สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตำรวจสากล...‘มะเขือเทศ’ สากล!?


ตำรวจสากล...‘มะเขือเทศ’ สากล!?

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ผมเคยฟังพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) หรือ เจ้าคุณประยุทธ์ ท่านเล่าให้พระนวกะฟัง ถึงเรื่องความพยามของนักการศึกษา ที่จะนำคำว่า ethic ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “จริยธรรม” มาทดแทนคำที่คนไทยใช้กันมานมนาน คือคำว่า “ศีลธรรม”

คำว่า “จริยธรรม” เป็นคำค่อนข้างใหม่ทีเดียว เพราะคำๆนี้เพิ่งเกิดมาแค่ 40 ปี เท่านั้น แต่การนำมาใช้กลับมีปัญหา เพราะ “จริยธรรม” ของชาติหนึ่งนั้น อาจไม่เป็นที่ยอมรับในอีกประเทศอื่นก็ได้ (เช่น การยึดสนามบิน อาจจะเป็นการกระทำที่ถูกจริยธรรมอย่างยิ่งในประเทศหนึ่ง แต่ไม่ถูกจริยธรรมเลยในประเทศอื่นๆทั่วโลก เป็นต้น...555)

ดังนั้น นักการศึกษาจึงได้มีการดิ้นรนไปหาคำใหม่ โดยเติมคำว่า “สากล” ต่อท้ายคำว่า “จริยธรรม” กลายเป็น “จริยธรรมสากล” ขึ้นมาทดแทน เพื่อจะพยายามสื่อความหมายว่า
อันจริยธรรมซึ่งเป็นสากลนั้น สามารถใช้ได้กับทุกประเทศ และทุกสังคมในโลกใบนี้
ดูความพยายามของพวกนักวิชาการแล้ว เห็นว่าการหาคำมาทดแทนอธิบายความให้ชัดเหมือน “ศีลธรรม” นั้น
ลำบาก แท้ๆ ทีเดียว!

ส่วนคำว่า "ศีลธรรม" ที่เราใช้กันมาแต่โบราณนั้น แทบไม่ต้องตีความเลย เพราะเป็นสากลจริงๆ เช่น การฆ่าคนผิดศีลธรรม คนทั้งโลกก็เห็นพ้องกันหมด แต่พอถึง “จริยธรรม” ก็จะอ้างได้เลยว่า ฆ่าอย่างนี้ไม่ผิด “จริยธรรม” แล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆขึ้นมา เพื่อให้ (ดูเหมือน) เป็นเรื่องถูกจริยธรรม
เอาอย่างนี้แล้วกันครับ

“จริยธรรม” มันเป็นของเก๊ มันจึงดิ้นได้ ส่วน “ศีลธรรม” ซึ่งเป็นของแท้ ดิ้นไม่ได้และไม่ดิ้นด้วย!
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ ได้ให้ความเห็น ว่า พระพุทธศาสนานั้น มีความเป็น “สากล” เพราะคำสอนของศาสนาพุทธนั้น เป็นหลักความจริงตามธรรมชาติ เพราะไม่ว่าพระพุทธองค์ จะทรงอุบัติมาในโลกนี้หรือไม่ก็ตาม แต่หลักความจริงตามธรรมชาตินั้น มันก็มีของมัน อยู่ในโลกของเราเรียบร้อยแล้ว
ฉะนั้น หลักความจริงตามธรรมชาติ ตามที่พระบรมศาสดาได้ทรงค้นพบ และนำมาบอกกับชาวโลกนี่แหละ ที่มีความเป็น “สากล” ซึ่งผู้ที่พอมีปัญญาอยู่บ้าง ก็จะสามารถพิจารณาถึงความมีเหตุมี ผล และใคร่ครวญไตร่ตรอง ถึงความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ก็จะสามารถเข้าใจได้โดยไม่ยากอะไรนัก

เมื่อเราพิจารณาถึงคำว่า “สากล” นั้น ต้องดูพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่มล่าสุด ให้ความหมายว่า
สากล เป็นคำ วิเศษณ์ หมายความว่า ทั่วไป, ทั้งหมด, ทั้งสิ้น, เช่น สากลโลก สากลจักรวาล; เป็นที่นิยมทั่วไป เช่น เครื่องแต่งกายชุดสากล, สามัญหมายถึงแบบซึ่งเดิมเรียกว่าฝรั่ง เช่น มวยฝรั่ง เรียก มวยสากล, ใช้แทนคํา 'ระหว่างประเทศ' ก็ มี เช่น สภากาชาดสากล น่านน้ำสากล. (ป., ส. สกล).
ฟังจากการให้ความหมาย ของฝ่ายราชบัณฑิตแล้ว ก็จะเห็นว่า คนไทยเราให้ความสำคัญกับฝรั่งค่อนข้างมาก เพราะแม้แต่เครื่องแต่งกายแบบฝรั่ง คนไทยก็เรียกว่า“ชุด สากล”

ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะ ไม่ว่าจะเป็นคนผิวเหลือง ผิวดำ คนจีน จาม แขก ญวน เขมร ไทย ถ้าคุณเป็นผู้ชายและแต่งกายชุดสูท สวมเสื้อนอก ผูกเน็คไท แบบชุดที่พวกฝรั่งแต่งกันเป็นปกติแล้ว เขาคนนั้นก็จะสามารถพาตัวเอง เข้าสังคมไหนๆก็ได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นที่ประชุมระดับโลก หรือไปปาร์ตี้ในผับข้างบ้าน โดยไม่รู้สึกแปลกแยก หรือเคอะเขินแต่ประการใด

นี่เป็นเพราะเครื่องแต่งกายแบบฝรั่ง หรือที่คนไทยเรียกว่า
“ชุดสากล” นั้น
เป็นที่ ‘ยอมรับ’ ของคนทั่วไป
การ “ยอมรับ” ของคนทั่วไปนี่แหละครับ ที่ผมว่าคือความเป็น“สากล” หรือความเป็นนานาชาติ หรือพูดตามศัพท์แสงวัยจ๊าบ ก็ ต้องบอกว่า เพราะความเป็น “อินเตอร์” นั่นเอง

ในปัจจุบันชุดสากลนั้น มันได้คลายความเป็นสากลไปแยะแล้ว เมื่อคนในประเทศต่างๆ เริ่มมองเห็นความสำคัญของชาติและสัญลักษณ์ของชาติตน การเดินตามก้นฝรั่งก็น้อยลง แต่ชุดสากลที่ว่านั้นเลิกยาก เพราะมันสวมง่ายใส่สะดวก และที่แน่ๆคือสะดวกกว่าการโจงกระเบนของเรา

อีกอย่างหนึ่ง คือ “ชุดสากล” มันใส่แล้วหล่อหลาย คนส่วนใหญ่ใส่แล้วดูเท่ ดูสมาร์ทขึ้น
นี่เป็นความจริงอันเจ็บปวด จึงเป็นเหตุผลหนึ่งให้ตามก้นฝรั่งต่อไป และทำให้ชุดสากลนั้น...
ยังครองความเป็น “สากล” ได้ต่อไป!

นอกจากเรื่องของพระพุทธศาสนา ที่มีความเป็น “สากล” อย่างที่พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ได้ให้ความรู้กับพระนวกะแล้ว ยังมีบางตัวอย่างที่ผมพอนึกได้ และแสดงความเป็น “สากล” อย่างแท้จริง ก็คือเรื่องของนิทาน “อีสป” ที่เราเรียนกันตั้งแต่เด็กๆนั่นแหละครับ

ตามประวัติที่ยืนยันไม่ได้ (เพราะไม่มีใครเคยเจอ “อีสป”) เขาเกิดร่วม 200 ปีก่อนพุทธกาล บางคนเชื่อว่า“อีสป”มาจากเกาะซามอสของก รีก แต่นักประวัติศาสตร์บางคนก็เถียงว่า เขามาจากแถบเอเซียไมเนอร์ แต่ที่แน่ๆ คือ ทุกคน (ซึ่งไม่เคยเจอ“อีสป”) พากันยืน ยันเป็นเสียงเดียวว่าเขาเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์ หลังค่อม จมูกบี้ พูดลิ้นคับปาก แถมยังตัวดำมิดหมี จนได้ชื่อว่า“อีสป” (มาจากคำว่า Ethiop)ซึ่งแปลว่า "ตัวดำ" น้องสาวผมซึ่งรักนิทานอีสปมาก เธอเรียก“อีสป” ว่า "คุณศยาม"เพราะ “ศยาม” แปลว่า “ดำ”

ถึงอย่างไรพี่น้องของผม ต่างไม่เชื่อเรื่องเรื่องอีสปจมูกบี้และลิ้นคับปาก ก็คนเล่านิทานเก่ง ชนิดมีแฟนคลับในหลายประเทศ(สมัยนั้น)จะ พูดไม่รู้เรื่อง ได้ยังไงกัน!

“อีสป”ไม่ใช่แค่ "นักเล่านิทาน" แต่เขาเป็นปราชญ์ ที่มีความคิดลึกซึ้งกว้างขวาง แม้เจ้าตัวจะตายไปก่อนหน้าที่พระพุทธองค์ของเรา จะมีพระประสูติกาล เป็นเวลานานกว่าศตวรรษ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังผู้มีคนกล่าวถึงชื่อ “อีสป” จนกระทั่งปัจจุบัน

ทุกวันนี้สถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน มหาวิทยาลัย ก็ยังมีการเรียนการสอน เรื่องของ “อีสป” อยู่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีประชุมสัมมนา และถกแถลงถึงแง่มุมต่างๆ ที่เขาเป็นผู้เล่าเอาไว้เมื่อเกือบสามสหัสวรรษก่อน และผู้คนบันทึกเอาไว้มาโดยตลอดมิได้ขาด

คนอย่าง “อีสป” แม้จะได้ตายจากไป จะย่างเข้าสามพันปีแล้วก็จริง แต่ก็ไม่มีวันใดเลย ที่คนในโลกจะว่างเว้นการพูดและคุยกันถึงเรืองของเขา รวมทั้งนิทานที่เขารังสรรค์ไว้ให้กับโลกใบนี้ อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วนั้น เราควรฉุกคิดกันบ้างว่า

แล้วจุดเด่นของ “อีสป” อยู่ตรงไหนกันล่ะ?
ตอบได้เลยว่า
เสน่ห์และมนต์ขลังของ “อีสป” นั้น อยู่ที่ความเรียบง่าย
ใสซื่อ ใครๆก็ฟังนิทานอีสปรู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน สถานะใด ความรู้ระดับสูง หรือต่ำแค่ไหน อายุเท่าไหร่ จะโง่หรือฉลาด ก็ฟังรู้เรื่องทั้งนั้น

“อีสป” จึงไม่มีข้อจำกัด
แม้แต่งานของ “วิลเลียม เชคสเปียร์” ผมยังเห็นว่า มีเสน่ห์สู้งานของ “อีสป” ไม่ได้ เพราะ “เชคสเปียร์” คู่กับ "เชคสแปล" คืออ่านแล้วต้อง Spell หรือ ต้องแปล ต้องตีความกันยกใหญ่ แม้แต่คนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ยังเหงื่อหยดเลย

“อีสป” นั้น ได้หยิบยื่นปรัชญาเกลี้ยงๆให้ผู้คน ปรัชญาที่ยังไม่ได้ประดับประดา หรือปรุงแต่ง ซึ่งใครๆก็รับได้ แต่จะไปพิจารณาได้ลึกซึ้งปานใด ย่อมขึ้นอยู่กับปัญญาของคนๆนั้น
ดังนั้น ผมจึงขอสรุปลงตรงนี้ได้ว่า
เพราะคนรอบโลกสามารถเข้าถึง“อีสป” ได้ จึงทำให้ “อีสป” มีความเป็น “สากล” อย่างสมบูรณ์แบบ ในตัวของมันแล้วนั่นเอง

ความไม่เป็น “สากล” นั้น ก่อให้เกิดปัญหาหลายอย่าง จะยกตัวอย่างให้เห็นสักเรื่อง
ท่านผู้อ่านสงสัยบ้างไหมครับว่า ทำไมเมื่ออังกฤษมาทำสัญญาทางไมตรีกับไทยสมัย ร.4 (สนธิสัญญา
เบาว์ริง) ฝ่ายอังกฤษต้องขอ “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” (Extra Territory Rights) เอาไว้ คือได้สิทธิไม่ต้องขึ้นศาลไทย


คำตอบง่ายๆก็คือ
ระบบศาลของประเทศเราในสมัยนั้น ไม่มีความเป็น “สากล” นั่นเอง เช่น ฝรั่งเขาไม่รู้ว่า ถ้าทำสัมปทานค้าไม้กับทางการไทยเราแล้ว ไม่รู้ว่าวันไม่ดีหรือคืนร้าย อาจถูกยกเลิกสัมปทานได้ง่ายๆเมื่อใด?
นี่แหละครับ...ตัวปัญหา!

ด้วยเหตุนี้เอง อังกฤษจึงเรียกร้องว่า หากมีข้อขัดแย้งระหว่าง คนอังกฤษในสยาม (รวมทั้ง “คนในบังคับ” ของอังกฤษด้วย) ก็ต้องไป ขึ้นศาลอังกฤษ ที่สถานกงสุลของพวกเขาเองเท่านั้น ศาลไทยจะไปพิจารณาว่ากล่าวเอง ไม่ได้เด็ดขาด
ชาติอื่นที่ เข้ามาทำค้าขาย ก็เดินตามรอยเดียวกับอังกฤษ!

ดังนั้น สยามเมืองยิ้มของเรา จึงต้องยอมให้ฝรั่งกดหัวกบาลอยู่นานโข จนกระทั่งพระพุทธเจ้าหลวงท่านต้องเร่งรัด ปรับปรุงการศาล ให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ แต่กว่าจะมาสำเร็จก็ล่วงมาจนถึงสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งกินเวลากว่าค่อนศตวรรษ คือยาว นานถึง 76 ปี เลยทีเดียว!

ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านข้อเขียนของผม อาจจำได้ว่า ผมเคยกล่าวถึง นายบวร ศักดิ์ อุวรรณโณ คนโตของสถาบันพระปกเกล้า เมื่อครั้งที่เขายังทำงานอยู่ในทำเนียบ ได้เคยกล่าวยกย่องนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยได้ให้สัมภาษณ์ด้วยถ้อยคำหวานซึ้งว่า
“ท่าน (นายกฯทักษิณ ชินวัตร) เปรียบเสมือนเทียนที่เผาตนเอง เพื่อส่องสว่างให้กับสังคมไทย”
หยดย้อย...หยาดเยิ้ม...ขนาดนั้นเลยเชียวนะ!
แต่ไม่น่าเชื่อว่า พอ“ไอ้บัง กบฏ” เข้ายึดอำนาจ นับแต่นั้นมา มุมมองของอีตาบวรศักดิ์ ที่เคยอยู่ในจุดกอกระดุมเพื่อทักษิณ
ก็กลับ เปลี่ยนทิศทาง ไปเป็นฝั่งตรงข้าม กลายเป็นฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ
แบบ ‘หน้ามือ...เป็นหลังตีน’ เลยทีเดียว!!

เมื่อปลายเดือน พฤษภาคม 2552 นายบวรศักดิ์ฯ แกเคยพูดอบรมกำนันผู้ใหญ่บ้านว่า
“กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน เป็นโคจ่าฝูง!”
คือเป็นผู้นำชาวบ้าน ที่เป็นเหมือนฝูงวัวฝูงควายคอยเดินตามจ่าฝูง ผมก็เลยเขียนคอลัมน์กระแทก ใส่คนที่เป็นเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้าไปนิดๆหน่อยๆว่า

...เมื่อรัชกาลที่ 5 ท่านปฏิรูปการปกครองของบ้านเรา เสด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้นำรูปแบบการปกครองที่อังกฤษใช้ปกครองอินเดียซึ่งเป็นเมืองขึ้น มาเป็นต้นแบบในการปกครองส่วนภูมิภาคของไทย
อังกฤษให้คนท้องถิ่นปกครองชุมชน ลักษณะเดียวกับผู้ใหญ่บ้าน กำนัน แล้วส่งคนของประเทศเมืองแม่ออกไปปกครอง ในลักษณะนายอำเภอ ข้าหลวง (ผู้ว่าราชการจังหวัด)
ในขณะที่บ้านเมืองยังไม่ เจริญ ระบบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่ใช้มาตั้งแต่สมัย ร.5 ก็ยังพอถูไถไปได้ แต่เมื่อบ้านเมืองเจริญมากขึ้น โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก การบริหารท้องถิ่นก็ต้องอนุวัตตามกันไป
ประชาชนเข้ามา...มีส่วนร่วมมากขึ้น!

ดังนั้น จึงมีความพยายามเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานท้องถิ่น ให้มีความเป็นสากล ทำนองเดียวนานาอารยะประเทศ ทั้งรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล และจังหวัด รวมทั้งเทศบาลเมือง นคร เป็นต้น

ฉะนั้น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถูกลดบทบาท และความสำคัญลงไปมาก!
นั่นไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพของสังคมไปไกลกว่าระบบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะรองรับโลกยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญของ “พลเมือง” มากกว่าระบบอื่น
มีบางคนพยายามแย้งผม ในเรื่องการลดความสำคัญของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยอ้างเหตุผลหลายประการ ซึ่งผมสามารถโต้แย้งได้ทั้งสิ้น แต่ไม่อยากทำให้เสียน้ำใจกัน จึงเพียงให้ข้อสังเกตเขาไปว่า

หากระบบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นรูปการปกครองอันเป็น
“สากล” แล้ว มีใครเคยได้ยิน “สมาคมผู้ใหญ่บ้านแห่งโลก” หรือ “สมาคม กำนันนานาชาติ” กันบ้าง!?
ระบบบางอย่างนั้นเป็นสากล เช่น ระบบรัฐสภา ซึ่งประธานรัฐสภาไทย ก็ต้องบินไปประชุม “สหภาพรัฐสภา” อยู่บ่อยๆ หรือ ระบบตำรวจ ในระดับโลก ก็มี “องค์การตำรวจสากล” หรือ INTERPOL อย่างนี้เป็นต้น
การยึดถือรูปแบบเดิมๆ ของการปกครองบ้านเรา โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนานั้น บางทีก็จนแต้มเอาง่ายๆเหมือนกัน เช่น

ฝ่ายมหาดไทยนั้น ชอบใช้คำว่า “นักปกครอง” ซึ่งคำว่า “ปกครอง” แปลเป็นภาษาอังกฤษ ก็หาคำที่มาอธิบายความหมายตามความเข้าใจของคนไทยได้ยาก ตัวอย่างเช่น
“กรมการปกครอง” ใช้คำภาษาอังกฤษ เรียกหน่วยของตัวเองว่าเป็น
Local Administrative Department

ขอถามว่า มีตรงไหนที่แปลว่า “ปกครอง” บ้าง!? ...
นั่นเป็นข้อเขียนของผม ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็น “สากล” และในโลกแห่งความเป็นสากลนี่แหละครับ ที่รัฐบาลยุคนายมาร์ค ร้อยศพ ไม่ค่อยจะใช้หัวคิดกัน พวกเขาพยายามกระพือข่าว เรื่องการส่งหมายจับทักษิณ ในข้อหาก่อการร้ายไปทั่วโลก

ผลย้อนกลับกลายเป็นเสมือน นายมาร์ค ร้อยศพ ประจาน พฤติกรรมของตนเองและรัฐบาล เรียบร้อยไปแล้วในสายตาของนานาชาติ เพราะแม้แต่ตำรวจสากล ผู้นำองค์การเขาก็ออกมาบอกชัดเจนว่า องค์การผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของโลกนั้น
เขาไม่ยุ่งกับ...คดีการเมือง!

ทั้งนี้เพราะ คนต่างด้าวเท้าต่างแดน เขาเข้าใจดีว่า เรื่องของนายกฯทักษิณนั้นเป็นคดีการเมืองล้วนๆ นั่นเอง

มิตรรุ่นหลานคนหนึ่ง เพิ่งเล่าให้ผมฟังว่า คนที่นิยมพันธมารในออฟฟิสของเขา อ่านข่าวเรื่องตำรวจสากล ปฏิเสธการจับกุมนายกฯทักษิณ ถึงกับฉุนขาด ตะโกนออกมาดังๆว่า
“โปลิศ นี่ แม่งเป็น ‘มะเขือเทศ’ ทั้งโลกหรือไงกันวะ ขนาดตำรวจสากล ยังดันเป็นองค์การ Tomato กับเขาด้วย!?”

ฟังแล้วก็น่าเห็นใจ ทั้งไอ้พวกพันมารและกองเชียร์ ที่ลุ้นให้จับนายกฯทักษิณ เพราะเมื่อตำรวจสากล เขายึดหลักการอันเป็น “สากล” และไม่ยอมจับให้ตามคำร้องขอ ก็ดันไปกล่าวหาตำรวจสากลว่าเป็น “องค์การ Tomato” หรือ “องค์การมะเขือเทศสากล” ไป เสียอีกแน่ะ!
น่าเวทนาจริงๆ!!

ผมเองนั้น พอรู้เรื่องเกี่ยวกับองค์การตำรวจสากลอยู่บ้าง เพราะเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เป็นเจ้าหน้าที่ไทยคนแรก ที่แสดงปาฐกถาเป็นภาษาปะกิต ในที่ประชุมของ INERPOL เรื่อง Commercial Crime เลยอธิบายให้มิตรรุ่นเยาว์ ที่นำความมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะให้ได้ยินไปถึงเพื่อนร่วมบริษัทว่า
ตำรวจสากลนั้น เขาทำงานแบบ “มืออาชีพ” กฎเกณฑ์ต่างๆขององค์การ ก็วางไว้ชัดเจนปราศจากข้อสงสัยว่า
เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับ...คดีการเมืองเด็ดขาด!

ผมก็ไม่รู้ว่า ไอ้รัฐบาล POTATO HEAD มัน จะพยายามชิงพื้นที่ข่าว หรืออย่างไรไม่ทราบได้ จึงได้พยายามสื่อความ ‘ไม่จริง’ ไปสู่พี่น้องคนไทยของเรา ได้ฟังกันแบบ‘บิดๆ...เบี้ยวๆ’ ตลอดมา!

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องไหนที่จะกล่าวหา หรือเป็นผลร้ายกับรัฐบาล ทั้งๆที่เป็นความจริง โดยมีพยานหลักฐานสนับสนุนแข็งขัน ก็พยายามกีดกัน ไม่ให้ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ ได้ยินได้ฟังกัน ตัวอย่างที่เห็นชัดๆคือ ไม่กี่วันมานี้เอง กำลังถ่ายทอดสดอยู่แท้ๆ แต่ก็มีความพยายามไปทำให้จอโทรทัศน์ ที่ชาวบ้านเขากำลังดูกันอยู่ดีๆ เกิดติดๆดับๆ ทำให้ผู้คนเขาเสียอารมณ์
เลยด่ารัฐบาลโลซกกัน...สนุกปาก ไปเลย!!

มาถึงเรื่อง ‘หมายจับ’ นายกฯทักษิณ ยิ่งร้ายเข้าไปใหญ่ เพราะทั้งรัฐบาลและกระทรวงพัวพันต่างประเทศ ถึงกับต้องดิ้นรน ลงทุนออกมาให้ข่าว ‘โง่ๆ’ มิได้ขาด สมเป็นรัฐบาลหัวมันฝรั่ง หรือ POTATO HEAD จริงๆ
จน กระทั่งผู้นำองค์การตำรวจสากล เขาถึงกับของขึ้น อดรนทนไม่ได้ จึงต้องออกมาพูดจาหนักๆ ทำให้หน้าม้านไปตามๆกัน

ไม่รู้จัก ‘อาย’ ชาวโลก...เขาบ้างเลยนะ!!!

***********

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอให้เราชาว นปช.แดงเชียงใหม่ จงอย่าท้อและอย่าถอย จงร่วมกันต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อไปจนกว่าจะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จาก จ่าชิต เลขานุการ นปช.แดงเชียงใหม่

    ตอบลบ