หยุดตาบอดคลำประชาธิปไตย
เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ที่ผมจะย้อนเวลากลับไปซุกตัวเงียบๆอยู่ในซอกหลืบของโลกหนังสือ ไม่ว่าจะในฐานะคนอยู่เบื้องหลัง หรือแม้กระทั่งพยายามเขียนสิ่งที่ตั้งใจจะเขียนเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ใน เวลานี้ หรือไม่ก็พาตัวเข้าไปอยู่ในท่ามกลางมิตรสหายฝ่ายประชาธิปไตยอย่างที่ไมีมี ใครรู้จักเหมือนเมื่อก่อนเดือนธันวาคม 2552 ผมเขียนอะไรน้อยลง นำเสนออะไรน้อยลง กระทบกระทั่งผู้คนน้อยลง พลางก็นั่งดูการเคลื่อนไหวเป็นไป อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ผมไม่ใช่นักพูดในที่สาธารณะ... อีกนัยหนึ่งคือ ผมไม่ได้เป็นนักวิชาการ อย่างที่ใครๆมักจะยัดเยียดให้ผมเป็น ผมเป็นแค่คนเรียนจบมัธยม ที่ไม่ยอมให้ตัวเองมีชีวิตอยู่กับความไม่รู้เท่านั้นเอง
จะเป็นด้วยวัยที่ความฮึกห้าวถูกแทนที่ด้วยความยับยั้งชั่งใจ หรือประสบการณ์เฉพาะตัวในการไม่ยอมก้อมหัวให้เผด็จการทรราชย์ และความมุ่งมั่นที่จะทุ่มอุทิศตัวแก่ภารกิจประชาธิปไตยนับจากวัยหนุ่มตลอด ระยะเวลาเฉียด 40 ปี คืออุปสรรคสำคัญในการสื่อสารกับผู้คนสมัยใหม่ และในจำนวนประสบการณ์นั้นคือประสบการณ์ที่หลายๆในขบวนสู้รบของประชาชนมักจะ กู่ร้องกันเสมอในยามยากลำบาก
"สู้..พ่ายแพ้ สู้ใหม่...พ่ายแพ้ สู้ใหม่จนชัยได้มา...."
ขณะเดียวกับที่วาทกรรมติดปากในระยะใกล้ๆ คือ คือ รู้หรือไหม ว่า... "ต่างฝ่ายต่างสู้อยู่กับใคร"
แต่คำถามที่มาก่อนคำถามอื่นก็ยังคงไม่ถูกถามอยู่นั่นเอง คือคำถามที่เกือบจะพบคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จคือ "รู้ๆกันอยู่แล้ว" หรือไม่ก็ "พูดไม่ได้" นั่นคือคำถามที่ว่า "สู้เพื่ออะไร"
แล้ว ขบวนก็ขับเคลื่อนไปวันต่อวัน สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ขบวนแถวที่ผู้คนมองเห็นแต่ฝูงชนเป็นกลุ่มก้อน คลุกเคล้าเข้าด้วยอารมณ์ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน พูดจาไปในทิศทางเดียวกัน กับเรื่องราวเฉพาะหน้า กับเป้าหมายรูปธรรมเฉพาะหน้า สิ่งที่ยังคงขาดหาย คือ "การใส่ใจ" ที่จะรับฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ใน "ความเห็นที่แตกต่าง" ออกไป รวมทั้งที่เริ่มตระหนักการวิเคราะห์รูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม
จนถึงเวลานี้ ในประเทศนี้ยังไม่เคยเกิดสิ่งที่เรียกว่า "แนวร่วมแห่งชาติ" ที่มีเป้าหมายเป็นเอกภาพชัดเจน ทั้งในรูปแบบความคิดทางประชาธิปไตย และทั้งที่เป็นเค้าโครงรูปการปกครองที่กำลังฟันฝ่าให้ได้มาก น่าเสียดาย ที่หลายคนยังคงยืนยันว่า "งวงคือช้าง" ขณะที่อีกหลายคนประกาศหนักแน่นว่า "งาคือช้าง"หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ "หางคือช้าง"
จากประสบการณ์ความเจ็บปวดชอกช้ำในความเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด 2 ปี บางทีนี่อาจถึงเวลาแล้วที่ประชาชน โดยเฉพาะประชาชนเสื้อแดง จะต้องเปิดใจให้กว้าง เพื่อจะค้นพบให้ได้ว่า "ช้างประชาธิปไตย" มีรูปร่างหน้าตาที่เป็นองค์รวมอย่างไร.
ประชาธิปไตยจงเจริญ ประชาชนจงเจริญ
ด้วยภราดรภาพ
รุ่งโรจน์ วรรณศูทร
10 ตุลาคม 2553; 01:46 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น