Mon, 06/07/2010 - 08:39 | by astute | Report topic
ขอประจานหมอพร ทิพย์ซักครั้ง
โดย : อ่างขาง
_________________________________________________________
“คน”ถึงอย่างไรก็เป็น “คน”วันยังค่ำ เป็นอื่นไปไม่ได้ ปากที่ว่ามีจริยธรรมนั้น มันไม่เคยมีใครมีอย่างแท้จริง โลภ โกรธ หลง โกหก ตอแหลมีด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะเกิดในสถานที่ใด มีอาชีพอะไร การศึกษามากน้อยแค่ไหน หรือเกิดจากมนุษย์เผ่าพันธุ์ไดก็ตามที หนีเรื่องของธรรมชาติสร้างให้ไว้ไปไม่พ้น ตลบตะแลงปลิ้นปล้อนกันทั้งนั้น ว่าแต่ใครจะใจกล้าหน้าด้านแสดงออกมากกว่ากันแค่นั้นเอง
ผมจะไม่พยายามคิด ถึง คดีของ “คุณห้างทอง” ผมจะไม่เอาเรื่อง “ซึนามิ” มาเล่าความ ในความปลิ้นปล้อนของคุณหมอพรทิพย์ ที่ทำงานไม่เป็นได้แต่สร้างภาพ แล้วออกมาทำตัวเป็นผู้อวดอุตริทำให้ตัวเองดูเด่น จนคุณหมอด้วยกันหลายคนอดรนทนไม่ได้ ช่วยกันออกมาประจานอย่างหน้าอายที่สุด ไม่มีปัญญาเถียง นิ่งเงียบจนด้วยเหตุผล หน้ายังถูกฉาบด้วยคอนกรีตไม่หลาบจำ ยังอวดอุตริหยั่งรู้ตามกมลสันดานต่อไปเรื่อยๆไม่เสื่อมคลาย ผมจะแกล้งลืมสองเรื่องนี้และมองผ่านมันไปครับ
วันนี้จะขอพูดสามเรื่อง คือ
1.เรื่องการพิสูจน์ แก๊สน้ำตา ที่ ตร.ใช้ยิงม็อบมีเส้นในครั้ง7ตุลาคมปี51
2.เรื่องการรับรองว่า จีที200 ว่าใช้งานได้ดี
3.เรื่องการพิสูจน์วิถีกระสุน หน้าวัดปทุมฯ
เรื่องแรก เรื่องแก๊สน้ำตาที่ใช้ยิงจากตร.มายังม็อบผู้ก่อการดี หมอพรทิพย์เริ่มพิสูจน์ในขณะที่กระแสเชี่ยวกรากจากเสียงด่าของพวกม็อบมีเส้น โจมตีการทำงานของหมอพรทิพย์อย่างเสียๆหายๆอยู่ พวกม็อบด่ากราดว่า เป็นหมอที่โง่ ทำงานไม่เป็น คดโกง เอาเรื่องไม่ชอบมาพากลของการทำงานที่ผ่านมาออกมาเปิดโปงอย่างต่อเนื่อง โดนด่าแค่สองคืนกับสองวัน ผล พิสูจน์จากหมอพรทิพย์ก็เลยสรุปออกมาว่า “แก๊สน้ำตาชนิดยิงที่ทำมาจากประเทศจีน มีผลทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตาย”มันซะเลย ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ม็อบมีเส้นต้องการทุกอย่าง
เป็นการทำงานแบบไม่ มีจรรยาบรรณ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แก๊สน้ำตาชนิดนี้ได้เคยใช้ยิงม็อบ นปก. มาก่อน และผลที่ได้รับจากการใช้แก๊สน้ำตาชนิดนี้ก็ไม่เคยมีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้ม ตายอันเนื่องมาจากการใช้แก๊สน้ำตาชนิดนี้แต่อย่างใดเลย
ข้อพิสูจน์ง่ายๆ ที่หมอพรทิพย์นำเอามากล่าวอ้างก็คือ ได้พบสารชนิดเดียวกันกับที่มีอยู่ในแก๊สน้ำตาในบาดแผลของผู้เสียชีวิต แค่นั้น โดยที่หมอแกล้งไม่ได้ดูข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างครอบคลุม ไม่ได้ดูวีโออีกมากมายที่นำเสนออยู่ทั้ง ทีวี และอินเตอร์เน็ต ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ไม่ยอมพิสูจน์ว่า ลูกระเบิดปิงปองที่พวกม็อบพกพามานั้น มีสารชนิดนี้อยู่ด้วยหรือเปล่าและทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีลูกระเบิดปิงปอง นั้นอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย
เรื่องที่สอง เครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดที่เรียกกันว่า จีที200 เรื่องนี้เป็นการวัดจริยธรรมของหมอพรทิพย์อย่างแท้จริง ทำตัวเหมือนเช่นเดียวกับพวกต้มตุ๋น ทำตัวเหมือนกับ อ.กู้ ออกมารับประกันว่าเครื่องมือชนิดนี้สามารถใช้งานได้ดี ทั้งที่เบื้องหลัง ทั้งโลกก็รู้ว่าเครื่องมือชนิดนี้ไม่ใช่เครื่องมือแบบวิทยาศาสตร์ไดๆทั้ง สิ้น เป็นการหลอกลวงกับผู้นำเบาปัญญาในประเทศด้อยพัฒนา เพื่อนำเอามาเป็นข้ออ้างในการโกงกินประเทศตนเองเท่านั้น.......แต่หมอพร ทิพย์ก็ยอมเอาเกียรติที่ตนเองเป็นถึง “คุณหญิง” เข้ามาแลกด้วย รับประกันการโกงกินในครั้งนี้ว่า “ถูกต้อง” พร้อมกับให้ผู้มีเกียรติในกองทัพไทยที่มียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตทั้งหลายออก มาเล่นละครตบตาต่อชาวโลก ในความเชื่อถือที่ว่าชายชาติทหารโกหกตอแหลไม่เป็น ร่วมกันเล่นละครคณะใหญ่ ออกทีวีแหกตาประชาชน ตัวแสดงมากมายล้วนเคยเป็นที่เชื่อถือของสังคมทั้งสิ้น เป็นนายทหารใหญ่หลายหน่วยงานที่เคยถวายสัตย์มาแล้ว มาร่วมด้วยช่วยกันแสดงละครชุดนี้ ให้ได้รับรู้ว่าประชาชนในประเทศนี้พร้อมจะโง่ทันที ถ้ามีคนกลุ่มนี้ออกมาพูด เพื่อแสดงเป็นนัยให้เห็นว่าเหล่าทหารชั้นผู้น้อยยอมทำลายเกียรติตนเองได้ เสมอไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกหรือผิด ถ้าหากจะต้องปกป้องเจ้านาย พวกเขาจะทำได้ทั้งนั้น คล้ายกับพวกกลุ่มนักต้มตุ๋นทั้งหลายที่จะปกป้องตัวสำคัญไว้เสมอ หากต้องถูกจับได้
หมอพรทิพย์เองไม่เคยคิดจะทบทวนเมื่อมีผู้แย้ง มีผู้พิสูจน์ แต่ยังคงเอายางอายที่ตนเองไม่มีออกมายืนยันสิ่งที่ไม่จริงนั้นคือสิ่งที่ เป็นจริง ก็ไม่ทราบด้วยเป็นเพราะสาเหตุอะไรที่หมอพรทิพย์กล้ากระทำในครั้งนี้ แต่ที่แน่ๆหมอพรทิพย์เองได้หมดไปแล้วในความรู้สึกของคนทั่วไป “นี่ไม่ใช่หมอ ถ้าจะเป็นได้ก็แค่ นักปา...่”
เรื่องที่สาม ผลการพิสูจน์ผู้เสียชีวิตในการสังหารโหดเมื่อเมษายนต์และพฤษภาคมที่ผ่านมา หมอพรทิพย์ไม่จำเป็นต้องเข้าข้างผู้เสียชีวิตก็ได้ เพียงแต่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาแค่นั้นก็พอ แต่หมอคนนี้กลับไม่ทำ ชอบจริงๆกับแสดงบทบาทเป็นตัวเอกในการสร้างวาทกรรมเพิ่มความตอแหล ทำลายความยุติธรรมในประเทศไทย ที่อดีตประชาชนเคยมอบความไว้วางใจให้อย่างสูงสุด ได้ออกมาการันตรีอีกครั้ง “การตายหมู่ที่หน้าวัดปทุมฯ แนววิถีกระสุนไม่ได้มาจากทหาร”
นับว่าเป็น การแหกทุกมิติของหลักฐานต่างๆที่กำลังนำเสนอกันอยู่ในขณะนั้น มีทั้งภาพถ่ายและคลิปวีดีโอมากมายให้ค้นคว้าวิเคราะห์หาเหตุผลในสิ่งที่เกิด ขึ้นจริง
ศพคนตายนั้นถูกยิงที่ตรงไหนของร่างกาย มีทั้งลำตัว มีทั้งขา มีทั้งศีรษะ แต่หมอพรทิพย์ปิดหูปิดตาตนเอง และเลือกที่จะเอาศพที่ถูกยิงบริเวณลำตัวมาเป็นข้ออ้างข้อพิสูจน์แล้วเผย แพร่ออกมาทางสื่อ โดยจุดประสงค์เพียงเพื่อเบี่ยงเบน แนววิถีกระสุนในการยิงเท่านั้น
เรื่องนี้ที่จริงจะเอาหลักฐานพยานมายืน ยันกับหมอพรทิพย์ก็ย่อมได้ เพราะมันมีมากมายเหลือเกินที่สามารถยืนยันในคำโกหกของหมอท่านนี้ เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่องกล้องมองลงมาจากตึกสูงบริเวณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เขาเห็นเหตุการณ์จริงทั้งหมด ผู้ชุมนุมที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เห็นด้วยตาตนเองมีมากกว่า100คน หรือแม้แต่ ผู้การแต้ม ที่กำลังจะเดินทางเข้าไปในวัดนำผู้คนออกมาแต่ ถูกทหารยิงสกัดท่านไว้ ถึงขนาดท่านต้องพูดออกทางโทรโข่งด้วยความโมโห ให้หยุดยิงก่อนท่านกำลังจะเข้าไปแล้ว เหล่านี้เป็นเรื่องที่หมอพรทิพย์ไม่เคยหยิบยกมาเป็นข้อวินิจฉัยในการหาข้อ เท็จจริงทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ผมจะไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นข้อโต้แย้งกับหมอพรทิพย์
ในคำกล่าว ของหมอพรทิพย์ที่ชอบอ้าง “หลักนิติวิทยาศาสตร์” ผมจึงอยากจะเอาหลักวิทยาศาสตร์มาใช้กับหมอท่านนี้บ้าง เพื่อพิสูจน์กันให้เห็นกันไปเลยว่าแท้จริงเป็นเช่นไร ตอแหลกันมากขนาดไหน
ใน ประเด็นหมอพรทิพย์กล่าวว่า “แนววิถีกระสุน ยิงมาในแนวราบ และบางศพยิงมาในแนวต่ำกว่าผู้ถูกยิง ยืนยันด้วยว่า แนววิถีกระสุนนั้นไม่ได้มาจากด้านบนรางรถไฟฟ้าแน่นอน”
ข้อพิสูจน์แบบ ง่ายๆตามหลักวิทยาศาสตร์ ในข้อความนี้คือ หัวกระสุนทั้งหมด ทะลุร่างกายเกือบทั้งสิ้น ถ้าเป็นการยิงในแนวระนาบหัวกระสุนทั้งหมด จะต้องไม่เจาะลงไปที่พื้น หรือถ้าเจาะลงไปก็จะเป็นมุมที่มีองศาน้อยมาก แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเลย แต่ในการดูพื้นที่จริง ร่องรอยของกระสุนส่วนใหญ่เจาะลงไปในพื้นทั้งสิ้น หรือในมุมที่โดนกำแพง ก็จะเป็นมุมที่กดหัวกระสุนต่ำลงทั้งนั้น เรื่องนี้ทีมงานหมอพรทิพย์รู้ดีแต่ไม่นำมาพิจารณา เพียงแต่ทำตามธงที่ตั้งไว้เท่านั้นคือ หาเหตุผลที่จะตอบได้ว่า “แนวกระสุนวิถีไม่ได้มาจากมุมสูง”
มาดูเรื่องเส้นตรงกับสายตากันบ้าง ปกติมนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป สายตาจะขนาดกับพื้นเสมอขณะที่อยู่ในท่ายืนหรือนั่ง การจะหันไปมองในทิศทางอื่นจะใช้การหมุนของศีรษะหันไปมองมากกว่าแค่การกรอก สายตาเท่านั้น
การทดสอบ ให้ทุกท่านแหงนมองไปที่ เพดานบ้านของตนเอง แล้วค้างเอาไว้อย่างนั้น แล้วทดลองพิจารณาดู ศีรษะของท่านแหงนขึ้นด้วยใช่ไหม? นั้นแสดงว่าตั้งแต่ต้นคอขึ้นไปจะอยู่ในลักษณะมุมเงยขึ้นทั้งสิ้น ท่านทดสอบเอาปากกาหรือดินสอเสียบไว้ที่ข้างหู ให้อยู่ในแนวเดียวกับสายตานั่นก็คือเป็นมุเงยตามศีรษะไปด้วย
ต่อไปให้ ศีรษะของท่านกลับคืนมาอยู่ในท่าปกติ มองในกระจกอีกครั้ง ท่านจะเห็นว่า ดินสอหรือปากกาที่เสียบไว้ข้างหูจะกลับคืนมาอยู่ในระดับขนานกับพื้นทันที ใช่หรือไม่
ทั้งหมดนี้แปลว่าอะไร
ผมสมมุติว่า เพดานบ้าน เป็นรางรถไฟฟ้า แนวสายตาที่มองไปบนรางรถไฟฟ้าคือแนวสายตาของผู้ที่ถูกยิงที่มองขึ้นไปบนราง คนยิงอยู่บนรางเมื่อยิงลงมาที่หัวคนที่อยู่ด้านล่างแน่นอนว่ามุมของการยิง กับมุมแหงนหน้าของผู้ถูกยิงเมื่อแหงนขึ้นไปมองผู้ยิงจะเป็นมุมเดียวกัน (เป็นมุมที่เอาดินสอหรือปากกาเสียบไว้ที่หู) เมื่อผู้ถูกยิงล้มลงสภาพร่างกายกลับเข้าที่ นั่นก็คือศีรษะที่แหงนอยู่ก็จะคลายตัวเข้าสู่ปกติ แนวรูกระสุนที่ถูกยิงเข้าศีรษะจึงไม่กดลง (เหมือนเช่นดินสอที่เสียบหูเมื่อเวลาส่องกระจก) เมื่อหมอพรทิพย์ออกมาพิสูจน์เห็นแนวกระสุนที่เป็นเส้นขนานกับพื้น ก็สรุปฟันธงไปในทันทีว่าถูกยิงมาจากแนวระนาบไม่ได้มาจากมุมสูง
และราง รถไฟฟ้านั้นมีอยู่สองชั้นถ้าสายตาของผู้ถูกยิงมองไปที่รางรถไฟชั้นบน แต่มือปืนที่ยิงอยู่ที่รางรถไฟชั้นล่าง แน่นอนว่าเมื่อถูกยิงแล้วสภาพศพที่พบ จะเห็นเป็นลักษณะที่มุมยิงเงยขึ้น คล้ายกับว่า มือปืนอยู่ต่ำกว่า หรือลักษณะการยิงเป็นการนอนยิง
ถามว่าหมอ พรทิพย์ ได้ประเมินเรื่องนี้ไหม ผมคงไม่อาจจะวิเคราะห์ได้ และไม่อาจจะเดาอีคิวของหมอพรทิพย์ได้ แต่หมอเองก็ออกมาฟันธงกันเรียบร้อยแล้ว ว่า คนที่ยิง ยิงมาจากแนวระนาบ ทั้งที่หลายภาพในคลิปวีดีโอก็แสดงให้เห็น ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่หน้าวัดปทุมฯจะเงยหน้าขึ้นไปมองบนรางรถไฟฟ้าทั้งสิ้น
มาดูการถามตอบจากผู้เกี่ยวข้องในการฆ่าในครั้งนี้ กันบ้าง
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า วันที่19พค.53 ไม่มีทหารอยู่ในบริเวณนั้น
นาย สุเทพ เทือกสุบรรณกล่าวตอบในสภาฯว่า เมื่อวันที่19พค.53 ทหารถอนตัวออกในเวลา18.30น.แล้ว (นั่นแสดงว่าไม่ใครก็ใครโกหกแน่หนึ่งคน)
นาย อภิสิทธิ์กล่าวว่า ศพที่ถูกยิงหน้าวัดฯวันที่19พค.53 ถูกยิงในเวลากลางคืนทหารไม่อยู่ในที่นั้นแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงผู้ที่โดนยิง ถูกยิงตั้งแต่17.30น.เรื่อยมาจนถึงเวลา 23น. ซึ่งในเวลานั้น ยังคงมีทหารยังคงอยู่ อย่างน้อยก็นายสุเทพก็ยืนยันว่าอยู่จนถึง18.30น.ซึ่งตอนนั้นยังไม่มืด ภาพในวีดีโอหลายตัวบอกเวลาให้เสร็จ
ก็หมายถึงนายอภิสิทธิ์ก็โกหกอีกคน แท้จริงการตายมีขึ้นตั้งแต่ยังไม่มืด ทหารยังคงอยู่
ผลพิสูจน์จะออกมา อย่างไรยังไม่รู้ ประเทศนี้โกหกกันมาก โกหกกันจนเคยตัว เรื่องจริงกลายเป็นเท็จ เรื่องเท็จกลายเป็นจริงมีให้เห็นเสมอในกระบวนการยุติธรรม คนดีๆคนเก่งๆทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติแม้ตายยังไม่มีแผ่นดินจะให้ฝังร่าง
คน เลวๆโกงกินประเทศอย่างมากมายเวลาตายคนยังไปกราบไหว้รำลึกถึง มีอนุสาวรีย์ให้เชิดชู แต่ในนี้ยังไม่เคยมีหมอเลยซักคนเดียว
ถ้าจะมีซัก คนผมคงจะยกให้กับคนนี้เลย คุณหญิงพรทิพย์ เป็นหมอคนแรก ที่จะมีคนรำลึกถึงวาระสุดท้ายของชีวิตอาจมีอนุสาวรีย์ให้คนรุ่นหลังได้ดูก็ ได้ ถึงคุณงามความเลวที่สร้างเอาไว้ในแผ่นดีนี้เฉกเช่นหลายๆคนที่ผ่านมา เพราะนี่คือเมืองแห่งการตอแหล อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
หมอชันสูตรศพกับ สัปเหร่อข้อแตกต่างมันอยู่ที่ว่า หมอสามารถพิสูจน์ได้ว่าคนตาย ตายด้วยสาเหตุอะไร ส่วนสัปเหร่อก็จะพิสูจน์ได้เหมือนกันว่าศพไหนจะทำผลประโยชน์ให้ตนเองได้มาก สำหรับหมอพรทิพย์ มันแยกออกได้ยากจริงๆแท้จริงเป็นหมอหรือสัปเหร่อกันแน่
ไอ้หมอคนนี้สร้างภาพเก่งอย่างเดียว คิดว่าตัวเองสำคัญเป็นจุดศูนย์กลางของโลกไปไหนใครๆต้องตามใจ ใครๆต้องรอมัน พวกทหาร ตำรวจ อัยการ ศาล ไม่มีใครชอบหรอกทำเป็นใหญ่แต่ความรู้เท่าหางขี้เล็บอึ่ง
ตอบลบ