เรื่อง รัฐประหารหรือไม่?
โดย กาหลิบ
วันนี้ คงจะไม่เอาธงอะไรมาฟันว่าการยึดอำนาจโดยกำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้ครองอำนาจ ทางการเมืองหรือที่เรียกกันว่าการรัฐประหารนั้น จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้หรือไม่ เพราะศาสตร์ที่ไหนจะมาพยากรณ์ได้ว่ามนุษย์เดินดินเพียงสองคนหรืออย่างมากก็ สามคนจะเปลี่ยนใจไปทางไหน
ตราบ ใดที่เมืองไทยทั้งเมืองยังอยู่ภายใต้ร่มเงาที่อยู่มานานหลายสิบปีจนเกือบ ดักดาน จะไม่มีวันวิเคราะห์เมืองไทยอย่างเป็นระบบและสร้างทฤษฎีอันน่าเชื่อถือขึ้น มาได้เลย เพราะระบอบการปกครองนี้ขึ้นกับตัวคนเพียงคนเดียว คนก็เดาใจไม่ได้ หมาก็เดาใจไม่ถูก
แต่ จะลองนำปัจจัยที่น่าสนใจมาใส่รวมกัน เผื่อจะได้เข้าใจร่วมกันว่าเมืองไทยถอยหลังไปอยู่ตรงไหนของแผนที่อารยธรรม โลกและคาดการณ์อะไรได้บ้าง
เหตุปัจจัยที่ทำให้กระแสเรื่องรัฐประหารฟูเฟื่องขึ้นมาอีกครั้งมีดังนี้
๑. มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยทั้งที่ใช้สีแดงเป็นเครื่องหมายและหลากสี มีจำนวนมากขึ้นอย่างน่ากลัวสำหรับผู้ครองอำนาจรัฐ แถมมวลชนเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนใจหรือปรับจุดยืนอีกแล้ว กลับปักหลักปักฐานอย่างชนิดที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ถ้าปล่อยนานไปก็จะมีลักษณะถาวร
๒. อดีตนายกรัฐมนตรีระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ คือคุณทักษิณฯ ถึงยังได้รับความนิยมยกย่องจากคนเป็นอันมากอยู่ แต่เริ่มมีลักษณะเป็นแนวร่วมกับมวลชนในข้อ ๑ มากขึ้น และลดความเป็นผู้นำหรือผู้บัญชาการมวลชนชนิดสั่งซ้ายหันขวาหันได้ตามใจ “ปัจจัยทักษิณ” เป็นคุณต่อฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นด้วยเหตุนี้และความเป็น “โทษ” ก็ ลดลงมาก เครือข่ายประชาธิปไตยอันแท้จริงจึงค่อยๆ เกิดขึ้นและต่อไปจะมีอิทธิพลยิ่งกว่าเครือข่ายที่จัดตั้งหรือประสานงานโดย นักการเมืองอาชีพ
๓. ทีมกฎหมายต่างประเทศของคุณทักษิณฯ ตัดสินใจใช้ไม้ตายในการเล่นงาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในข้อหาสั่งฆ่าประชาชน ด้วยการหยิบประเด็นที่คุณอภิสิทธิ์ฯ มีสัญชาติควบคืออังกฤษ ทำให้มีฐานะที่สามารถถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในกรอบของศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ได้ ถึงไทยมิได้เป็นภาคีของหน่วยงานนี้ก็ตาม เรื่องนี้ผู้ใหญ่หมายเลขหนึ่งต้องตัดสินใจว่า จะปล่อยอภิสิทธิ์ตายไปคนเดียว หรือจะเข้าปกป้องเพื่อแสดงว่าใช้งานใครแล้วไม่ทิ้ง
๔. ความแตกแยกในกองทัพบกเริ่มเด่นชัด นานไปจะเกิดความสงสัยได้ว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถสั่งการในกองทัพในยามวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากปล่อยไปเนิ่นนาน ก็จะเพิ่มโอกาสตอกลิ่มกองทัพโดยมือของคนในและคนนอกจนสั่งรัฐประหารไม่ได้
๕. ความขัดแย้งภายในครอบครัวแห่งอำนาจ ซึ่งนานไปก็จะถ่างกว้างขึ้นจนไม่มีจุดบรรจบ จนนำตัวละครที่เกี่ยวข้องมาปะทะกันด้วยทุกอำนาจที่ต่างคนต่างมีในมือได้ สงครามกลางเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับมวลชนธรรมดาอาจจะเกิดขึ้นก่อน และนำสถาบันทางสังคมไปสู่จุดจบได้อย่างไม่คาดฝัน
แต่ ปัญหาที่ทำให้การเลือกตั้งอาจสอดตัวเข้ามาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเห็นว่าสมประโยชน์ของ ตัวนั้น ก็เพราะผู้มีอำนาจสั่งรัฐประหารสองสามคนในเมืองไทยเริ่มเกิดความหวาดระแวง กันเอง
ฝ่าย หญิงเร่งเร้าให้ทำรัฐประหาร เพราะรู้สึกว่าความมั่นคงของตนเองและพวกกำลังลดลง ยิ่งได้เห็นตัวอย่างของการลุกฮือในตูนิเซีย เยเมน ซูดาน อียิปต์ และจอร์แดนก็ยิ่งขนลุก กลัวคนไทยจะได้รับความมั่นใจจากกระแสโลกในครั้งนี้
ฝ่าย ชายไม่แน่ใจว่า ถ้ารัฐประหารแล้วตนเองจะกลายเป็นเหยื่อของการรัฐประหารในเวลาอัสดง หรือไม่ เพราะไม่แน่ใจว่าจะคุมสถานการณ์อยู่ ถึงในใจจะรู้ว่าโอกาสจะเลี่ยงรัฐประหารมีน้อยลงทุกวัน แต่ก็เกรงว่าผลกระทบจากการกดปุ่มอีกครั้งจะย้อนกลับมาเป็นกรรมสนองกรรมตน จึงยังลังเลอยู่
ถ้า เลือกวิธีการเลือกตั้งก็จะสั่งให้ยุบสภาและเลือกตั้งในภายในช่วงสองเดือนนี้ เลย แต่ต้องแน่ใจว่าประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และพรรคแนวร่วมฝ่ายตน จะสามารถกีดกั้นมิให้พรรคเพื่อไทยฉวยโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้ก่อน ซึ่งไม่มีใครสามารถยืนยันได้อย่างไม่กลัวหัวขาด
ถ้า ประกันผลนั้นไม่ได้ ก็ต้องจำใจกดปุ่มรัฐประหาร แล้วเสี่ยงผลเอาทีหลังว่าจะจบสิ้นศักราชกันเพียงเท่านี้หรือไม่สำหรับคณะคน บาปแห่งเกาะเมืองแก้ว
สรุปแล้วทางเลือกของลุงก็คือนรกขุมที่หนึ่งและนรกขุมที่สองเท่านั้นเอง.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น