แซมมวล โคลท์ (Samuel Colt) ผู้ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งปืนลูกโม่" ได้กล่าวถ้อยคำที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของวงการปืนเอาไว้ว่า
“Be not afraid of any man no matter what his size; when danger threatens, call on me, and I will equalize.”
แปลเป็นสำนวนทื่อๆ ก็ได้ว่า
“อย่าไปกลัวไอ้มนุษย์หน้าไหน ไม่ว่ามันจะตัวใหญ่โต บิ๊กเบิ้มสักแค่ไหน เมื่ออันตรายมาคุกคามคุณ ก็จงเรียกใช้ผมเถอะ แล้วผมจะทำให้มันสมดุลเอง”
ปืนที่ใช้ระบบลูกโม่ จากการค้นคิดของแซมมวล โคลท์ ทำให้การยิงง่ายขึ้น ไม่มีปัญหาระหว่างการยิง เพราะหากลูกกระสุนด้าน เมื่อเหนี่ยวไกต่อ ลูกโม่ก็จะพลิก และนำกระสุนใหม่ถัดไปขึ้นอยู่ในตำแหน่งรังเพลิง พร้อมสำหรับการยิงนัดต่อไป โดยไม่ต้องกังวลกับการคัดกระสุน ที่ใช้การไม่ได้แล้ว ออกไปเสียก่อน
ปืนลูกโม่ของคุณทวดแซมมวล โคลท์ นั้น คว่ำคนที่ตัวโตก
ว่าได้ชะงัดนัก แกจึงโอ่ถึงนวัตกรรมใหม่ของตัวเอง (ในยุคนั้น) ว่า เป็นการปรับสมดุลให้ผู้ที่มีร่างกายเล็ก สามารถขึ้นไปวัดดวง หรือจัดการกับคนตัวใหญ่กว่าได้อย่างง่ายดาย เพียงเหนี่ยวไกปืนลูกโม่ของคุณทวดเท่านั้น
อาวุธปืนนั้น นอกจากเป็น ‘เครื่องทุ่นแรง’ ในการป้องกันตนเองแล้ว ยังสามารถนำไปไปเป็นยมทูต ใช้สังหารผู้อื่นได้ไม่ยากเย็น ถ้าหากคนที่ถือปืนอยู่ ขาดความยับยั้งชั่งใจ ก็หันมาเลือกใช้มันเป็นเครื่องทุ่นแรง ในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน แทนการใช้กฎหมาย และเพราะอานุภาพของปืนนี่แหละ มีหลายคนที่เห็นช่องทางหาเงิน จากการรับขจัดความขัดแย้ง โดยรับเป็นผู้ลงมือแทนคู่กรณี อาสาปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามให้ ทั้งนี้มีการเรียกรับผลประโยชน์เป็นตัวเงิน เป็นค่าตอบแทน ซึ่งเป็นการรับจ้างอย่างหนึ่ง เราจึงเรียกคนพวกนี้ว่า “มือปืนรับจ้าง” หรือเรียกกันโดยย่อว่า
“มือปืน”
มีการศึกษาวิจัยเรื่อง ‘มือ ปืน’ ในสถาบันต่างๆ เช่นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ในมหาวิทยาลัยต่างๆ แม้กระทั่งในสถานศึกษาชั้นสูง อย่างวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) ก็ยังมีการทำวิทยานิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับ ‘มือปืน’ ด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ ‘เรื่องเล็ก’ เสียแล้ว
เมื่อปี พ.ศ.2549 ผมได้ยินนักศึกษาปริญญาโทสตรีคนหนึ่ง (ไม่ทันได้ฟังชื่อของเธอ) ให้สัมภาษณ์วิทยุ การทำวิทยานิพนธ์ของเธอเรื่องมือปืน โดยหาข้อมูลจากผู้ถูกตัดสินให้ลงโทษจำคุก เธอผู้นี้บอกว่า
จากการศึกษาพบว่าสาเหตุคนกลายมา เป็น‘มือปืน’ ที่สำคัญก็คือเรื่องเงินเป็นหลักนั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รู้กันมานมนานแล้ว แต่คนที่หันเข้ามาวงจรนี้ เมื่อกระทำความผิดแล้วยังไม่ถูกจับก็ย่ามใจ
จนเมื่อต้องติดคุกนั่นแหละ จึงจะสำนึกได้!
ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เรื่องของ ‘มือปืน’ เมืองไทย นั้น ยังไม่หมดลงง่ายๆ เพราะยังมีคนยังยากจนอยู่ และ
ผู้นิยมแก้ปัญหา ด้วยความรุนแรงนั้น ก็มิได้หมดไปจากสังคม เราจึงเห็นบางหมู่บ้าน ผู้คนนิยมการเป็น ‘มือปืน’ กันเกือบทั้งหมู่ แถมยังมีการผ่องถ่ายประสบการณ์ให้แก่กัน ตั้งแต่รุ่นพ่อ อา น้า มาถึงชั้นลูกและหลาน
อย่างไรก็ตาม มันก็มีคนที่เกิดมาในโลก โดยพ่อแม่ของตัวก็ไม่เคยประกอบกรรมชั่ว แต่เจ้าตัวกลับเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ฆ่าคนอื่นได้ ทั้งๆที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคือง หรือยังไม่ทันจะถูกจ้างวานเลยก็มี
จะขอเล่า ให้ท่านผู้อ่านฟังสักเรื่อง
เจ้าของร้านอาหารชื่อดังภาคเหนือตอนล่าง จะกำจัดคู่แข่งทางการค้า แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้เหนียว เขาไปจ้างเด็กอายุไม่ถึงสิบห้าที่คนบอกว่า ‘ใจ ถึง’ มารับงานฆ่าคน
ระหว่างนั่งรถกันมา ผู้ว่าจ้างซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า เด็กขนาดนี้จะทำงานเป็นมือสังหารได้หรือไม่ จึงถามเยาวชนที่รับจ้างฆ่าคนว่า
ใจถึงและกล้ายิงคนจริงๆหรือ?
เด็กที่กำลังจะกลายเป็น ‘มือปืน’ บอกเรียบๆว่า
“เอาปืนมา ผมจะยิงให้ดู!”
คนจ้างส่งปืนพกสั้นให้ เด็กจึงบอกให้จอดรถ ขณะนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกจากตรอก เพื่อขึ้นรถที่ถนนใหญ่ และไปทำงานตามปกติ เด็กคนนี้เปิดประตูรถลงไป เอาปืนยิงเปรี้ยงๆไป 2 นัด ชายผู้เคราะห์ร้ายถึงแก่ความตาย ไอ้คนยิงเดินกลับมาขึ้นรถ
หน้า เฉยตาเฉย!
กว่าตำรวจจับมือปืนเยาวชนรายนี้ได้ เวลาล่วงสองถึงสามปี ซึ่งเจ้าตัวถูกจับได้ในคดีอื่น รับสารภาพในคดีที่ถูกจับ แต่ดันยอมรับการกระทำผิดอื่นๆของตัวเอง จนกระทั่งโยงมาถึงคดีแรก คือยิงคนโชว์ผู้ว่าจ้าง
นายตำรวจคนสอบสวนตะลึง ถึงกับยกมือลูบอกตัวเอง พูดออกมาว่า
“ทำไมมึงถึงอำมหิต อย่างนี้ก็ไม่รู้!!”
เหมือนลูกยักษ์ ลูกมารมาเกิดจริงๆ!!!
ตั้งแต่กรุงเทพฯ เกิดเหตุวุ่นวาย ตลอดเดือน เม.ย.และ พ.ค.2553 ยุครัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย (หรือฉายาใหม่ “นายมาร์ค
ร้อยศพ”) มีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการยิงกัน ฆ่าฟันกัน ทั้งการฆ่าซึ่งๆหน้าและการลอบฆ่า แถมยังมีเรื่องอาวุธปืน นักแม่นปืน พลซุ่มยิง การซุ่มยิงฯลฯ เข้ามาเกี่ยวข้องอีรุงตุงนัง จนกลายเป็นหัวข้อทำให้ทั้งสื่อรวมทั้งชาวบ้าน วิพากษ์วิจารณ์และพูดกันอย่างกว้างขวาง
นอกจากนั้น ก็ยังมีการออกข่าวทั้งของรัฐบาล ทหาร และฝ่ายผู้ชุมนุม ต่างพยายามโยนกลองความผิดให้แก่กันและกัน จนวุ่นวายไปหมด
ประชาชน อย่างเราๆท่านๆ ฟังแล้วงง เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายไหนให้ข่าวจริง หรือฝ่ายไหนกันแน่...
...ที่ตอแหล...ไม่หยุด!
ดังนั้น ในฐานะที่ตัวผู้เขียนเองเคยฝึกอบรมมา และเป็นครูผู้ฝึกในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย ทั้งในและต่างประเทศ ต้องขออธิบายคำซึ่งมีความหมายที่ใกล้เคียง แต่แตกต่างกันมากคือคำว่า “นักแม่นปืน” และ “พลซุ่มยิง” ให้พอเข้าใจถึงความแตกต่าง ดังนี้
“นักแม่นปืน” นั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sharp Shooter พวกนี้ยิงเป้าเก่ง มีหลายชั้น ไล่มาตามลำดับความสมารถในการใช้มือ อย่างสถาบันตำรวจสหรัฐ ก็มักจะกำหนดไว้ตั้งแต่ชั้นแรกคือ Marksmanship, สูงขึ้นไปก็เป็นระดับ Sharpshooter, Expert และชั้นสูงสุดระดับครูฝึกก็คือ Master
ส่วน “พลซุ่มยิง” ที่เรียกว่า Sniper นั้น พวกนี้เป็นมีหน้าที่ลอบยิง มีความสามารถยิงได้ทั้งเป้าหมายที่เป็นข้าศึก โดย
ไม่เลือกว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก แม้แต่ทารก คนพวกนี้ต้องยิงให้ได้ทั้งหมด ไม่เลือกเป้าหมายว่าเป็นคนหรือเป็นใคร เพียงเพื่อให้บรรลุภารกิจ ที่ตนเองได้รับการบรรจุมอบเท่านั้น
ดังนั้น Sniper จึงเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ เพราะในหมู่นักแม่นปืนจำนวน 100 คน บางครั้งยังหา Sniper หรือพลซุ่มยิง
ไม่ได้สักคน!
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Enemy at the Gates ซึ่งเป็นเรื่องชีวิตของทหารตัวเล็กๆ ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ที่กลาย เป็นวีรบุรุษชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่ปรากฏว่า
วาสสิลี ไซท์เซฟ (Vassily Zaitzev)
เขาคนนี้เป็นเพียงทหารเกณฑ์เข้ามาสู่สมรภูมิ ต่อมามีตำแหน่งพลซุ่มยิง (Jude Law นำแสดง) และได้สร้างความ
เกรงกลัว และความเสียหายให้กับฝ่ายเยอรมันอย่างเอกอุ ในการป้องกันเมืองสตาลินกราด ที่เยอรมันเป็นฝ่ายรุกเข้าตีด้วยกำลังพลมหาศาลอย่างรุนแรง ทั้งทางบกและอากาศ แต่กองทัพรัสเซียและพลเมืองของเขา ต้านทานด้วยการตั้งรับอย่างเด็ดเดี่ยว
วาสสิลี ไซท์เซฟ จากนายพรานป่าธรรมดา แต่เป็นพลซุ่มยิงโดยกำเนิด กลายเป็นรัสเซียที่เขย่าขวัญทหารเยอรมัน จนทางกองทัพนาซี ต้องส่งนายทหารระดับพระกาฬ ที่เชี่ยวชาญและเป็นครูฝึกทางการซุ่มยิง คือนายพันตรี โคนิค (Koenig) มาปราบโดยเฉพาะ แต่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และโดน วาสสิลี ไซท์เซฟ เด็ดหัวเอาชีวิตเสียอีก พรานป่าอย่างเขากลายเป็นวีรบุรุษของรัสเซีย ที่มีชื่อเสียงจากการต่อสู้
เพื่อปกป้องมาตุภูมิ ของตนเอง!
พลซุ่มยิงที่มีชื่อเสียง ในการปกป้องแผ่นดินแม่ หรือมาตุภูมิของตนเองก็ยังมีอีก เช่น
ไซ โม ไฮยาช (Simo Hayha) คนนี้เป็นตำนานของฟินแลนด์ เขาเด็ดชีวิตทหารรัสเซียที่รุกรานฟินแลนด์ ลงไปถึง 542 ศพ แต่เขาก็โชคไม่ดีตรงที่ถูกยิงสวนเข้ากราม จนกรามหายไปแถบหนึ่ง ใบหน้าจึงบิดเบี้ยวจนเสียรูปทรงไป
ทหารอเมริกันที่มีชื่อเสียง ในการเป็นพลซุ่มยิงก็มี แต่ดันไปยิงเก่งในเวียตนาม ที่ไม่ได้เป็นสงครามเพื่อป้องกันมาตุภูมิของตน แต่โลกเขามองว่า ไปรุกรานบ้านอื่นเมืองอื่น จึงไม่ขอกล่าวถึง
ส่วนพวกมือปืน หรือที่ฝรั่งที่เรียกว่า Hit Man นั้น คนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องยิงปืนแม่น เพียงแต่มีความกล้าฆ่าคน และฆ่าโดยรับค่าจ้างเป็นเงินนั้น ปัจจุบันเมืองไทยก็มีคนจำพวกนี้อยู่เยอะแยะ ขณะนี้ทางกองปราบปรามออกหมายจับ มีจำนวนหลายสิบคน รวมกับสถานีตำรวจทั่วประเทศ ก็มีจำนวนเกินร้อยคนเข้าไปแล้ว
จึงอยากให้ตำรวจทุกหน่วย ร่วมมือกันปราบปรามอย่างไม่ลดละ และต้องร้องขอให้ประชาชนคนไทย มีส่วนเหลือทางราชการ โดยให้เบาะแสคนร้ายกับทางการ
หากท่านไม่กล้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือกลัวผลร้ายจะเกิดกับตัว จะใช้วิธีการโทรแจ้ง หรือเขียนจดหมายไม่ลงชื่อไปบอกก็ได้ เท่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อทางราชการมากแล้ว
มือปืนไทยแลนด์นั้น เป็นภัยต่อสังคม ปล่อยเอาไว้รกแผ่นดินไม่ได้
เราต้อง ‘กวาด’ ให้เกลี้ยง!
นักศึกษาหญิงผู้ทำปริญญาโท ซึ่งได้ทำการวิจัยเรื่องมือปืน ได้เล่าให้ฟังต่อทางวิทยุว่า
พวกมือปืนอาชีพซึ่งนักศึกษาผู้นี้เธอไปสัมภาษณ์ เพื่อประกอบรายงานการวิจัย เธอให้รายละเอียดว่า
พวกเขา (มือปืน) ยึดหลักประจำใจว่า จะไม่ฆ่า พระ ผู้หญิง และเด็ก
ผมซึ่งฟังอยู่ นึกคันปาก อยากจะบอกกับเธอว่า...
อย่าได้ไปหลงเชื่อเด็ดขาดเชียวนะ เพราะขนาดพระสงฆ์องค์เจ้า ครูสอนศาสนา มันก็ยังยิงทิ้งเสียหลายรูป/คนแล้ว รายที่ดังหน่อยดูเหมือนจะเป็น เจ้าอาวาสวัดกู้นี่แหละ ไอ้คนยิงมันทมิฬ
หินชาติ ไม่น้อย เพราะ
จ่อยิงเอาดื้อๆเลย!
ดังนั้น อย่าไปหลงคารมว่ามันจะไม่ยิงพระ ฟังเอาไว้เป็นข้อมูลพอได้ ขนาดเพลงร้องของ ‘พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์’ ชื่อเพลง ‘มือปืน’ เขายังร้องบอก ว่า
“...ฟางเส้นสุดท้าย ตอนตะวันบ่ายคล้อยลงมา
นายสั่งให้ลงมือฆ่า เด็กตาดำๆ...”
เห็นความ ‘โหด’ ไหมล่ะ!?
การยิงคนนั้น อาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนักหนา แต่เมื่อยิงเสร็จแล้ว ส่วนที่ยากและใหญ่กว่า ก็คือ ‘การหลบหนี’ ซึ่งเริ่มตั้งแต่หลบให้ รอดออกจากที่เกิดเหตุหลังลงมือยิงแล้ว และจะต้องหนีพ้นมือตำรวจไทยให้ได้ตลอดไป มิฉะนั้นต้องลงเอยในคุก มิฉะนั้นจะต้องด่าวดิ้นสิ้นชีพ เพราะปืนของตำรวจเช่นกัน ซึ่งการหลบหนีตลอดไปนั้น
ไม่ใช่ของง่ายเลย!
ผมอยากจะเรียนท่านผู้อ่านว่า อาชีพมือปืนนั้น ยังคงมีอยู่ดาษดื่นในบ้านเรา นั้น
จำนวน “มือ ปืนไทยแลนด์” ที่รับจ้างยิงคน อาจมีลำดับจำนวนมาก อยู่ในลำดับต้นๆของโลก ก็ว่าได้!!
ในการสู้รบระหว่างทหารกับชาวบ้าน ทั้งในวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค.2553 นั้น สื่อต่างๆเขามองกันว่า รัฐบาลพยายาม
ประแป้งแต่งสี ให้ผู้ชุมนุมกลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งๆที่หลักฐานปรากฏชัดเจน ทั้งจากสื่อต่างประเทศและสื่อบ้านเราเอง ว่าทางฝ่ายทหารมีการใช้ ‘พลซุ่มยิง’ ในปฏิบัติการ อย่างที่นำภาพจาก ‘ไทยรัฐ’ มาแสดง ให้เห็นกันในคอลัมน์ก่อนของผู้เขียน
นอกจากนั้นยังมีภาพอื่นๆ อย่างที่แสดงให้เห็นนี้ ประกอบกับมีการยอมรับของทางทหารบางส่วน อีกด้วยว่า
ทหารได้ส่งพลซุ่มยิงเข้าพื้นที่ ก่อนปฏิบัติการในวันที่ 10 เม.ย.2553 จะเริ่ม ซึ่งแม้ยังไม่มีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน แต่ในปฏิบัติการ 19 พ.ค.2553 ก็ปรากฏภาพชัดเจนจากฝีมือการถ่ายของชาวต่างประเทศ และแพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว
แม้ทางการก็พยายามจะอ้างว่า ทางฝ่ายผู้ชุมนุมเอง ก็มีพวกคอยซุ่มยิงเช่นกัน และได้ฆ่าคนไปหลายคน โดยเฉพาะการฆ่าชายหญิงถึง 6 ศพ รวมทั้งผู้ช่วยพยาบาลผู้หญิงที่ชื่อ น.ส.กมนเกด อัคฮาด ในเขตอภัยทานของวัดปทุมวนาราม ซึ่งทางรัฐบาลก็ซัดไปว่า เป็นฝีมือของ Men in Black (เหมือนหนังฝรั่ง) หรือ ‘ชายชุดดำ’ แต่ ไม่เคยมีหลักฐานมาแสดง หรือจับคนชุดดำได้เลย เพียงแต่อ้างกันขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเท่านั้น ไม่มีทั้งพยานหลักฐาน หรือภาพชัดเจน เหมือนอย่างที่ฝ่ายทหารซุ่มยิง และถูกถ่ายภาพเอาไว้ได้เยอะแยะ หนังสือพิมพ์อย่าง “ข่าวสด” ก็เกาะติดเรื่องนี้แจอยู่ และคงจะได้ความจริงเพิ่มเติมกันไม่ช้านี้
ดังนั้น พี่น้องประชาชน เขาก็สามารถที่จะเลือกได้ว่า ควรจะเชื่อคำแก้ตัวของรัฐบาล หรือจะเชื่อฝ่ายไหนดี?
มีหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า ต่อจากนี้ไป คำว่า ‘มือปืน’ กับ ‘สไนเปอร์’ หรือ ‘พล ซุ่มยิง’ จะต้องกลายเป็นของคู่กับเมืองไทย ทั้งนี้เพราะ...
ต่อไปนี้ ในกรณีที่มีความขัดแย้งที่รุนแรง ความต้องการในการจ้างวานใช้ คนที่ใช้ปืนลักษณะการซุ่มยิงได้ ก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ยังผลให้จากนี้ไป เราคงจะได้เห็นความปลอดภัยในชีวิตร่างกายของพวกนักการเมือง ตลอดจนผู้คนในวงการธุรกิจ จะลดน้อยถอยลง
คนพวกนี้จะ ‘ตายโหง’ กันมากขึ้น!
สำหรับสภาวการณ์ปัจจุบัน ผมมีความเชื่อมั่นว่า...
เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเท็จจริงต่างๆ ก็จะหลั่งไหลมาปรากฏต่อสาธารณชนอีกมากมาย จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและคู่ขัดแย้ง
ดังนั้น ทางรัฐบาลและทหาร จึงมีภารกิจที่จะต้องเร่งรีบขวนขวายหาหลักฐาน มาสนับสนุนการกล่าวอ้างของพวกตนให้ชัดเจน เพราะคนไทยนั้นเขากินข้าวกัน ไม่ได้กินแกลบ จึงต้องเตือนกันไว้ให้ชัด ตรงนี้ว่า
หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหา จงอย่าได้สร้างพยานหลักฐานที่ไม่จริง เพียงเพื่อปกปิดการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ขึ้นมาเป็นอันขาด เพราะยุคสมัยนี้นั้น มันจับได้ไล่ทันกันได้ไม่ยากเลย อีกทั้งการตอแหลตอหลดตดใต้น้ำ หรือกล่าวเท็จ จะยิ่งทำให้เรื่องบานปลายสืบสาวราวเรื่องกันออกไปอีก แบบไม่รู้จบทีเดียว ต้องระลึกไว้เสมอว่า ในยุคสมัย I.T. อย่างทุกวันนี้นั้น
จะเอาฝ่ามือปิดแผ่นฟ้าไว้ มันปิดไม่มิดหรอก...นะจ๊ะ!
เมื่อเวลาเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านพ้นไปแล้ว ข้อเท็จจริงใหม่ๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายแรงทั้งเดือน เม.ย.และพ.ค. ก็จะทั้งผุดทั้งโผล่ขึ้นมาทุกวัน กระบวนการข่าวลือก็จะยิ่งขยายวงแพร่สะพัดไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะปัจจุบันตอนนี้ คนจำนวนมากเขาเชื่อกันแล้วว่า
หน่วยซุ่มยิงของทหารไทย ไม่ได้กระทำไปเพื่อการปกป้องมาตุภูมิ เยี่ยงพลซุ่มยิงซึ่งเป็น ‘วีรบุรุษ’ ของชาวรัสเซียและฟินแลนด์ ดังที่ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างมา
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงวันนี้ กลับมีชาวบ้านเป็นจำนวนมาก ที่เขามองการ ‘ล้อมปราบ’ ของทางการว่า
“รัฐบาลของนายอภิแสบฯ และทหาร...ฆ่าประชาชน!!!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น