
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง มูบารัคลาออก
โดย กาหลิบ
ขณะ ที่เขียนบทความอยู่นี้ ผู้ประท้วงอียิปต์เป็นแสนๆ กำลังโห่ร้องแสดงความยินดีสุดขีด เมื่อรู้ข่าวว่า ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัค ที่ครองอำนาจมานานกว่า ๓๐ ปี ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว
ผู้ ออกมาแถลงข่าวนี้ทางโทรทัศน์แห่งชาติของอียิปต์คือ รองประธานาธิบดี โอมาร์ สุไลมาน ผู้เป็นเป้าหมายหนึ่งของการประท้วงต่อต้าน โดยเฉพาะเมื่อเขากล่าวอย่างชัดเจนไปทั่วประเทศและทั่วโลกเมื่อไม่กี่วันนี้ ว่าอียิปต์และคนอียิปต์ยังไม่พร้อมต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถึงคำพูดสั้นๆ ว่า “ประธานาธิบดีฮอสนี่ มูบารัคได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีของรัฐต่อหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ของอียิปต์” จะ เป็นเหตุให้คนอียิปต์ส่วนใหญ่รู้สึกลิงโลดใจ แต่ก็ยังไม่ชัดนักว่า รักษาการประธานาธิบดีอย่างนายสุไลมานจะอยู่ร่วมโลกกับขบวนประชาธิปไตย อียิปต์อย่างไรต่อไปเมื่อหัวใจและอุดมการณ์แตกต่างกันถึงเพียงนั้น
ใน ขณะที่เสียงยินดีดังกึกก้องไปทั้งจัตุรัสตาเฮียร์กลางกรุงไคโรและนครอเล็ก ซานเดีย เราควรลองพิจารณาโดยใช้สติว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ในประเทศที่สำคัญในโลกอาหรับ ประเทศนี้
การลาออก “ต่อหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ของอียิปต์” นั้น เป็นวิธีสื่อสารที่ค่อนข้างชัดว่าผู้นำของอียิปต์คงมิได้ลาออกอย่างสมัครใจ หรือด้วยตนเอง แต่ถูกบังคับด้วยคนถืออาวุธที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของตนมากกว่า
มิหนำซ้ำยังเอ่ยถึงคำว่า “สภากลาโหม” ของประเทศในฐานะผู้ “ใช้อำนาจ” แทนเสียด้วย
ครับ มูบารัคคงจะถูกรัฐประหารเงียบเข้าให้แล้ว
วันนี้ คือวันศุกร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันนัดหมายประท้วงครั้งใหญ่ในอียิปต์ จุดประสงค์อันชัดเจนและเป็นสาธารณะคือการกดดันเรียกร้องให้ประธานาธิบดีมูบา รัคลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่แม่ทัพนายกองของอียิปต์ก็รีบเข้าหารือกันว่าจะรับมือกับสถานการณ์ดัง กล่าวนี้อย่างไร
เวลา ผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง คำประกาศลาออกก็ปรากฏขึ้น ภาษาที่ใช้อธิบายอย่างสั้นๆ ก็สื่อความหมายว่าชนชั้นปกครองในอียิปต์ได้ตัดสินใจร่วมกันแล้วว่าจะไม่ ท้าทายประชาชนที่กำลังแสดงสิทธิ์ประท้วงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แนวโน้มเมื่อตอนเย็นชี้ว่าขบวนประท้วงอาจจะเคลื่อนเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของ ทำเนียบประธานาธิบดีได้ ซึ่งหากเกิดปรากฎการณ์เช่นนั้น โอกาสที่จะเกิดการปะทะชนิดเสียเลือดเสียเนื้อคงจะมีมาก
สุด ท้ายก็ต้องถอดชนวนสถานการณ์ด้วยการบีบให้ประธานาธิบดีผู้เป็นนายพลเก่าและ เป็นรองประธานาธิบดีของอันวาร์ ซาดัตต้องลาออกไปทั้งที่เจ้าตัวไม่สมัครใจและประกาศแล้วว่าจะอยู่ต่อไป
คำถามคือ สิ่งที่ดีใจกันมากว่าเป็น “ชัยชนะ” ของ ประชาชนชาวอียิปต์ในขณะนี้ คือชัยชนะเหนือตัวบุคคลผู้มีอำนาจล้นพ้นอย่างมูบารัคเพียงคนเดียว หรือเป็นชัยชนะเหนือเหล่าผู้มีอำนาจในอียิปต์ที่ยังอยู่ในอำนาจกันอีกมากมาย กันแน่?
ตัว บุคคลอย่าง โอมาร์ สุไลมาน รักษาการประธานาธิบดี ที่ประชาชนกำลังโกรธแค้นกันมากในทัศนะว่าอียิปต์ควรเป็นเผด็จการต่อไปและไม่ พร้อมต่อระบอบประชาธิปไตย คณะผู้บัญชาการทหารที่ร่วมกันกดดันอย่างหนักจนอาจถึงขั้นเอาปืนจ่อหัวผู้ที่ เคยเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐให้ลาออกหรือไม่ก็ไม่รู้นั้น คือมิตรหรือศัตรูของประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย?
ประชาชนชาวอียิปต์ได้รับ “ชัยชนะ” เปลาะนี้แล้ว ยังต้องเตรียมใจและเตรียมกายไว้รอสู้รบอีกรอบหนึ่งกับ โอมาร์ สุไลมาน และคณะทหารเหล่านี้หรือไม่?
เหล่า นี้ล้วนเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เพราะเสียงเช่นนี้ย่อมจางหายไปกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของคนที่คิดว่า ตนเองได้รับชัยชนะแล้ว เช่นในอียิปต์ขณะนี้
เราควรร่วมยินดีกับเพื่อนชาวประชาธิปไตยอียิปต์ที่ออกแรงอย่างได้ผล สามารถเปลี่ยนตัวหัวของประเทศได้ด้วยความมุ่งมั่นและกล้าหาญของตน
การ ไล่ประธานาธิบดีเผด็จการออกจากตำแหน่งได้หนึ่งคนถือเป็นความก้าวหน้าอย่าง สำคัญที่มองข้ามมิได้ แต่การรุรังเผด็จการเหมือนล้มจอมปลวกลงทั้งอันนั้น ยังเป็นภารกิจต่อเนื่องที่หัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความปีติในค่ำคืนนี้อาจยัง ไม่ได้คิดหรือไม่อยากจะคิด
อย่าง ไรก็ตาม เราต้องแสดงความยินดีจากหัวใจสู่พี่น้องของเราในอียิปต์ และในใจก็หวังอย่างเหลือเกินว่าชาวประชาธิปไตยไทยคงจะตามไปติดๆ ในไม่ช้า.
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น