คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง สิบวันอันตราย
โดย กาหลิบ
ช่วง เวลาตั้งแต่วันนี้ (วันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) ไปจนถึงวันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ดูเหมือนจะเป็นเวลาแห่งความแปรปรวนอีกครั้งของเมืองไทย เพราะสิ่งบ่งชี้ต่างๆ ส่อถึงความเร่งรัดและกดดันของผู้มีอำนาจรัฐในเมืองไทย เวลาเช่นนี้อะไรก็เกิดขึ้นก็ได้ สิ่งที่จะเกิดนั้นอาจจะเป็นข่าวสาธารณะอันโด่งดังก็ได้ หรือจะเป็นการใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอย่างเงียบๆ ก็ได้เช่นกัน
หลาย คนคิดว่าสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาที่ชายแดนเชื่อมจังหวัดศรีสะเกษ-พระ วิหารซึ่งได้ระเบิดขึ้นเป็นสงครามขนาดเล็ก คือเหตุที่จะกระทบต่อการเมืองในประเทศไทย แต่ความจริงเรื่องนี้มิได้เป็น “เหตุ” ของเรื่องเลย แต่สถานการณ์นี้คือ “ผล” ของแผนเปลี่ยนแปลงการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบกันอยู่ในชั่วโมงนี้
พูด ให้ชัดก็คือ สถานการณ์รบที่ชายแดนคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กรุงเทพมหานคร ไม่ใช่สถานการณ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้ฝ่ายกัมพูชาเองก็ดูจะเข้าใจดี สังเกตตรงที่เขาไม่ชวนรบต่อ แต่กลับยื่นประท้วงตรงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่รับเรื่อง ของเขาโดยพลัน
การ เกี่ยวเอาองค์การสหประชาชาติเข้ามาอย่างทันควัน เกือบทำให้ยุทธวิธีของจอมวางแผนแห่งระบอบศักดินา-อำมาตย์ไทยต้องตกราง ฝ่ายนั้นคาดไว้ว่ากัมพูชาจะตกหลุมด้วยการรบพุ่งอย่างรุนแรง ชนิดไม่มองซ้ายมองขวา ยิ่งมีข่าวว่าสมเด็จฮุนเซ็นส่งลูกชายสองคนมาร่วมรบด้วยก็ยิ่งกระหยิ่มใจ ใครบางคนรายงานตรงขึ้นไปบนตึกหลายชั้นทีเดียวว่า กัมพูชาเข้าหลุมพรางที่ฝ่ายตนวางเอาไว้แล้ว ขอให้ท่านสั่งการลงมาเถิดว่าจะให้ฉวยโอกาสฆ่า ทำลาย กวาดล้าง และทำลายคนเสื้อแดง ที่บัดนี้ท่านถือว่าเป็นศัตรูหลักของท่านด้วยวิธีไหนและอย่างไร
ประ ยุทธ จันทร์โอชา เสนอเอากองทัพบกทำรัฐประหาร แต่ต้องชิงธงกับสายที่ยังพอมีบารมีเหลืออยู่บ้างของ ประวิตร วงศ์สุวรรณ ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัวแปรในสายนี้คือ ดาว์พงศ์ รัตนสุวรรณ ที่แปลกแยกอยู่ในใจระหว่างนาย พี่ และเพื่อน ก็คงรอคำสั่งสวรรค์เพื่อให้หมดกรรม
ประสงค์ สุ่นศิริ สนธิ ลิ้มทองกูล และจำลอง ศรีเมือง เสนอแผนป่วนเมืองด้วยปาก เพื่อแหย่ให้มีสงครามเบี่ยงความสนใจไปเสียที่ชายแดน ขู่ไว้ด้วยว่าพันธมิตรฯ จะเดินทางไปที่นั่น ถึงเวลาก็แบ่งไปชนิดนับได้ว่าไม่กี่ตัว แล้วเอากำลังที่บางราวกับเส้นผมของ สมศักดิ์ โกศัยสุข คงไว้ใช้งานที่ทำเนียบฯ
กษิต ภิรมย์ วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกำลังแก้ไขปัญหา แต่ความจริงก็วิ่งให้มันวุ่นไปอย่างนั้นเอง จะได้เกิดภาพว่าไทยกำลังมีปัญหาระหว่างประเทศอยู่จริงๆ
สุ รเกียรติ์ เสถียรไทย เล่นบทตัวกลาง วางตัวเป็นทนายความของผู้มีอำนาจสูงสุด ต่อรองมันทุกด้านเผื่อด้านไหนจะให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับตัวเองก่อน รวมทั้งกับอดีตนายกรัฐมนตรีไกลบ้าน
เน วิน ชิดชอบ ก็หวังส้มหล่นอยู่เต็มที่ หากสุดท้ายข้างบนไม่กล้ากดปุ่มรัฐประหารแบบโฉ่งฉ่าง ก็อาจรัฐประหารเงียบ ด้วยการกดดันให้อภิสิทธิ์ฯ ลาออกหรือยุบสภาผู้แทนราษฎร แล้วผ่องถ่ายอำนาจมายังพรรคภูมิใจไทยให้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เพื่อสกัดหนทางสู่อำนาจของพรรคเพื่อไทย
ทั้ง หมดนี้จะเกิดหรือไม่เกิดอยู่ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เอง เพราะสถานการณ์ชายแดนที่ไปจุดไว้มีแนวโน้มว่าจะดับไม่ได้ดั่งใจ ทีมกฎหมายอัมสเตอร์ดัม-เปรอฟเกิดค้นพบวิธีส่งอภิสิทธิ์ฯ ขึ้นเขียงที่ ICC หรือศาลอาญาระหว่างประเทศและกำลังเร่งคดี พันธมิตรฯ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลหมดน้ำยาเรียกคนมาร่วมประท้วง จนเหลือแต่ผีตายซากจำนวน
เพียงหยิบมือเดียว นานไปภาพก็จะฟ้องต่อคนทั้งหลายว่าปลุกกระแสไม่ขึ้นเหมือนคนล่มปากอ่าว ฯลฯ
ทั้ง หมดนี้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกำลังนั่งนอนมองอย่างสบายใจ จุดยืนของฝ่ายแดงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง กำลังถูกเปรียบเทียบกับฝ่ายเสื้อเหลืองที่แปรปรวนวูบวาบ หรือไม่ก็ฝ่ายสีชมพูกับหลากสีที่หุบปากหุบคำไปแล้ว
แดงที่มีลักษณะมั่นคงและขยายจำนวนแผ่กว้างไปเรื่อยๆ ย่อมเป็นภัยคุกคามต่อใครก็ตามที่นอนรักษาอำนาจอยู่อย่างดื้อรั้น
แต่พฤติกรรมตามประวัติศาสตร์บอกเราว่า “เขา” ไม่เคยยอมให้บรรยากาศเช่นนี้ดำรงอยู่ได้นานนัก
ในเร็ววันนี้อะไรจึงต้องเกิดขึ้นสักอย่าง จะเงียบเชียบหรือดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไรไม่รู้.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น