ลมแห่ง กรรม...กำลังพัดย้อน!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมฟังเทปคำบรรยายธรรมของพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งทางสถานีวิทยุของ ‘ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา’ นำมาเผยแพร่ ซึ่งท่านสอนพระนวกะ เรื่อง ‘ลัทธิกรรมเก่า’ เอาไว้น่าสนใจ
ท่านได้อรรถาธิบายว่า ลัทธินอกศาสนา 3 ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ หรือ ติตถายตนะ เกี่ยวกับสุขทุกข์ทั้งปวงและความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์ มีอยู่ 3 ลัทธิ คือ ปุพเพกตเหตุวาท (ลัทธิกรรมเก่า) อิสสรนิมมานเหตุวาท (ลัทธิพระเป็นเจ้า) อเหตุอปัจจัยวาท (ลัทธิไม่มีเหตุปัจจัย)
ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้ง เป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อยังเยาว์วัยผมได้รับการศึกษาที่ วชิราวุธ วิทยาลัย ทุกเช้าจะต้องสวดมนต์รวมที่หอประชุมใหญ่ บทสวดก็ไม่ซ้ำจะเปลี่ยนไปทุกวัน ตามแต่ทางโรงเรียนจะกำหนด โดยนักเรียนทุกคน มีหนังสือสวดมนต์เล่มเขื่องอยู่ในมือ และนักเรียนจะต้องดูป้ายบอกหน้าหนังสือที่จะต้องสวด ติดแสดงไว้ให้ทราบว่า วันนี้จะสวดบทไหน
การสวดนี้นอกจากสวดตามลำดับหน้า ในหนังสือสวดมนต์ที่แจ้งให้ทราบแล้ว จะต้องสวดตามทำนองที่กำหนดด้วย เช่น สรภัญญะ อินทรวิเชียร หรือสวดแบบธรรมดา ซึ่งเขาจะกำหนดไว้เสร็จสรรพ
ตกค่ำเมื่อเข้าห้องฝึกฝนตนเองเสร็จเรียบร้อย ก่อนนอนจะต้องสวดมนต์ทำวัตรเย็นฉบับย่อ ซึ่งเป็นบทเดียวกับที่สวดในโรงเรียนทหารตำรวจ เพียงแต่ในโรงเรียนทหาร-ตำรวจ จะต้องกล่าวคำปฏิญาณตนบท “ข้าจะ จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” ก่อนจะร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นอันเสร็จการสวดมนต์เย็น แล้วแยกย้ายกันเข้าห้องนอน
พุทธสุภาษิตที่นักเรียนวชิราวุธจำได้ดี เพราะปรากฏในหนังสือสวดมนตร์ และต้องสวดสม่ำเสมอ คือ
ยา ทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
แปลว่า
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว
ด้วยเหตุที่มีการซึมซับทางพระศาสนาอย่างนี้เอง ผมจึงเชื่อในเรื่อง ‘กรรม’ โดยปราศจากข้อสงสัยมานานแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ ก็มีข้อพิสูจน์ถึงเรื่องกรรม
ขอยกบางเรื่อง มาให้ท่านผู้อ่าน ได้พิจารณากันในวันนี้
ฝ่ายทหารที่เคยวางเฉย เมื่อคราวพันธมารบุกรัฐสภา เพื่อกดดันไม่ให้มีการแถลงนโยบายรัฐบาลนายกฯสมชาย แต่เมื่อเดือนเมษาฯปีกลาย (พ.ศ.2552) ทหารกลับร่วมมือกับรัฐบาลนายอภิแสบฯ เข้าปราบปรามประชาชน จนเกิดกรณี ‘สงกรานต์เลือด’ หลัง จากนั้นก็รู้สึกร่าเริงตน ที่เป็นฝ่ายกำชัยเอาไว้ได้
การปะทะในปีกลาย กลุ่มพลเมืองผู้ชุมนุมฝ่ายเสื้อแดง ต่างก็นึกไม่ถึงว่า ทหารจะออกลูกโหด ถึงกับใช้ปืนที่เป็นอาวุธสงคราม ยิงใส่ชาวบ้าน ที่มีแต่มือเปล่า รวมทั้งยังมีการสร้างสถานการณ์ซ้ำเติม ด้วยการเผารถเมล์ แล้วป้ายสีว่า เป็นการกระทำของฝ่ายชาวบ้านผู้พ่ายแพ้
เหตุการณ์ดังกล่าว แม้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านไปแล้ว รัฐบาลพรรคดักดานก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่า ที่ฝ่ายรัฐบาลเรียกว่าเป็น
การ “เผาบ้าน-เผาเมือง” นั้น
เป็นการกระทำกระทำของใคร สร้างฉากลวงหรือเปล่า!?
ทั้งนี้ เหตุผลก็เพราะ จับใครมาดำเนินคดีไม่ได้เลย แม้แต่คนเดียว การดำเนินคดีทั้งหมด กลับเงียบสนิท เหมือนเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหา ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในประเทศนี้!!
แต่...ไม่น่าเชื่อจริงๆ ครับว่า...
แค่เวลาทอดยาวเพียง 1 ปี เท่านั้น ‘กรรม วาตะ’ เริ่มพัดย้อนเข้าใส่นายอภิแสบฯและคณะรัฐบาล ที่ยังเพลิดเพลินกับชัยชนะของตน และยังร่ายวาทะ กระหน่ำซ้ำเติมฝ่าย ‘คนเสื้อแดง’ อย่าง สม่ำเสมอ มิได้ขาด
นอกจากนี้ ‘ลมแห่งกรรม’ ยังพัดตระบึงเข้าใส่คนที่อ้างหลักการพิกลอย่าง ‘นายพลหัวถลอก’ หรือ พล.อ.อนุพงษ์ฯ เข้าอย่างจัง!
ลางร้ายของทั้งรัฐบาล และทหารใหญ่ปัจจุบัน ที่สมัครสมานกันอย่างดี จนถูกกระหน่ำเรื่องทุจริตร่วมกันอย่างถี่ยิบ ได้ฉายแววออกมาให้ได้เห็น
ทั้งนี้เพราะ...
เพียงเริ่มปฏิบัติการ ผลักดันประชาชน วาตะเทพได้แสดง
พลานุภาพแห่งกรรม ให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการพัดเอากลุ่มควันสารเคมีจากแก็สน้ำตา ที่ทหารขว้างใส่ประชาชน กลับ ย้อนเล่นงานกองทหารเอง ทั้งที่สมรภูมิลาดหลุมแก้ว และแนวรบย่านราชดำเนิน!
เป็นที่น่า...อัศจรรย์แท้ๆ!
ที่แนวรบสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินนั้นหนักหนาสาหัส เพราะลมพัดเอาสารเคมีจากแก๊สน้ำตา แทรกซึมเข้าไปในรถหุ้มเกราะสายพาน พิษของสารเล่นงานเอาพลประจำรถ ถึงกับหมอบกระแตอยู่ในห้องโดยสาร จนขับเคลื่อนยานต่อไปไม่ได้ ทำให้กองร้อยรถสายพานลำเลียง 6 คันถูกยึด พลประจำรถโดนควบคุมตัว ที่หนีกระเซอะกระเซิงกลับไปได้ มีเพียง 3 คัน นี่ยังไม่นับรวมพาหนะอื่นอีกหลายคันที่ถูกยึด และได้รับคามเสียหายขนาดหนัก
นับเป็นโชคดีของผู้ชุมนุม เพราะหากยานเกราะจำนวนนี้ ซึ่งบรรทุกอาวุธจริงเต็มอัตราศึก หลุดเล็ดลอดเข้าไปในถนนราชดำเนิน ฉากการกวาดล้าฆ่าฟังชาวบ้านผู้ชุมนุม แบบเดียวกับกรณีเหตุเกิดขึ้นที่ ‘จัตุรัสเทียนอันเหมิน’ ก็อาจเกิดขึ้นในประเทศของเรา ให้ชาวโลกได้เห็น และจะนำมาซึ่งความวิปโยคอย่างสาหัสสู่ชาติไทย อันเป็นที่รักของเราก็ได้
คราวนี้ เราลองมองย้อนไป อีกสักนิด
เมื่อเมษายนปีที่แล้ว (พ.ศ.2552) ทหารจากกองพลที่ 2 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยหลักในการเข้าปราบปรามประชาชน ทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บ และสูญหาย แต่ผู้เสียหายและญาติ ไม่เคยได้รับความกระจ่างจากทางการ แถมเมื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม ยังถูกพูดจาเสียดสี เยาะเย้ย ให้เจ็บช้ำน้ำใจ จากไอ้พวกนักการเมืองซีกรัฐบาลซ้ำด้วย
ความคับแค้นยิ่งถูกสั่งสม ทับถม ให้แน่นหนาเข้าไปอีก!
และแล้ว...หนึ่งปีแห่งการสั่งสมความแค้น จากสงกรานต์ปีก่อน มาถึงวันสุกดิบก่อนสงกรานต์ในปีนี้...
การ ‘แก้มือ’ ก็เกิดขึ้น!
(กรุณาดูรายละเอียดตามบทความของผม ชื่อ “ทหารอย่าข่มเพื่อน พลเรือนก็เท่าทหาร”)
ไม่น่าเชื่อจริงๆครับ ว่า
แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น ‘ลมแห่งกรรม’ ก็ได้พัดย้อน มาสนองทหารหน่วยนี้เข้าบ้าง แต่ฉากเปลี่ยนไป จากผู้ที่รุกไล่ด้วยความ
ฮึก เหิมเมื่อปีก่อน และมุ่งมั่นจะปฏิบัติการซ้ำอีกครั้งในปีนี้ โดยยังหลงลำพองในชัยชนะ
แต่มาปีนี้ กองพลปราบประชาชน กลับเจอเข้าบ้างแบบเต็มๆ จนต้องตกที่นั่งลำบากสาหัส กลายเป็นผู้ ‘แตกพ่าย’ ตายคาที่รบก็มี ที่บาดเจ็บหนัก เพื่อนต้องลากหนีตายกันอย่างทุลักทุเล ก็ปรากฏให้เห็น
เป็นการปราชัยอย่างน่าขายหน้า หมดท่า และเสียราคา โดยน้ำมือของชาวบ้าน ทหารเสือที่ยังเหลือรอด ก็ต้องม้วนเสื่อ...
ซมซาน...กลับค่ายกันไป!
ดูเหตุการณ์แล้ว ให้สมเพทเวทนาทหารเพื่อนร่วมชาติ ที่ไร้ประสบการณ์รบทัพจับศึกกับชาติศัตรู นอกจากรบกับคนชาติเดียวกันเอง ต้องกลับเป็นฝ่ายมาตาย และบาดเจ็บมากมาย ในการต่อสู้ที่ไม่มีเกียรติยศอันใดเลย เพราะเป็นการปราบปรามประชาชนคนไทย เพื่อนร่วมชาติด้วยกันเองเท่านั้น
ความเสียหายนั้น ผู้คนในวงการทหารถึงกับใช้คำพูดว่า
ละลายลง...แทบจะทั้งกองพล!
ครับ...กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น เคยสมัครสมานสามัคคีกับขบวนการพันธมาร รุกไล่ทั้งรัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย มาอย่างต่อเนื่อง มาบัดนี้ ต้องเผชิญหน้ากับการสมัครสมานสามัคคี ของพรรคเพื่อไทยกับขบวนการคนเสื้อแดงเข้าบ้าง
นี่ ก็...กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
ด้านนายอภิแสบฯ ผู้เคยร้องทุกข์กับ ป.ป.ช.ให้ดำเนินคดีกับตำรวจ กรณีพันธมารปะทะตำรวจแล้วมีผู้ชุมนุมตาย เพราะถูกระเบิดที่นำติดตัวมาระเบิดใส่ตัว กับผู้ที่พยายามวางระเบิด แต่กลับถูกระเบิดสังหารที่ตัวเองเป็นคนวางเข้าให้
เหตุการณ์เกิดเมื่อปีกลาย 7 ต.ค.2551
เวลาผ่านไปมาเพียงปีกว่าเท่านั้น พอมาถึงถึงปีนี้ นาย
อภิแสบฯก็ตกที่ นั่งร้าย โดนเรื่องการปราบปรามและสังหารประชาชนอย่างทมิฬหินชาติเข้าบ้าง คราวนี้คนตายมากกว่าเยอะแยะ และบาดเจ็บอีกเป็นเรือนพัน
เรื่องนี้ ทางญาติผู้ตายไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่ หากพรรคประชาธิปัตย์พ้นจากอำนาจ นายมาร์ค มุกควาย กับพวกจะหนีการเป็นจำเลย เรื่องสังหารหมู่ประชาชนไม่พ้นอย่างแน่นอน เพราะอายุความนั้น ยังอีกยาวนานเหลือเกิน
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ...อีกเช่นกัน
บรรยากาศของบ้านเมือง ที่มีการฆ่าฟันประชาชนอย่างเวลานี้ ทำให้คนสูงวัยอย่างผม ไม่มีอารมณ์ในการเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ท่านผู้อ่านฟัง แต่อยากให้ท่านทั้งหลายลองดูความเห็น ตามข้อเขียนของผม เมื่อ 25 มีนาคม 2553 ตอน “เฮ้ย!...ไอ้พวกมึง!!... ‘แดก’ กันพอหรือยัง!!!” (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=214) ที่เขียนเตือนฝ่ายทหารเอาไว้ ไม่ให้อุ้มรัฐบาลอีกต่อไป
ผมว่าเอาไว้ อย่างนี้ครับ
...วันนี้ หากเห็นแก่ประเทศ ไม่อยากให้บ้านเมืองเดือดร้อน ทหารก็แค่ไปพูดกับหัวโจกรัฐบาลว่า
“เฮ้ย!...อภิแสบ อย่าให้บ้านเมืองวุ่นวายต่อไปเลยวะ ยุบสภาเหอะ...อั๊ว ‘อุ้ม’ ลื้อต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ”
แค่นี้...ทหารพูดไม่ได้!
แต่ทีรัฐบาลสมัคร-สมชาย ทหารไล่กระทืบเอ๊า...กระทืบเอา...แปลกจริงๆ!
ทำไมถึงทหาร ถึงพูดไม่ได้ล่ะ!!?...
หากนายพลอนุพงศ์ฯฟังความเห็นของผม แล้วหยิบไปใคร่ครวญสักหน่อย เลิก “อุ้ม” รัฐบาลทรลักษณ์เสียที ป่านนี้เรื่องร้ายๆ ที่ทำให้ผู้คนต้องล้มตาย ก็คงไม่เกิดกับทหารของกองทัพ และประชาชนอย่างแน่นอน
ถ้าฟังกันไว้บ้าง หลังเกษียณแล้ว มิสเตอร์หัวถอกก็ยังคงออกรอบตีกอล์ฟได้สบายใจ ด้วยไร้เรื่องทุกข์ แต่เพราะไปอุ้มพวกกาลี จากนี้ไปชีวิตของเขา ก็คงหาความเป็นปกติสุข ได้ยากเต็มที
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
อีกเช่นกัน!
ก่อนจบ ขอพาท่านผู้อ่านย้อนไปดูท้ายบทความชื่อ บ้านเมืองของเรานั้น ‘ความยุติธรรม’ ได้สูญสิ้นไปแล้ว! (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=205) ที่ ผมเขียนเอาไว้ เมื่อ 19 ก.พ.2553 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งในคดียึดทรัพย์สำคัญ
ผมว่าเอาไว้ อย่างนี้ครับ
...เฉพาะความเกลียดชังของชาวบ้าน ต่อคนที่มีอำนาจในปัจจุบัน ที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ จากการพิจารณาของศาลในครั้งนี้ มาตั้งแต่ยังไม่มีคำตัดสิน แต่ก็ได้ใช้สื่อของรัฐที่ฝ่ายตนควบคุม ปลุกระดม บ่มเพาะความแตกแยก ให้ผู้คนในบ้านในเมือง เพียงเพื่อให้ฝ่ายตนอยู่ต่อในอำนาจ เพื่อจะได้ ‘มูมมาม’ กันต่อไปในตำแหน่ง...ก็เท่านั้นเอง
แต่ความแตกแยกของผู้คน ยิ่งแผ่ขยาย กว้างไกลไปสุดกู่...
...น่าหดหู่ใจนัก!!
เผลอๆเราอาจต้องใส่เงินทองของชาติ ลงไปอีกหลายแสนล้าน เพื่อ ซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง แต่ถึงแม้จะซ่อมได้ก็คงไม่เหมือนเดิม เหมือนแก้วแตกเอาเศษมาปะติดใหม่ อย่างไรอย่างนั้น
ถ้าบังเอิญ ประเทศของเรา...โชคร้าย
อาจต้องสังเวยด้วยชีวิตคนเป็น จำนวนมาก ถ้าหากความ ไม่สงบเกิดขึ้นในแผ่นดินจริงๆ เพราะประชาชนคนในชาติ คงยอมไม่ได้ ด้วยเขาเห็นเป็นที่ประจักษ์ ชัดเจนแล้วว่า
บ้านเมืองของเรานั้น ‘ความยุติธรรม’ ได้สูญสิ้นไปแล้ว!...
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ
การคาดการณ์ซึ่งเป็น ‘คำเตือน’ จากใจของผม มาถึงวันนี้ ลองพิจารณาดูเถิดครับว่า
มี ตรงไหน ที่ยังไม่ถูกต้องบ้างครับ?
บัดนี้ เหตุการณ์ที่ผมว่าเอาไว้ ได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งความสูญเสียชีวิตคน และทรัพย์สินเงินทอง แต่อาจยังไม่ครบทั้งหมด เช่น ยังไม่ได้ยอดเงิน ที่ต้องเติมเข้าไป เพื่อซ่อมแซมระบบต่างๆ ที่ชำรุดไป
จึงยังไม่รู้ว่าเงินที่ยึดจากทักษิณนั้น จะเพียงพอสำหรับการซ่อมแซมประเทศ ที่ต้องเสียหายไปในครั้งนี้หรือไม่
หรือยังขาดอีก...ต้องเติมลงไปอีก กี่แสนล้านบาท!?
ที่สำคัญคือ หากนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม ยังคงดื้อดึงดันยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป...
ชีวิตของผู้คนอีกกี่สิบ กี่ร้อย ที่ต้องทับถมกัน ลงไปอีก!!?
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
ครับ... ลมแห่งกรรม กำลังพัดย้อน!!!
-----------
หมายเหตุ สัปดาห์ก่อน เขียนเรื่อง ‘ศิวลึงค์’ กลางราชประสงค์
(‘สี่แยก-ไสยา ศาสตร์’) เพื่อนๆที่อยู่ในวงสนทนาประจำ พากันชอบใจ เขาบอกว่าเขียนแปลกดี รูปประกอบก็ ชูชัน งามสง่า ดูแข็งแรง ทระนงองอาจ เลยคิดว่า
หากบ้านเมืองเป็นปกติ มีรอยยิ้มให้กันและกัน ก็อยากเขียนบทความขึ้นมาสักเรื่อง แข่งกับขบวนการที่รัฐบาลและทหาร ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อว่า จัดสร้างขึ้นทั้งบททั้งฉาก โดยผมจะใช้ชื่อขบวนการของตัวเอง ว่า
“ขบวนการ...ล้มจู๋ !!!”
ก็ต้องช่วยภาวนา ให้บ้านเมืองของเราร่มเย็นเป็นสุข คนเขียนจะได้มีอารมณ์เบิกบาน ท่านผู้อ่านจะได้อ่านเรื่องสนุกๆที่สร้างรอยยิ้มกันบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น