคุก และการเปิดรับความรู้สึกของสังคมอย่างคนใจสูง วิธีใดจะรักษาสถาบันไว้ได้ดีกว่ากัน

แต่ก็อย่างว่า... คนที่ หลงขนาดเห็นว่าราษฎรมีศักดิ์ศรีต่ำกว่าสัตว์เลี้ยงของตน ดูสิบรอบก็คงดักดานเท่าเดิม.

http://www.democracy100percent.blogspot.com/

"ชาญวิทย์” ฟันธง ไพ่ชาตินิยมของพันธมิตร ...ลำบาก !!!



ใช้สงครามตัดสินไม่มีใครเล่นด้วย มันเสียหายมหาศาล

แม้ กระแส "ชาตินิยม" ที่เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ-สำนักสันติอโศก ซับเซ็ตของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่โหมประโคมมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ อาศัยกรณี 7 คนไทยโดนจับ จะดูเหมือน "จุดไม่ติด" ก็ตาม

แต่ก็อาจเป็นอาการหัวเทียนบอดชั่วครั้งชั่วคราว เพราะต้องไม่ลืมว่า "ไพ่" ขวาจัด-ชาตินิยม เคยถูกใช้เพื่อล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนสำเร็จมาแล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน

และหากย้อนไปไกลกว่านั้น รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็เคยปลุกกระแส "ชาตินิยม" ขึ้นเรียกร้องดินแดนคืนจากมหาอำนาจในเวลานั้น อย่างประเทศ "ฝรั่งเศส"

คล้ายกับว่า แนวคิด "ชาตินิยม" จะฝังแน่นอยู่ในดีเอ็นเอคนไทยจำนวนหนึ่ง รอให้คนมาสุมไฟ ในจังหวะ-โอกาส-สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็พร้อมจะลุกไหม้ขึ้นทันที แน่นอน คำถามก็คือ..เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" นักประวัติศาสตร์ชั้นนำของเมืองไทย จะมาอธิบายกำเนิด "ลัทธิชาตินิยม" ในเมืองไทย ผ่านข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ นับแต่การถือเกิดขึ้นของเขตแดน-แผนที่ ไปจนถึง "ตำราเรียน" ภูมิศาสตร์ที่เชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่จะต้องผ่านตามาแล้ว สมัยเรียนชั้นมัธยม

@ มีข้อสังเกตอะไรจากการเคลื่อนไหวของคนเสื้อเหลือง ต่อกรณี 7 คนไทยถูกจับบ้างครับ

ถ้าเราไม่รู้รายละเอียด ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องไปตรงนั้น เบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร มันยากที่จะวิเคราะห์ แต่เกมนี้คงจะยาว ในประวัติศาสตร์ สมัยก่อนมีแต่ไทยที่เคยจับกษัตริย์กัมพูชามาเป็นองค์ประกันในกรุงเทพ แต่ครั้งนี้กลับกัน ทำให้รัฐบาลพนมเปญมีไพ่ในมือ มีอำนาจต่อรองสูงมาก จึงน่าติดตามว่าจะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง ที่น่าสนใจอีกอย่างคือไพ่ชาตินิยม ปัจจุบันมีคนเล่นแค่ฝ่ายเสื้อเหลือง รัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-รมว.ต่างประเทศ-กองทัพ-ภาคธุรกิจ-คนเสื้อแดงไม่มีใคร เล่นด้วยเลย กระแสหลายสัปดาห์ที่ผ่านมามันเลยจุดไม่ติด จึงต้องมองไปที่วันนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าจะมีคนมามากน้อยขนาดไหน

@ ไพ่ชาตินิยมของกลุ่มพันธมิตรฯตกยุคแล้วหรือ

เรียกว่าอยู่ในฐานะลำบาก เพราะเป็นไพ่ใบเดียวที่เล่นได้ตอนนี้ เพราะไพ่เรื่องสถาบัน ไพ่คอร์รัปชั่น ไพ่ผลประโยชน์ทับซ้อน มันใช้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ผล

@ แต่ทำไมใช้สมัยรัฐบาลสมัครและสมชายได้ผล

เพราะตอนนั้น เป้าคือคุณสมัคร คุณสมชาย และคุณนภดล (ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ) มันเหมือนเป็นปัญหาชาติ และเรื่องเขตแดน แต่พอเป็นคุณอภิสิทธิ์ คุณกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยร่วมกันมาก่อน มันเลยกลายเป็นว่าปัญหาระหว่างกลุ่ม โกรธกัน ทะเลาะกัน เลยออกมาด่ากัน

ผมคิดว่า เหตุที่คุณอภิสิทธิ์ และคุณกษิต ไม่เล่นด้วยกับเกมของพันธมิตร เพราะกระแสโลกกดดัน อยากให้เจรจาแก้ปัญหา จึงต้องหันมาใช้ไม้นวมแทนไม่แข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามมาเป็นรัฐบาลในเวลานี้ เหลือง แดง หรือซาหริ่ม ก็ต้องใช้ไม้นวม Make Love Not War เพราะคนที่อยู่ในตำแหน่ง จะไปทำเหมือนตอนอยู่ข้างนอกไม่ได้อีก

@ ในทางประวัติศาสตร์ ปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาเกิดจากอะไร

ปัญหามันเกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเข้ามา ก็นำแผนที่ พิกัด การปักปันเขตแดนเข้ามาในภูมิภาคนี้ ทั้งที่สมัยนั้น ไม่มีหรอกคำว่าเขตแดน รัฐชาติก็ยังไม่มี ยังเป็นอาณาจักร ซึ่งอาณาจักรจะเล็กหรือใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับศูนย์กลาง ว่ามีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีมากก็ขยายกว้าง ถ้ามีน้อยก็หดลง ครั้งหนึ่งกัมพูชาเคยกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่พอเสื่อมก็หดลงอย่างที่เห็นปัจจุบัน เรื่องเขตแดนจึงเป็นมรดกของฝรั่งโดยแท้ ประเทศไทยก็รับมาจากสยาม กัมพูชาก็รับมาจากฝรั่งเศส ซึ่งบางคนคิดว่าไทยกับสยามเหมือนกัน ผมว่าไม่เหมือนนะ วิธีคิดไม่เหมือนกัน เหมือนกัมพูชาสมัยนั้นกับสมัยนี้ก็คิดไม่เหมือนกัน

@ สองฝ่ายเลยอ้างว่าพื้นที่ชายแดนเป็นของตัว มาพ.ศ.นี้แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร

มันก็เหมือนกับบ้านเรากับข้างบ้านล้ำรั้วเข้ามา 1 เมตร ก็ต้องเจรจาตกลงกันว่าเอาไง ถ้าไม่จบก็ค่อยไปฟ้องศาล เหมือนกรณีปราสาทพระวิหาร ที่สุดท้ายศาลโลกตัดสินให้เป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนน 9:3 กรณีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรและบ้านหนองจาน ควรทำไง 1.ต้องเจรจา เพราะเป็นปัญหาด้านเทคนิค 2.ถ้าเจรจาไม่ได้ต้องขึ้นศาลโลกใหม่ 3.ถ้าไม่ขึ้นศาลอาจจะต้องให้องค์กรกลาง เช่น ยูเอ็นหรืออาเซียน เข้ามาไกล่เกลี่ย และสุดท้าย 4.ถ้าหาข้อยุติไม่ได้ ก็ต้องใช้สงครามเป็นเครื่องตัดสิน ซึ่งต้องลุยให้จบ ไปถึงพนมเปญเลยนะ แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครเล่นด้วย เพราะความเสียหายมันมหาศาล

ผมว่าเรื่องนี้ต้องกลับไปเจรจา และต้องให้เป็นทางเทคนิค คนที่รู้เรื่องก็คือกรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม และกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้จบยาก อย่างดีที่สุดก็ทำให้เงียบไป เหมือนกรณีปราสาทพระวิหารสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ในปี พ.ศ.2506 ที่เพิ่งมาถูกปลุกอีกครั้งในปี พ.ศ.2551

@ เกมชาตินิยมของไทยสมัยก่อน มักจะใช้พม่าเป็นตัวละครสำคัญ แต่ทำไมปัจจุบันถึงกลายเป็นกัมพูชา

เพราะการเมืองภายในของเราเอง เขมรถูกคนกลุ่มหนึ่งใช้เป็นเกมในการล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งตามปกติแล้ว เกมชาตินิยมจะต้องถูกปลุกโดยชายไทย จบปริญญาตรี และเป็นคนกรุงเทพหรือเข้ามาชุบตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะคนเหล่านี้มันผลิตชาตินิยมมาใช้เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มันไม่เคยถูกปลุกโดยชาวบ้าน หรือผู้หญิง เหมือน อย่างกรณีชาตินิยมนาซีของเยอรมัน ชาตินิยมฟาสซิสต์ของอิตาลี ลัทธิทหารของญี่ปุ่น รวมถึงลัทธิทหารของไทย สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

สิ่งที่น่าสนใจคือ ชาตินิยมตอนนี้ ทำให้คนไทยแตกกัน แต่ทำให้คนกัมพูชาผนึกกัน กรณีปราสาทพระวิหารเป็นกรณีที่น่าศึกษามาก เพราะทำให้คนไทยตีกันที่บ้านภูมิซรอล (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) แต่กลับทำให้ฮุน เซน มีอำนาจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย จับตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคร่วมเป็นครั้งแรก ยิ่งตอนนี้ได้ตัวคนไทย 7 คนนั้นไป รัฐบาลพนมเปญก็ยิ่งมีไพ่ในมือให้เล่นมากขึ้น

@ เหตุใดรัฐบาลกัมพูชาจึงหันมาเล่นเกมนี้กับไทยด้วย

ผมสงสัยว่ามันเป็นความบังเอิญมากกว่า อย่างประเด็นปราสาทพระวิหาร ความจริงรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลสนับสนุน แม้กระทั่งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แปลว่าเป็นผลพลอยได้ของฮุนเซนจากความขัดแย้งทางการเมืองของไทย มากกว่าจะเกิดจากการวางแผน คือพูดง่ายๆว่าฮุนเซนได้ส้มหล่น (ยิ้ม)

@ ในอดีตเคยมีมวลชนไทยกลุ่มไหนลุกขึ้นมาปลุกกระแสชาตินิยมเหมือนที่กลุ่มพันธมิตรฯทำบ้างไหม แล้วจุดจบของขบวนการเหล่านั้นเป็นอย่างไร

กระแสชาตินิยมมันปลุกได้เป็นครั้งคราวแล้วแต่ประเด็น ถ้าประเด็นมันฮอตก็ปลุกขึ้นได้ แต่สมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ คนมีข้อมูลข่าวสารมาก ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่เคยรู้เฉพาะในหมู่ผู้ปกครองก็รู้กันมากขึ้น บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รุนแรงมาก เปลี่ยนจากความคิดเดิมมาเป็นความคิดใหม่ แต่หลายอย่างมันเปลี่ยนไม่ทันอย่างตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พูดเฉพาะการเสียดินแดน 14 ครั้ง แต่ไม่เคยบอกว่า ได้ดินแดนอะไรมาบ้าง

ถ้าคุณไปเปิดหนังสือ แผนที่ภูมิศาสตร์ไทยของ ทองใบ แตงน้อย ที่ให้เด็กม.4 ม.5 เรียน หนังสือเล่มนี้ได้สร้างอคติให้กับคนไทยได้อย่างวิเศษสุด เพราะทำให้มองอะไรด้านเดียว เขียนแผนที่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-อยุธยาว่ามีอาณาเขตเท่าไร ทั้งที่ในยุคนั้นยังไม่มีแผนที่ ไม่มีเขตแดน ยังเป็นอาณาจักรอยู่ การทำแผนที่ของไทย เริ่มครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ 5 ที่รัฐบาลสยามจ้าง James McCarthy ทำ แผนที่ เมื่อปี ค.ศ.1888/พ.ศ.2431 ก่อนหน้านั้นสยามไม่มีแผนที่ มีแต่แผนการเดินทัพ ซึ่งไม่ได้บอกเขตแดนอะไรเลย บอกแค่ว่าหงสาวดีมาเจอกับอยุธยาแถวๆนี้แหล่ะ แต่หนังสือของทองใบ กลับบอกว่าสุโขทัย-อยุธยามีเท่าไร แล้วเขียนแค่ว่าไทยเสียดินแดนไปเท่าไร โดยไม่ได้บอกว่าเคยได้มาเท่าไร ทำให้คนไทยคิดว่า ไอ้นี่ก็ของเราๆ

@ สมัยนั้นไทยยังไม่มีรัฐ ไม่มีชาติ เพราะไม่มีอาณาเขตแน่นอน?

แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามให้ทำครั้งแรก หรือแผนที่ McCarthy ตอน นั้นยังไปกินลาวและเขมรอยู่ แต่ค่อยๆหดลงไปเรื่อยๆ แต่เวลาทองใบ แดงน้อยเขียนหนังสือกลับบอกว่ามี ซึ่งหมายความว่า ตำราเรียนนั้นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็น"อประวัติศาสตร์" เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก อ.ธงชัย วินิจจะกูล เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นนี้ ถ้าไม่แก้ตำราเรียนของทองใบ แตงน้อย ก็ยากมากที่จะแก้ไขอคติของคน คนไทยก็จะบอกว่าไอ้นี่ก็ของเรา ทั้งที่ความจริงมันเป็นของเขา ลาวเป็นของใคร ก็ต้องของคนลาว แต่คนไทยเอามาหนหนึ่ง แล้วหลุดมือไป ถามว่าตอนนี้จะไปเอากลับมาได้ไหม ไม่ได้แล้ว..เพราะมันเกิดชาตินิยมในลาว หรือเราจะไปเอาเสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณคืนจากกัมพูชาได้หรือเปล่า..ก็ไม่ได้

@ ลัทธิชาตินิยมในไทยเริ่มตั้งแต่เมื่อไร

ถ้าอ่านในหนังสือชุมชนจินตกรรม (Imagined Communities) ของ Ben Anderson ลัทธิ ชาตินิยมน่าจะเริ่มราว 200 กว่าปีก่อน ปลายสมัยอยุธยา ที่อเมริกาประกาศปลดแอกจากอังกฤษ จากนั้นกระแสชานินิยมก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในฝรั่งเศส ละตินอเมริกา ก่อนจะแพร่มาถึงเรา กลายเป็นโมเดลโลก แม้สมัยก่อนรัฐชาติยังไม่เกิด ยังเป็นอาณาจักร หรือจักรวรรดิอยู่ ยังไม่มีพรมแดน เขตแดนที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับศูนย์กลางว่ามีอำนาจมาก-น้อยแค่ไหน แต่ภายหลังมาบอกว่าเขตแดน (Boundary) ต้องกำหนดให้ชัดเจน (Fix) ซึ่งในความจริงมัน Fix ไม่ได้ อย่างในอินโดนีเซีย ติมอร์ตะวันออกเขาไม่ Fix ด้วย สุดท้ายก็หลุดออกมา หรืออย่างสหภาพโซเวียต ถึงขั้นแตกไปเลย

@ ถ้ามัน Fix ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร

ง่ายสุดต้องเจรจา จากนั้นค่อยไปขึ้นศาลโลก ท้ายสุดถึงยกทัพ มันก็มีอยู่แค่เนี้ย แต่โดยมากจะทำไม่รู้ไม่ชี้ คุณเข้ามา กูก็เข้าไป ใช้ถนนร่วมกัน (หัวเราะ) แต่แน่ นอนว่า กรณีที่คนไทยถูกจับ คงทำให้เกมยืดเยื้อ ตกลงยาก บางอย่างอาจจะต้องเก็บไว้ก่อน เกมนี้เราเสียเปรียบ ที่ผ่านมาการทูตไทยถือว่ายอดเยี่ยมในอุษาคเนย์ ทำให้สยามเป็นเอกราชมาได้ชาติเดียว แต่ตอนนี้การทูตไทยตกต่ำ ปัญหาที่เกิดขึ้น จึงถือว่าแปลกใหม่ และอีรุงตุงนังไปหมด

@ คิดว่าเกมปั่นกระแสหนนี้จะจบลงอย่างไร

มันก็คงเดินไปจนสุดของมัน ธนูออกจากแล่ง ถ้าไม่หมดแรงเอง ก็คงไปชนอะไรเข้าสักอย่าง

( บางส่วนจาก บทสัมภาษณ์ ชาญวิทย์ เกษตรศิริปฐมบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในแบบเรียนภูมิศาสตร์ชั้นมัธยม โดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ เว็บศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฎิรูปประเทศไทย สำนักข่าว สถาบันอิศรา )

มติชน

http://www.go6tv.com/2011/01/blog-post_28.html