ทหารอย่าข่มเพื่อน พลเรือนก็เท่าทหาร!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ตลอดสัปดาห์นี้ คนสูงวัยอย่างผม มีความทุกข์ใจ เป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เห็นพี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ทั้งทหารและประชาชน เข้า
สับประยุทธ์ กันกลางกรุง ถึงขั้นบาดเจ็บเป็นเรือนพัน และอีกกว่ายี่สิบชีวิต ต้องสูญสิ้นไปอย่างน่าเศร้าเป็นที่สุด
ผมเคยร่ำเรียนมาทางด้านการต่อต้านการก่อการร้าย และมีประสบการณ์พอสมควรในสนาม รวมทั้งเคยเป็นผู้ฝึกสอนและเขียนตำราในด้านนี้ด้วย ทั้งยังเป็นคนไทยคนเดียว ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมกับกลุ่มครูฝึก ในทีมต่อต้านการก่อการร้ายเยอรมัน ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติของเรา ได้เชิญมาฝึกอบรมเป็นครั้งแรก ให้กับนายทหารระดับผู้การกรม และข้าราชการระดับผู้บริหารระดับสูงเป็นครั้งแรก เมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว และยังสนใจใฝ่ค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
จึง พอมีประสบการณ์ ที่ทำให้มองเห็น ข้ออ่อนด้อยต่างๆของปฏิบัติการของทหาร ในการพันตูกับประชาชนเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ได้โดยไม่ยาก เลยต้องนำมาบอกเล่า จำแนกแจกแจงให้แฟนๆฟังกันดังต่อไปนี้
1.การทิ้งแก็สน้ำตาลง จากเฮลิคอปเตอร์ เรื่องที่สำคัญ
ที่สุดและไม่พูดถึง ไม่ได้เลย และต้องขอตำหนิอย่างรุนแรงด้วย
การทิ้งแก็สน้ำตาลงจากเฮลิคอปเตอร์นั้น เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งทางด้านวิชาการทหาร เขาห้ามกันนักหนา แม้แต่ในกองทัพสหรัฐยังมีความเข้มงวด จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด (can use only under the strictest conditions and with the approval of top military commanders.)
ผลร้ายในเรื่องนี้ ทางทหารอาจไม่เคยศึกษามาก่อนว่า การใช้ยุทธวิธีแบบนี้ บริษัททหารรับจ้างอันเลื่องชื่อ คือ Backwater เคยใช้เพียงครั้งเดียวในประเทศอิรัค เมื่อ ปี ค.ศ.2005 ซึ่งส่งผลกระทบต่อทหารฝ่ายเดียวกัน ที่กำลังปฏิบัติการภาคพื้นดิน รวมทั้งพลเมืองในละแวกนั้นด้วย
นายทหารในสนามคือ Capt. Kincy Clark แห่งกองทัพบกสหรัฐ บอกว่า
“This was decidedly uncool and very, very dangerous,”
ครับ...มันอันตรายเหลือ เกิน!
กลยุทธ์อย่างนี้ ทางกองทัพ หรือหน่วยงานอื่นของสหรัฐ ก็ไม่เคยนำไปใช้ในแผ่นดินของตัวเองด้วยซ้ำ!
แต่ทหารไทยดันทะลึ่ง นำมาใช้กับเพื่อนร่วมชาติตัวเอง!
ทันทีที่ทหารใช้ ‘กลยุทธ์ อัปรีย์’ นี้ ผมบอกเพื่อนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยกันว่า
“ทหารแพ้แล้ว!”
ทั้งนี้ เพราะการใช้ยุทธวิธีที่อันตรายอย่างยิ่ง และผิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายกาจที่สุด จะต้องได้รับการประณามจากสังคมโลกอย่างรุนแรงแน่นอน และได้จุดประกายความโกรธแค้น ให้กับมวลชนที่สะพานผ่านฟ้า เป็นอย่างยิ่ง!
จะเป็นเวรกรรมของฝ่ายทหาร หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ แก็สน้ำตาที่ทหารใช้ในการปฏิบัติการตั้งแต่ต้น ลมพัดย้อนพาแก็สที่ฝ่ายตัวปล่อยออกไป เข้าและทำอันตรายฝ่ายทหารอย่างรุนแรง ไม่น้อยกว่าที่ตั้งใจจะให้อันตรายเกิดขึ้นแก่ฝ่ายราษฎรเลย
2. ฝ่ายทหารประเมินกำลังรบของฝ่ายตรงข้ามผิดพลาด ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เพราะคิดว่า กำลังรบ (Combat Power) ของตนเหนือกว่ากองทัพชาวบ้าน โดยลืมคิดไปว่า
กำลังรบนั้นมี 2 แบบ คือ
-Tangible Combat Power คือ กำลังรบที่จับต้องได้ อันได้แก่ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ปืน ระเบิด รถถัง เครื่องบิน ฯลฯ ซึ่งประชาชน ฝ่ายมุ่งมั่น ที่จะซ่อมแซมประชาธิปไตย สู้ฝ่ายทหารไม่ได้เลย เพราะมีแต่มือเปล่าๆ กับสิ่งของใกล้มือ ที่พอจะหยิบฉวยมาใช้ต่อสู้ได้เท่านั้น รวมทั้งถุงใส่ปลาร้า อาหารแห่งชีวิตของชาวรากหญ้า ก็ไม่เว้น!
- Intangible Combat Power หรือกำลังรบ ‘ที่จับต้องไม่ได้’ ซึ่งสำคัญมากนั่นคือ ขวัญ กำลังใจ ความหาญกล้า ผนวกกับความคับแค้น ที่กลายเป็นความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้ ของพลเมืองฝ่ายที่ต้องการซ่อมแซมประชาธิปไตย
กำลังรบที่จับ ต้องไม่ได้นี้ ชาวบ้านผู้เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่เขาไขว่คว้า มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เป็นเหตุให้เขาเหล่านั้น กล้ายืนหยัดต่อสู้ไม่กลัวตาย พร้อมท้าท้าย...
“ไม่ยอมให้พวกมึง ‘กดขี่’ พวกกูอีกต่อไป!”
ครับ...กำลังรบ ‘ที่จับ ต้องไม่ได้’ นี้ต่างหาก ที่เป็นถือว่า Decisive Factor หรือ ‘เงื่อนไขชี้ขาด’ ในการรบบนถนนกลางกรุงเทพในครั้งนี้ ซึ่งทัพฝ่ายพลเมืองมีอยู่เปี่ยมล้นในหัวใจ ระหว่างการเข้าเผชิญศึก แม้มีเพียงมือเปล่าเท่านั้น นั่นคือ
จิตใจองอาจกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะทำลายสังคมอธรรมแล้วสร้างสังคมใหม่ เพื่อลูกหลานของพวกเขาทั้งหลาย ในวันข้างหน้า...
พลเมืองรากหญ้าเหล่านี้ กลายเป็นทหารกองกำลังทหาร
‘ชั้นเลิศ’ ที่กล้าเผชิญกับความตาย ไร้ซึ่งความหวาดหวั่น
ผลการปะทะเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทหารเสือก็ถึงกาลต้องม้วนเสื่อกลับถ้ำไป แต่กำลังที่หลุดรอดไปถึงค่ายนั้น...
บางหน่วยเหลือไม่ถึง ‘กึ่ง’ เดียว ของกำลังที่ออกไปด้วยซ้ำ!
น่าสงสาร ที่ต้องมาบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ผู้คนเขาก็พากันพูดว่า นี่เป็นเพราะบรรดาทหารตัวนาย...
ลงไปเป็น ‘เบี้ยรับใช้’ นักการเมือง!!
3. ฝ่ายทหารขาดการวางแผนที่ดี และตั้งอยู่ในความประมาท อาจเป็นเพราะความฮึกเหิมของทหาร ที่สามารถขับไล่ฝูงชน ออกจากหน้ากองทัพภาคที่ 1 ได้ในตอนกลางวันของ
10 เม.ย.2553 ทำให้ผู้บังคับหน่วยทหารประมาท และเล็งผลเลิศ ถึงขั้นกล้าออกปฏิบัติการรุกไล่ แบบ “เข้าตีตรงหน้า” ในเวลาโพล้เพล้ ซึ่งผิด หลักการอย่างยิ่ง โดยหวังเพียงจะเผด็จศึก ด้วยกระทำการกดดันผู้ชุมนุม เพราะการปะทะอาจติดพันไปถึงเวลาค่ำคืน ที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งสองฝ่ายได้โดยง่าย
นายทัพที่ ‘โง่เขลา’ เท่านั้น ที่สุ่มเสี่ยงดำเนินกลยุทธ์เยี่ยงนี้ และย่อมจะถูกตราหน้าว่า
เป็นผู้ที่ขาดทั้งสติ และปัญญา!
ทัพทหารแถวหน้าซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ ถือโล่และกระบอง ยกพลเข้ารบประชิด แบบ ‘ตะลุมบอน’ กับผู้คนที่ไม่มีอาวุธ แต่ชาวบ้านเหล่านั้น กลับสู้แบบ ‘เย็บตา’ ตายเป็นตาย...
“พวกกูไม่กลัวพวกมึง!”
การเข้าตีตรงหน้าของทหาร มุ่งกดดันประชาชนให้ร่นถอย ทหารที่เดินตามมา ถือปืนยิงกระสุนยางเข้าใส่ผู้คน ทหารส่วนกลางขบวนสนับสนุนการเข้าตี ด้วยการยิงแก็สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชนอย่างต่อเนื่อง และมีหลักฐานชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัยด้วยว่า ทหารใช้อาวุธและ กระสุนจริง
ยิงใส่ฝูงชน เป็นระยะด้วย!
ที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ก็คือมีหลักฐานว่า
พล ซุ่มยิงของทหาร ที่เข้าพื้นที่ล่วงหน้า และถูกจัดวางไว้บนพื้นที่สูงข่ม ก็ผสมโรง ด้วยการบรรเลงเพลงยิง
ใส่ฝูงคนเบื้องล่าง!
ขณะที่ฝูงชนผู้ประท้วง กำลังสับสนอลหม่าน ซึ่งอาจเพลี่ยงพล้ำโดยง่าย ได้มีการจุดถังแก็ส ซึ่งดัดแปลงเป็นระเบิดแสวงเครื่อง กลิ้งไปยังแถวทหาร เพื่อสกัดกั้นการรุกคืบ
พอโดนทั้งถังแก็ส เข้าเท่านั้น ทหาร ประทวนซึ่งเกือบทั้งหมดนั้น ได้รับการฝึกน้อยมาก และไม่เคยออกศึก
ตกใจ ตะลึงพรึงเพริด ทำอะไรไม่ถูก!
ยังไม่ทันตั้งตัวได้ ทหารในแนวบุกส่วนหน้า ก็โดนถล่มด้วยลูกระเบิดมือ ซ้ำเข้าอีก เป็นเหตุให้ทหารที่น่าสงสารเหล่านั้น ต่างระเนระนาด ล้มลงตาย และได้รับบาดเจ็บกันถ้วนทั่ว
จากนั้นไม่นาน กลุ่มผู้บังคับบัญชาทหารที่ควบคุมการปฏิบัติงานด้านหลัง ก็ถูกหยอดด้วยอาวุธยอดฮิตของ ‘ไทยแลนด์-แดนมิคสัญญี’ คือ M 79 ติดๆกัน 2-3 ลูกติดๆ นายทหารผู้ใหญ่
ถึงกับดับชีพคาที่!
นอกจากนั้น ยังมีนายทหารถูกสะเก็ดระเบิดล้มลง บ้างก็บาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่ได้ ที่ยังพอไหว ก็เร่งรีบ...
หนี ตายกันไป!
4. ฝ่ายการข่าวของทหารนั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง มาตรการในการป้องกันไม่ให้ความลับทางทหารรั่วไหลนั้น ดูไร้ผล เพราะข่าวสารและแผนการต่างๆของทหาร ถูกลำเลียงมาเปิดเผยบนเวทีผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่ป้องกัน อีกทั้งฝ่ายทหารน่าจะรู้ว่า ทหาร แตงโม อาจแปรพักตร์ ไปร่วมต่อสู้กับมวลชน อย่างที่เห็นกัน แต่ไม่มีมาตรการระวังป้องกันล่วงหน้า
หลังคืนวันที่ 10 เม.ย.2553 มีข่าวลือสะพัดไปทั่วกรุงว่า ฝีมือการยิง M 79 ไม่ใช่ของฝ่ายผู้ชุมนุมแน่ๆ เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีอาวุธ หากแต่ผู้คนเชื่อกันว่า
มาจากกลุ่มทหารที่อยู่คนละฝั่ง กับผู้บังคับบัญชาทหารผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มทหารฝ่ายหลังนี้ เขาเข้าใจว่า
การตัดสินใจของบรรดาผู้บังคับบัญชาทหาร ที่นั่งจิบไวน์ใน ราบ 11 นั้น เป็นเรื่องที่ “ผิด” พวกเขาจึงมาคอยระแวดระวัง เพื่อป้องกันประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่จะต้องมารับเคราะห์ เพราะการปราบปรามรุนแรง
ทหารจำนวนน้อยที่ว่านั้น เท่าที่เห็นเคลื่อนไหวในสถานที่ปะทะ มากันเพียงไม่กี่คน พวกเขาคอยเวลาเหมาะเจาะ เพื่อเข้าเคาะสั่งสอนบรรดาทหาร ที่เข้าปราบปรามพี่น้องประชาชน
การยิง M 79 เข้าไปไม่กี่ลูกนั้น จึงเป็นเพียงการเตือนสติ ทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่เป็นสมุนนักการเมืองเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีการ ‘ไล่ติดตาม’ (Pursue) เพื่อทำลายหรือกวาดล้างกำลังทหารที่เข้าปฏิบัติการในครั้งนี้ ให้สิ้นซากไป เหมือนอย่างที่จะต้องทำ กับกองทัพศัตรู
ผมยังมี ‘มุมมอง’ อื่น ให้ท่านผู้อ่านช่วยกันพิจารณาอีก กล่าวคือ
ถ้าทหารกองนี้ ไม่ถูกยังยั้งจากการตอบโต้เสียก่อน แล้วรุกคืบเข้าสู่ถนนราชดำเนินได้ และใช้อำนาจการยิง จากยุทโธปกรณ์ที่มีมาเกินความจำเป็น จัดการกับผู้ชุมนุม เพื่อให้บรรลุภารกิจบรรจุมอบ นั้น
ประชาชนต้องล้มตายลง อีกมากมายเท่าใด!?
ท่านผู้อ่าน ลองคิดกันเอาเองเถอะครับ!!
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง ผมคิดว่า ฝ่ายทหารน่าจะองอาจพอที่จะพูด ‘ความจริง’ เพราะสื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น BBC, CBS, EURONEWS, CNN, Al Jazeera ซึ่งเป็นสำนักข่าวระดับโลกทั้งนั้น ต่างยืนยันตรงกันเป็นเสียง เดียว ว่า
ทหารยิงด้วยกระสุนจริง เป็นเหตุให้ประชาชนล้มตาย!
นี่ยังไม่นับอีกหลายสื่อ เช่น สื่ออินเตอร์เน็ต อย่าง France 24 เป็นต้น
ในที่สุด นายพันสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกะทกรก ออกมาแถลงแบบ ‘ภาคเสธ’ ว่า ยิงคุ้มครองกำลัง ตอนถอนตัวเมื่อโดน ‘ตีแตก’ เท่านั้น
นั่นเท่ากับเป็นการ ‘ยอมรับ’ อย่างหน้าชื่นตาบาน ว่า
1.หน่วยงานของตัว หรือกำลังทหาร โดน ‘ตีแตก’ ไปเรียบร้อยแล้ว
2. มีการยิงด้วย ‘กระสุนจริง’ ใส่ประชาชนนั่นเอง เพียงแต่อ้างแก้ตัวว่า ยิงคุ้มครองตอนถอนตัวเท่านั้น...หรือไม่จริง!?
ดังนั้น การที่รัฐบาลของนายอภิแสบฯ ดันทะลึ่งออกมาพูดเรื่อง “ผู้ก่อการร้าย” ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งๆที่กลุ่มพลเมืองที่รวมกันเพื่อประท้วงนั้น เขามาซ่อมแซมประชาธิปไตย และได้ชุมนุมอยู่ เกือบ 1 เดือน โดยไม่มีใครในประเทศที่ได้ยินคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” หลุดออกจากทางรัฐบาล หรือฝ่ายทหาร แต่อย่างใดเลย
การที่นาย มาร์ค มุกควาย ออกมาแถลงแบบนี้ นอกจากจะทำให้ฝรั่งมังค่า เขียนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายอภิแสบฯ แบบตลกขบขันแล้ว ‘มุกควาย’ อย่างนี้ยังต้องโดนคนในประเทศก่นด่า
เอาอีกด้วย รัฐบาลโลซกนี้ ช่างไม่สำเหนียกเลยสักนิดว่า
ชาวบ้านเขา...คิดเป็นและคิดเองได้!
ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าวชิราวุธ วิทยาลัย ผมขออัญเชิญบทพระราชนิพนธ์บางตอน จากเรื่อง “หนามยอก-เอาหนามบ่ง” ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ใส่กรอบมาฝากพี่น้องเพื่อนร่วมชาติที่รักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ พลเรือน ได้อ่านกันเอาไว้
เพื่อเตือนใจตนเองให้สม่ำเสมอ ว่าเราทุกคนนั้น ล้วนเป็นคนชาติเดียวกันทั้งสิ้น
ช่วยกัน ‘อ่านทวน’ หลายๆ เที่ยว นะครับ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น