คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ขอโทษที่ไม่ยินดี
โดย กาหลิบ
เหตุ ที่ต้องขอโทษล่วงหน้า ก็เพราะใจอยากแสดงความยินดีจริงๆ ต่อแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดินทั้ง ๗ คนที่ได้รับการประกันตัวสู่อิสรภาพชั่วคราว ๙ เดือนในคุกเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน หากนานไปกว่านี้ก็อาจส่งผลกระทบถาวรในทางร่างกายและจิตใจได้ การได้ออกมาจึงเป็นความโล่งใจเปลาะหนึ่งของคนที่ยังมีมิตรภาพต่อกัน
แต่จะให้ถึงขั้นรู้สึกยินดีนั้น ทำไม่ได้และจะไม่ทำ
ความ จริงแทบไม่ต้องอธิบายเหตุผลเรื่องนี้กับผู้ร่วมอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับบางท่านที่เคลิบเคลิ้มกับละครฉากใหญ่ในบ้านเมืองขณะนี้ ซึ่งอาจจะงงงันสับสนว่า ทำไมถึงไม่ยินดีปรีดาไปกับท่านด้วย เราคงต้องลำดับความกันอีกสักครั้ง
ที่ยินดีไม่ได้ก็เพราะมีเหตุผลใหญ่ ๓ ประการ
ประการ แรก การปล่อยตัวแกนนำ ๗ คนจากเกือบสองร้อยคนสู่อิสรภาพชั่วคราว เกิดขึ้นใน ๒๔ ชั่วโมงเดียวกับการจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ สุรชัย แซ่ด่าน ประธานแดงสยาม หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมที่เจดีย์ขาวใกล้ท้องสนามหลวง ฐานความผิดที่นำมากล่าวหาคือมาตรา ๑๑๒ ของประมวลกฎหมายอาญา ตามอำนาจของรัฐธรรมนูญหมวด ๒ นั่นคือความผิดฐานหมิ่นกษัตริย์และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับกษัตริย์ การจู่โจมจับกุมครั้งนี้กระทำกันกลางดึกในซอยเปลี่ยวแถวนนทบุรี โดยคนที่เชื่อว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเป็นจำนวนมากที่มีอาวุธครบมือ
ไม่ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือข่าวกรองที่ไหนมาช่วยวิเคราะห์ สาธุชนย่อมเข้าใจได้เองว่า นี่ย่อมเกิดจากข้อตกลงระหว่างผู้มีอำนาจในเมืองไทยกับตัวแทนของฝ่าย นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ตัวแทนของผู้มีอำนาจจะเป็นใครไม่รู้ แต่ตัวแทนฝ่าย นปช.ฯ ชัดเจนแล้วว่าคือ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ที่คนทั้ง ๗ เดินทางไปกราบทันทีที่ก้าวออกมาจากคุก
คำ ถามคือข้อตกลงนั้นจะทำให้มวลชนของเราได้ประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้า นปช.ฯ ยอมรับเงื่อนไขของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยจนถึงขั้นจำกัดบทบาทตัวเองใน ทางการเมือง และยอมให้คนที่ลุกขึ้นสู้ด้วยความห้าวหาญอย่าง นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และพี่น้องร่วมคุกที่ไม่มีชื่อเสียงเท่าแกนนำทั้ง ๗ อีกเกือบสองร้อยคน ช่วยติดคุกแทนตน
ต่อ ให้ขึ้นเวทีแสดงอิทธิฤทธิ์หรือให้สัมภาษณ์ช่องแดงช่องเขียวกันอย่างหยาด เยิ้มว่าเราจะต่อสู้ต่อไปหรือเราจะไม่มีวันลืมเพื่อนร่วมคุก เราก็จะเห็นว่าเป้าหมายต่อสู้จะเหลือแค่พรรคประชาธิปัตย์กับบรรดาลูกน้องผู้ มีอำนาจ แต่จะเอาโวหารมาเชือดเฉือนอย่างมันปากจนชาวบ้านบางคนอาจหลงเชื่อว่าเป็นการ ต่อสู้อย่างแท้จริง เสียเวลามวลชนซ้ำซากกันไปอีกหลายเดือนหลายปีจนไดดเลือกตั้งสมใจ ท้ายที่สุดเมื่อมวลชนนึกขึ้นได้ว่าทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์ ก็อาจหมดแรงเลิกชุมนุมกันไปเอง ส่วนใครที่มันดื้อรั้นไม่ยอมก้มหัวให้ ก็จับใส่คุกแบบขังลืมหรือไล่ฆ่าอย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้เห็น หรือถึงทาง นปช.ฯ จะรู้เห็นก็คงไม่เข้ามาร่วมทุกข์ เหมือนที่ไม่ยอมเอ่ยปากถึงการจับกุมนายสุรชัยฯ แม้แต่คำเดียว เพราะอาจขัดผลประโยชน์และความสุขของตน
ประการ ที่สอง การไม่เจรจาเผื่อผู้ร่วมคุกอีกเกือบ ๒๐๐ คนซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรม และการที่แกนนำไม่ประกาศจุดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับมวลชนเหล่านั้น ถึงขั้นที่ควรปฏิเสธอิสรภาพ หากอิสรภาพนั้นจะตกอยู่กับคนเพียง ๗ คน เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่เป็นคุณต่อขบวนประชาธิปไตย
การ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จได้โดยคนเพียง ๗ คนหรืออดีตนายกรัฐมนตรี ๑ คน เราต้องขอความช่วยเหลือมวลชนจำนวนมากที่สุดให้เข้าร่วมในกิจกรรมที่หลากหลาย ที่สุด บนดิน ใต้ดิน ในเวทีชุมนุม นอกเวทีชุมนุม ทั้งงานที่มีองค์กรนำควบคุมชี้นำ และกิจกรรมธรรมชาติของมวลชน การส่งสัญญาณใดๆ ในขบวนจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมเช่นนี้เป็นสำคัญ
แนวคิดที่ว่าเอาตัวแกนนำออกมาก่อนเถิด มวลชนจะได้มี “หัว” คือแนวคิดที่ล้าหลัง น่าแปลกใจที่ยังมีผู้เชื่อว่า มวลชนตาสว่างในวันนี้สามารถ “ถูกนำ” ได้ มวลชนปัจจุบันก้าวหน้าและกล้าหาญกว่าเวทีมานานแล้ว ปรากฏการณ์ปัจจุบันที่เกิดแนว “แดงสยาม” ขึ้นควบกับ “นปช.แดงทั้งแผ่นดิน” ยิ่ง ทำให้สิ่งที่มวลชนลังเลและเคลือบแคลงใจในอดีตหมดสิ้นไป จากนี้ไปแนวคิดปฏิวัติย่อมจะชัดเจนขึ้น วิธีการในการบรรลุถึงเป้าหมายเท่านั้นเองที่ต้องวางกันให้ชัดเพื่อให้มวลชน ตาสว่างมองเห็นความเป็นไปได้
ประการ ที่สามซึ่งเป็นข้อสุดท้าย ในการเจรจาเยี่ยงนี้ วีรชนแห่งเดือนเมษายนและพฤษภาคมของเราที่ตายเป็นร้อยๆ หายไปไหน ความตายกลางถนนหลวงและกระจายไปทั่วประเทศไทย ด้วยฝีมือคนประเภทเดียวกับคนที่ตัวแทน นปช.ฯ ไปเจรจาด้วย ไม่มีความสำคัญใดๆ เลยหรือ
ใคร เตรียมจัดงานเฉลิมฉลอง หรือจะจัดคอนเสิร์ตแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างไรก็ทำไปเถิด แต่ใจเราไม่อาจยอมรับการก้าวข้ามศพวีรชนกันอย่างนี้ได้
หวังว่าเหตุผลสามประการนี้คงชัดเจนพอสำหรับคนที่มีหัวใจ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น