โดย คุณสายลมรัก(1)
ที่มา เวบบอร์ดประชาไท
11 มิถุนายน 2553
อ้างถึง จดหมายขอให้ปวงชนชาวไทยเข้าสู่แผนปรองดองที่เขียนด้วยลายมือของ นายอภิสิทธิ์
ตาม ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ออกรายการทีวีรวมการเฉพาะกิจ โดยได้อ่านจดหมายที่นายอภิสิทธิ์ได้เขียนด้วยลายมือตนเอง ร้องขอให้ปวงชนชาวไทยทุกภาคส่วน เข้าสู่กระบวนการปรองดองแห่งชาติ เพื่อความผาสุข สงบสุข และนำรอยยิ้มกลับมาให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ นี้ เฉกเช่นในอดีต ดังความละเอียดปรากฏในรายการทีวีพูล ที่นายอภิสิทธิ์ ได้ออกอากาศไปในวันที่ 10 มิถุนายน 2553 แจ้งแล้วนั้น
ข้าพเจ้า ประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ในฐานะเป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมชุมนุมใหญ่ กับพี่น้องประชาชนคนเสื้อแดง ในการเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ “ ยุบสภา” เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ในระหว่างเดือนเมษายน – เดือน พฤษภาคม 2553 ขออนุญาตตอบจดหมายของนาย อภิสิทธิ์ ดังกล่าวดังนี้
ข้าพเจ้าเห็นว่า วาระการปรองดองแห่งชาติที่นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอออกมานั้น ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว หากนายอภิสิทธิ์ ไม่มีความจริงใจในการที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้ง นายอภิสิทธิ์ ต้องยอมรับความเป็นจริงในสังคมว่า ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องคำพูด และการกระทำนั้น สังคมไทยประจักษ์โดยปราศจากข้อสงสัยแล้วว่า “การพูดอย่าง แต่ทำอีกอย่าง” นั้น ดูจะเป็นคุณสมบัติประจำตัวของนายอภิสิทธิ์ไปแล้ว ไม่ว่าคำสัญญาก่อนเข้ารับตำแหน่ง การแสดงออกถึงการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าทีการแสดงออกระหว่างประชาชนทางการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาล และประชาชนที่มีความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาล ทั้งสองกลุ่ม(กลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อหลากสี)ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หนำซ้ำการออก คำ สั่งให้เข่นฆ่าประชาชนจนบาดเจ็บล้มตายมากที่สุดในประวัตศาสตร์ของ ประเทศนี้ ก็ยังไม่มีท่าทีของการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองออกมา นอกจากการนำเสนอแผนการ"ฟอกตัว"ในการสั่งฆ่า โดยการตั้งคณะกรรมการให้สอบสวนข้อเท็จจริง โดยรัฐบาลนี้
ซึ่ง ไม่มี ประเทศใด ๆ ในโลกนี้เขาทำกัน เพราะแม้ในทางนามธรรม จะดูดี มีความรับผิดชอบ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่เคยมีปรากฏว่า ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้สอบสวนผู้ที่ครองอำนาจรัฐในขณะนั้น จะกล้าสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และได้ผลการสอบสวนที่ออกมาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แค่เฉพาะประเด็นเทคนิค ที่อาจต้องเรียกนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ “มาให้ปากคำ” ก็ยังนึกไม่ออกว่า คณะกรรมการชุดนี้ เขาจะกล้าเรียกมาสอบสวนไหม นอกจากนี้ประธานคณะกรรมการตรวจสอบ ยังมีประวัติที่เกี่ยวพัน เกี่ยวช้อง ใกล้ชิด กับผู้ที่สั่งแต่งตั้งให้สอบสวนตนเอง เช่นนี้ ก็คงไม่ต้องสงสัย หรือคาดเดาได้เลยว่า ผลการสอบสวนจะออกมาเช่นไร
ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ ที่บุคคลที่จะถูกตั้ง ?
แต่อยู่ที่คนแต่งตั้งคณะกรรมการ ?
ตราบ ใดที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ยังอยู่ในตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเป็น"ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย" กับการ "ขอคืนพื้นที่" และ "กระชับพื้นที่" จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 90 คน บาดเจ็บ 2,000 คน และยังสูญหายอีกจำนวนหนึ่ง แทนที่จะเป็นการสร้างความปรองดอง ผลที่กลับมาจะกลายเป็นสร้างปมความแตกแยกขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
ตลอด ระยะ เวลาที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ พยายามจะบอกกับสังคมแห่งนี้ว่า การล้มตาย และบาดเจ็บ ของประชาชนในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เป็นฝีมือของภาครัฐ แต่เป็นไอ้โม่งในชุดดำ พร้อมอาวุธสงคราม ทำการเข่นฆ่า ทำร้ายประชาชน หรือเป็นการ ”ยิงกันเอง” นั้น นายอภิสิทธิ์ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิดหรือว่า ทำไมกระแสตอบรับในสังคมไทยถึง “ไม่เชื่อ” คำพูด และไม่เชื่อสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ พยายามป้ายความผิดให้กับผู้ชุมนุม (ผ่าน ศอฉ. และ DSI) มาให้ผู้ชุมนุมตลอดเวลาว่า ฆ่ากันเอง
ภาพทหารติดอาวุธสงคราม ตั้งท่าเล็งและยิงมาที่ประชาชน ในหลายกรรม หลายเหตุการณ์ จากภาพข่าวทั้งไทยและเทศหลายสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพทหารที่แต่งกาย มีหมวกเหล็กติดสติ๊กเกอร์บอกสังกัด เล็งปืนไปในวัดปทุมวนราม จนมีผู้เสียชีวิตในบริเวณวัดถึง 6 ศพ ในวันที่ 19 พฤษภาคม นั้น มันเป็นภาพที่ ”สะเทือนใจ” และอธิบายในตัวของมันเองได้ว่า ทุกชีวิตที่บาดเจ็บและสูญเสียนั้น มันเป็นกระสุนสังหารที่ลั่นไก มาจากฝั่งใด
แต่ แทนที่นายอภิสิทธิ์ จะแสดงสำมัญสำนึกของความรับผิดชอบ ที่นายอภิสิทธิ์ มักจะชอบพูดสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดีเสมอ ๆ ว่า “ความรับผิดชอบของนักการเมือง ต้องมีสูงกว่าความรับผิดชอบของประชาชน ทั่วไป” นายอภิสิทธิ์ กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใด ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว แถมยังมีท่าทีที่จะทำร้ายผู้ที่เสียชีวิต และบาดเจ็บนั้นต่อไป ด้วยการยัดข้อหาผู้ก่อการร้าย หรือบาดเจ็บล้มตายจากการยิงกันเองเพื่อสร้างสถานการณ์ ผ่านคณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ ที่นายอภิสิทธิ์ แต่งตั้งมากับมือตนเองอีกด้วย
จริงอยู่คนเสื้อแดงจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศโดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ มาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ นับแสนคน คนกลุ่มนี้อาจถูกประณามหยามเหยียดจากคนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมคน กรุงเทพฯ แต่เมื่อคนเสื้อแดงเหล่านี้เดินทางกลับบ้าน เขากลับได้รับการต้อนรับดุจวีรชนที่ผ่านสนามรบ คนเหล่านี้พกความแค้นกลับบ้านและเล่าขาน “ประสบการณ์ตรง” ที่ทุกคนได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหูตัวเอง และ"บาดแผล"ทั้งร่างกาย..และทางจิตใจ ให้คนในหมู่บ้านฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมวนาราม เรื่องเหล่านี้จะกระจายกันปากต่อปาก จาก 1 เป็น 10 จาก 10 เป็น 100 จาก 10,000 เป็น 100,000 จนไม่มีที่สิ้นสุด นั่นเป็นสิ่งที่บอกอะไรบางอย่างกับนายอภิสิทธิ์ ถึงความน่าเชื่อถือในคำพูดของนายอภิสิทธิ์ (ที่ไม่เคยนำมาปฏิบัติจริง) รวมตลอดไปถึงคำพูดของพันเอกสรรเสริญ ที่ออกมาตัดพ้อกับสังคมไทยว่า พูดออกไปแทบตาย แต่สังคมส่วนใหญ่ ไม่เชื่อ ในสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ และ ศอฉ. ยัดเยียดกรอกหูกรอกตาประชาชนแทบจะ 24 ชั่วโมง ทางทีวีรวมการเฉพาะกิจ
“คน ไทยรักกัน” ” คืนรอยยิ้มให้ประเทศไทย” หรือโปรเจคใด ๆ ที่หลายภาคส่วน พยายามจะกลบเกลื่อนบาดแผลในใจอันร้าวลึกของคนไทยส่วนใหญ่ในชนบท มันไม่ได้ผลอะไรหรอก ความเหลื่อมล้ำของสังคมเมืองกับสังคมชนบท และดูเหมือนจะทรงพลัง และซึมซับเข้าไปในจิตใจของผู้คนบางส่วนในสังคมไทยด้วยจำนวนที่มาก ขึ้นเรื่อย ๆ นับแต่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมเรียกร้อง ”ขอความเป็นธรรม” ถึงในกรุงเทพมหานคร
มนตราที่เคยเป่าหูคนชนบทที่ใช้ได้ผลมาโดย ตลอดว่า “คนกรุงเทพรักคนชนบท “ ”คนชั้นกลางรักชาวนา “ ”หรือเมืองไทยไร้ชนชั้น" ดูเสื่อมลงไปถนัดตา เพราะคุณจะวี๊ดว้าย โวยวาย เรื่องปิดห้าง รถติด จนยุให้ฆ่า หรือไล่ล่าอีกฝ่ายหนึ่ง เหมือน ”หมูหมา” แต่พอเวลาน้ำแล้ง คุณกลับห้ามเขาทำนา ห้ามเขาทำกินบนที่ดินที่เขามีสิทธิโดยชอบ พอน้ำท่วม คุณก็ปล่อยให้น้ำท่วมขังบ้านเขาเป็นเดือน ๆ เพื่อให้กรุงเทพมหานครสะอาด และคนชั้นกลางมีน้ำไฟใช้ปกติ
“คุณเอาเปรียบเขา กดเขา แล้วพอเขาลุกขึ้นสู้ คุณก็ฟูมฟายว่า คุณรักพวกเขา ทั้งที่พวกคุณก็ละเมิดสิทธิเขามาแทบจะตลอดชีวิต”
หากจะหยิบยกคำ พูด ที่ดูดี ของนายอภิสิทธิ์ในสมัยการเป็นผู้นำฝ่ายค้านขึ้นมากับเหตุการณ์มี ผู้เสีย ชีวิต 2 คน จากการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นายอภิสิทธิ์ แสดงความเป็นห่วงเป็นใย และทวงถามความรับผิดชอบทางการ เมือง (กับรัฐบาลนายสมชาย) แต่กับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงในระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ราวฟ้ากับเหว
วันนี้นายอภิสิทธิ์ กลับมาเขียนจดหมายเปิดผนึก ถึงประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อออดอ้อน ออเซาะขอคืนดี ในขณะที่ศพของประชาชนบางศพ ยังไม่ได้เผาเสียด้วยซ้ำ มันง่ายแบบนั้นเชียวหรือครับท่านอภิสิทธิ์ คนไทยโดยเฉพาะคนที่สูญเสีย เขาลืมภาพความเลวร้ายแบบนั้นได้ง่ายดายจริง ๆ หรือ
วันนี้ และวันข้างหน้าในอนาคต ถ้านายอภิสิทธิ์ ยังคงเข้าใจเอาเองว่า ประชาชนไม่รู้ สังคมไม่ใส่ใจ ไม่ต้องไปสนมันกับเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสังคมนี้ ฆ่าไปแล้วก็แล้วกันไป ออกทีวีรวมการเฉพาะกิจแล้วอ่านจดหมาย ด้วยสำนวนน่าสงสาร และทำท่าแววตาออดอ้อนเสียหน่อย คนไทยที่สูญเสีย ญาติพี่น้องของเขาจะลืม ผมสงสารประเทศนี้จังครับ ที่ได้นายกรัฐมนตรีที่มี Vision ยอดเยี่ยมขนาดนี้ มาแก้ปัญหาที่หนัก และใหญ่ขนาดนี้ จดหมายฉบับนี้ผมไม่ทราบว่า ท่านจะได้อ่านหรือไม่ หรือได้อ่านแล้วจะใส่ใจกับมันหรือไม่ แต่ผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนในประเทศนี้ของผมแล้ว
หวัง ว่ามันคงจะสะกิดต่อมสามัญสำนึก และจิตสำนึกของท่านได้ สุดท้ายนี้ผมอยากจะเรียนให้ท่านทราบว่า สิ่งที่เรา(มนุษย์)แตกต่างจากเดรัจฉาน ก็คือการมีสามัญสำนึก เพราะถ้ามนุษย์อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ ไม่มีสามัญสำนึกอยู่ในตัวตนหละก็ นั่นก็จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า มนุษย์คนนั้นไม่มีอะไรแตกต่างกับเดรัจฉาน
จึง เรียนมาเพื่อโปรดทราบ
จากประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
Posted by พยับหมอก at 6/11/2010 01:12:00 หลังเที่ยง Links to this post
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น