พวกเขามาตามหาประชาธิปไตย
ใน ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองอย่างซาอุดิอาราเบีย จอร์แดน มอร็อคโค คูเวต และเคตาร์ รัฐบาลสหรัฐกลับเชื่อว่าจะสามารถทัดทานพายุเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโดยพลัง ประชาชนได้ดีกว่า นั่นอาจเป็นเพราะสหรัฐมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้ปกครองในประเทศเหล่านี้ก็ ได้ ..เช่นนี้ความหวังที่ขบวนการประชาชนในไทยจะได้รับ “ลมใต้ปีก” หนุนไปสู่ความสำเร็จจากประเทศประชาธิปไตยตะวันตก เหมือนที่ขบวนการประชาชนอียิปต์ได้รับจากสหรัฐอเมริกาผ่านทางฝ่ายกองทัพ นั้นน่าจะเป็นเรื่องยาก
ฉะนี้เห็นทีต้องกลับไปมองดูโมเดลเก่าที่เคยพาดพิงถึงกันมานานนมแล้ว นั่นคือแบบฉบับการปฏิวัติประชาชนที่เนปาล..แต่ว่า
โดย ระยิบ เผ่ามโน
ที่มา เวบบล็อกtgdr
สี่ ปีกว่านับแต่กระบวนการประชาธิปไตยของไทยซึ่งล้มลุกคลุกคลานตลอดมาแล้วยังถูก ปล้นไปด้วยการรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ จนบัดนี้ดูจะยิ่งถลำลึกลงไปสู่ห้วงเหวแห่งการปกครองโดยอำนาจรวมศูนย์ (Autocracy) หรือฯพณฯเหนือหัวเหนือท่านยิ่งขึ้น
มากเสียจนเล็งเห็นปลายทางสุดท้ายได้ก็แต่การระเบิดแตกหัก และจะพังทะลายด้วยกันทุกฝ่าย
ฝ่าย ที่ถูกกระทำ และกินน้ำใต้ศอกมาตลอดอันเป็นประชาชนธรรมดาไร้ระดับชั้นฐานันดรทางสังคม รวมทั้งพวกที่แม้พอจะลืมตาอ้าปากก็ไม่อาจตัดใจทำเมินเฉยเสียได้ จึงหันเข้าไปรวมตัวกันเป็นขบวนการประชาชนในจำกัดความของคำว่า”รากหญ้า” และ “ไพร่” ที่ล้วนแต่ตาสว่างในจิตสำนึกแห่งประชาธิปไตยอันแท้จริง
พวกถูกกระทำดังกล่าวนี้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งทางพลังแห่งจำนวน และคุณภาพทางความคิดที่จะไม่ถูกบิดเบือนด้วยศรัทธาบอดอีกต่อไป
แต่ ก็ยังไม่อาจเงยหัวให้พ้นการเอาเปรียบ และครอบงำของผู้กุมอำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจ ที่ได้รับการเชิดชูโดยฝ่ายข้างน้อยที่มีสถานภาพในการยังชีพดีกว่า จึงไม่ยี่หระกับการปรับตัวเปลี่ยนแปลงศรัทธาของตนให้สอดคล้องกับสากลโลก โดยอ้างเอามายาคติทางประวัติศาสตร์มาสนับสนุนความมัวเมา
ปรากฏการณ์ แห่งพลังประชาชนที่เริ่มจากการต่อต้านรัฐประหาร ๒๕๔๙ ปฏิเสธรัฐบาลที่มาจากอำนาจแต่งตั้งนอกระบบ พร้อมทั้งขอคืนรัฐบาลที่มาจากคะแนนเลือกตั้งท่วมท้นกลับมา จากนั้นพัฒนาสู่การต่อต้านอำนาจบงการบังคับใช้กฏหมายอย่างสองมาตรฐานใน สถาบันตุลาการ จนกระทั่งมาเป็นกระบวนการเรียกร้องความยุติธรรมในขณะนี้
ให้ปลดปล่อยผู้ถูกคุมขังที่ถูกกระทำแล้วยังถูกยัดข้อหาร้ายแรง รวมไปถึงนำตัวผู้ลงมือกระทำการ และออกคำสั่งฆ่าประชาชนมาลงโทษ
เหล่า นี้ล้วนเป็นองคาพยพอันจะทำให้คำว่าประชาธิปไตยในระบบการปกครองของไทยเต็มไป ด้วย “เนื้อแท้” (Genuineness) ไม่ว่าจะด้วยสร้อยห้อยท้ายว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่ก็ตาม มิฉะนั้นจะยังคงเป็นแต่ระบบราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) กำมะลอ ที่อำนาจตัดสินใจแห่งชาติมาจากอิทธิพลจำบัง หรือมือที่มองไม่เห็น ซึ่งอาศัยกำลังบังคับจากอาวุธของเหล่าทหารมาปฏิเสธเจตนารมณ์ของประชาชน
ไม่ ต่างอะไรกับการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆ เดียว หรือระบบจ้าวเหนือหัวที่กำลังถูกพลังประชาชนในหมู่ประเทศอาหรับ และอาฟริกาพลีชีพเข้าโค่นล้มทำลาย ดั่งปฏิกริยาลูกโซ่จากตูนิเซีย ถึงอียิปต์ ไปสู่ลิเบีย บาหเรน เยเมน จอร์แดน ซาอุดิ อาราเบีย มอร็อคโค และอีกหลายประเทศในขณะนี้
ชัยชนะของพลังประชาชนต่อผู้ปกครองใน ตูนิเซีย และอียิปต์กลายเป็นต้นแบบ หรือ “โมเดล” ให้แก่ประชาชนในประเทศที่การเมืองการปกครองยังไม่ถึงเกณฑ์คุณภาพประชาธิปไตย แม้แต่ในเนปาลที่เคยเป็นโมเดลด้วยตนเองมาก่อนก็ยังมองตูนิเซีย และอียิปต์อย่างชื่นชม*
บางแห่งมีตำแหน่งบริหารสูงสุดอยู่ที่ ประธานาธิบดี หลายแห่งยังมีกษัตริย์ หรือราชาธิบดีเป็นผู้ปกครอง ประเทศเหล่านี้ล้วนมีรัฐสภาที่ได้มาจากการเลือกตั้ง หากแต่ว่าตัวแทนประชาชนเหล่านั้นยังไม่ได้มาด้วยสิทธิเสียงของประชาชนอย่าง แท้จริง
ผู้ประท้วงดึงรูปประธานาธิบดีลงจากยอดตึก
จึง ไม่แปลกอะไรที่ผู้เรียกร้องต้องการให้ประชาธิปไตยแท้จริงเกิดขึ้นในประเทศ ไทยพากันแสดงความเห็นผ่านสื่อไร้พรมแดน** ถึงโมเดลต่างๆ กันอย่างแพร่หลายมาตั้งแต่ประชาชนตูนิเซียขับไล่ประธานาธิบดีออกไปได้ ซ้ำยังอ้างถึงกันมิขาดเมื่อมาถึงกรณีอียิปต์
อียิปต์สู่วันใหม่:โฉม และหน้า
แต่ ขณะเขียนบทความนี้เหตุการณ์ในลิเบียยังไม่ลงเอย และยังไม่ตกผลึกในที่อื่นๆ ถึงกระนั้นเชื่อว่าจะต้องมีการถกถึงโมเดลของบาหเรน จอร์แดน หรือซาอุดิ อาราเบียจนได้ในไม่ช้า
ทำไมขบวนการประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตยไทยจึงต้องมองหาโมเดลต่างๆ
นอก จากเป็นเพราะสภาพการเมือง การปกครองที่ว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ นี้ ล้มลุกคลุกคลานมานานเกือบ ๗๕ ปีแล้ว ระบบที่อ้างอิงกันอยู่ทุกวันนี้ว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งปรากฏในรายงานคำให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ของนายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน
ย้ำความหมายในว่า เป็น Constitutional Monarchy ชัดเจนนั้น ขอฟันธงด้วยคนว่าไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริงที่อำนาจอธิปไตยของชาติอยู่กับ ประชาชนเลย
ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งกับเนื้อหาที่อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนโต้แย้ง นพ. เหวง บนเว็บบอร์ด อินเตอร์เน็ต ฟรีดอม ว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยในขณะนี้นั้น ไมใช่เลย เป็นคนละเรื่องเลยกับ Constitutional Monarchy รูปแบบในอังกฤษ ญี่ปุ่น สวีเดน เดนมาร์ก เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์” ***
ทั้งบทบัญญัติเกี่ยว กับพระมหากษัตริย์ไทยในรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๘ และกฏหมายห้ามหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาตรา ๑๑๒ แห่งประมวลกฏหมายอาญา ที่นักวิจารณ์ในชาติตะวันตกเรียกกันว่า Draconian Law
รวมทั้งการ บังคับใช้กฏหมายเหล่านี้ในทางปฏิบัติอย่างสองมาตรฐาน กับการพิจารณาคดีเป็นความลับ โดยที่ผู้พิพากษาตัดสินอย่างลักลั่นตามความเห็นส่วนตัว และบางสถานการณ์ที่อาจเป็นการตัดสินตามธงที่ถูกตั้งมาให้ก็ได้ ซึ่งขัดกับหลักการสากลเรื่อง Rule of Law ทั้งนั้น
ประเทศไทยจะอ้าง ชื่อระบบปกครองเป็นประชาธิปไตยอย่างใดก็ตาม แต่เนื้อแท้ทางปฏิบัติไม่ใช่ Constitutional Monarchy ในความหมายแท้จริงอย่างแน่นอน ใครก็ตามพยายามชี้ว่า “เป็นคนละเรื่องเดียวกัน” จะด้วยเจตนาดีหรือร้ายต่อขบวนการประชาชนเพียงใด ย่อมถือเป็นการบิดพริ้วทั้งสิ้น
แล้วอย่างนี้จะยังคงปรับเปรียบใช้โมเดลอะไรกันอีกไหม
แบบบาหเรนนั้น ฝ่ายกษัตริย์มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐมาก ในฐานะที่บาหเรนเป็นฐานทัพเรือหลักของสหรัฐในตะวันออกกลางที่ใช้เป็นกันชน ต่ออิหร่าน และรัฐบาลบาหเรนเต็มไปด้วยราชวงศ์คาลิฟา คือตั้งแต่กษัตริย์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ ล้วนนามสกุลคาลิฟาทั้งนั้น
ถึง แม้นักวิจารณ์อเมริกันจะคิดว่าปัญหาขัดขวางการปฏิรูปอันปริ่มจะกลายเป็น ปฏิวัติประชาชนได้ง่ายๆ อยู่ที่เป้าหมายซึ่งฝ่ายค้านเรียกร้องให้ปลด คือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นเจ้าอาของกษัตริย์ ท่านอยู่ในตำแหน่งนี้มากว่าสี่สิบปีแล้วไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ
แต่ สถานการณ์ชุมนุมประท้วง ณ จตุรัสไข่มุกเมื่อไวๆนี้ อันมีคนมากกว่าครั้งใดๆ กลับจัดตั้งโดยแกนนำทางศาสนาอิสลามนิกายชีไอ๊ท์ ไม่ใช่ฝ่ายค้าน
ที่จอร์แดนก็ เช่นกัน การชุมนุมล่าสุดปลายอาทิตย์พี่เพิ่งผ่านมา มีขบวนการ “ภราดรภาพมุสลิม” เป็นตัวการหลัก ไม่ใช่ “แกนนอน” ชาวปาเลสไตล์ที่เป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือคณะอดีตทหารนอกราชการเช่นเคย
กษัตริย์ อับดุลลาห์ที่สองกับราชินีเรเนียผู้ทรงศิริโฉมเลอเลิศ อาจได้รับการชื่นชมว่าทันสมัย และมีความคิดก้าวหน้า ราชวงศ์ฮ้าสชิไม้ท์ซึ่งอยู่ในอำนาจอย่างราบรื่นมากว่า ๙๐ ปี ด้วยความสามารถปกครองหมู่ชนที่แปลกแยกต่อกันสองเผ่า คือพวกชาวปาเลสไตล์บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และเชื้อสายเผ่าเบดวนฝั่งตรงข้าม ให้อยู่ในความเรียบร้อย
ถึงกระนั้น ก็หนีไม่พ้นการเดินขบวนเรียกร้องการปฏิรูปไม่เว้นแต่ละอาทิตย์ รัฐบาลของกษัตริย์พยายามผันงบประมาณสนับสนุนโครงการเพิ่มรายได้ และประกันสังคม ๕๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ได้ทำให้การเรียกร้องสงบลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเป็นความต้องการรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. ๑๙๕๒ เดิม ที่จัดระเบียบปกครองเป็น Constitutional Monarchy อย่างแท้จริง
ส่วนในซาอุดิอาราเบียที่ มีทางว่าจะเป็นเบี้ยโดมิโนต่อไปไม่ช้าก็เร็ว กษัตริย์อับดุลลาห์ได้รับยกย่องว่าเป็นนักปฏิรูป แถมยังสนับสนุนเรื่องสิทธิสตรี แต่โครงการปฏิรูปต่างๆ ที่แถลงผ่านสื่อในประเทศภายใต้การควบคุมว่ากษัตริย์ทรงพระราชทานนั้นไม่เคย เกิดผลให้เห็นเป็นรูปธรรมจริงจัง มิหนำซ้ำการปฏิรูปทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่นักกิจกรรมคนรุ่นใหม่ เรียกร้องกษัตริย์กลับไม่แยแส
ครั้นเมื่อกระแสปฏิวัติประชาชนโหม หนักในปัจจุบัน กษัตริย์ซาอุฯ พยายามผ่อนปรนด้วยการประกาศโครงการพระราชทานของขวัญแก่ราษฎรเป็นมูลค่าถึง ๓๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คำตอบที่ได้รับจากผู้นำการ เรียกร้องให้ปฏิรูปคนหนึ่งตอกกลับมาว่า นี่แสดงถึงจิตสำนึกเต่าล้านปีที่ว่าเอาเงินฟาดเข้าไปเป็นใช้ได้ “พวกเราต้องการสิทธิเสียงทางการเมือง ความเท่าเทียมของปวงชน ความยุติธรรมในสังคม การปฏิรูประบบกฏหมาย การแบ่งแยกอำนาจ และการกำจัดคอรัปชั่น” ไม่ใช่การปฏิรูปแบบฉาบหน้า
อัน ที่จริงเวลานี้ประเทศในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน และตะวันออกกลางล้วนดำเนินนโยบายสกัดกั้นไฟประชาธิปไตยที่หักโหมด้วยโครงการ ประชานิยมทุ่มเงินลงไปสู่สาธารณะเพื่อลดกระแสปฏิวัติประชาชนด้วยกันแทบทั้ง สิ้น
กษัตริย์โมฮัมเม็ดของมอร็อคโคเพิ่งพระราชทานงบประมาณพยุงราคาสินค้า ๑,๙๐๐ ล้านดอลลาร์ ส่วนรัฐบาลของกษัตริย์คูเวตก็ประกาศแจกเงินพลเมืองชาวบ้านคนละ ๓,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐในโอกาสฉลองเอกราชครบ ๕๐ ปี
แต่ การทุ่มเงินประชานิยมเหล่านี้แม้จะมีจำนวนมหาศาลเพราะล้วนเป็นรัฐบาลประเทศ ร่ำรวยน้ำมัน ก็ไม่สามารถหันเหกระแสเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้มากนัก
ศูนย์ วิจัยการเมืองอเมริกัน อาทิ สถาบันบรุ๊คกิ้งเห็นพ้องกับการสรุปสถานการณ์ของรัฐบาลโอบาม่าว่า กระแสการปฏิวัติประชาชนในหมู่ประเทศอาหรับจะยังกระหน่ำรุนแรงไม่หยุดยั้ง ประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด เช่น เยเมน น่าจะเป็นเบี้ยโดมิโนที่ล้มอันต่อไป
ส่วน ในประเทศที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองอย่างซาอุดิ อาราเบีย จอร์แดน มอร็อคโค คูเวต และเคตาร์ รัฐบาลสหรัฐกลับเชื่อว่าจะสามารถทัดทานพายุเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโดยพลัง ประชาชนได้ดีกว่า นั่นอาจเป็นเพราะสหรัฐมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับผู้ปกครองในประเทศเหล่านี้ก็ ได้
เช่นนี้ความหวังที่ขบวนการประชาชนในไทยจะได้รับ “ลมใต้ปีก” หนุนไปสู่ความสำเร็จจากประเทศประชาธิปไตยตะวันตก เหมือนที่ขบวนการประชาชนอียิปต์ได้รับจากสหรัฐอเมริกาผ่านทางฝ่ายกองทัพ นั้นน่าจะเป็นเรื่องยาก
ฉะนี้เห็นทีต้องกลับไปมองดูโมเดลเก่าที่เคยพาดพิงถึงกันมานานนมแล้ว นั่นคือแบบฉบับการปฏิวัติประชาชนที่เนปาล
เมื่อ ห้าปีที่แล้วเนปาลกลายเป็นข่าวครึกโครมของโลกจากการที่มีการปฏิวัติประชาชน ยุคใหม่ได้สำเร็จ สามารถล้มเลิกสถาบันกษัตริย์ได้อย่างละม่อม เมื่อกษัตริย์กายะเนนทรายอมสละราชสมบัติในปี ค.ศ. ๒๐๐๖ หลังจากที่มีประชาชนนับล้านร่วมกันออกมาประท้วงภายใต้ความร่วมมือระหว่างการ นำของพรรคการเมืองประชาธิปไตยฝ่ายค้าน และพรรคลัทธิเหมาเจ๋อตุง
ก่อน หน้านั้นประเทศเนปาลตกอยู่ในสภาพสงครามกลางเมืองนานถึง ๑๐ ปี จากการจับอาวุธเข้าต่อสู้กับรัฐบาลราชาธิปไตยโดยขบวนการเมาอิสต์ ครั้นหลังจากโค่นกษัตริย์สำเร็จแล้วปรากฏว่ามีความเห็นไม่ลงรอยระหว่างพรรค การเมืองประชาธิปไตย กับพรรคลัทธิเหมา ทำให้ยังไม่สามารถประกาศใช้รัฐธรรมนูญของประเทศได้จนกระทั่งบัดนี้
ตลอด ห้าปีที่ผ่านมาการบริหารประเทศเนปาลดำเนินมาอย่างกะพร่องกะแพร่งท่ามกลางการ คานอำนาจคุมเชิงกันระหว่างฝ่ายเทคโนแครทในพรรคการเมืองประชาธิปไตย และฝ่ายทหารในพรรคลัทธิเหมา ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่พอใจรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำหนดจะแล้วเสร็จในเดือน พฤษภาคมนี้ด้วยกันทั้งคู่
แถมมีข่าวลือหนาหูในกรุงกาตมานธุขณะนี้ ว่าจะเกิดการ “รัฐประหารเพื่อประชาธิปไตย” ขึ้นเสียก่อนด้วย จึงปรากฏว่าชาวเนปาลวัยหนุ่มสาวที่มีความคิดก้าวหน้าฝักใฝ่ประชาธิปไตยต่าง พากันอพยพออกนอกประเทศ ไปทำมาหากินในอินเดีย หรือประเทศเศรษฐีน้ำมันแถบตะวันออกกลางเป็นแถว
ตั้งแต่เนปาลมาถึงตูนิเซีย และตั้งแต่อียิปต์ย้อนกลับไปเนปาล โมเดลที่กล่าวมาเหล่านี้สอนอะไรเราได้บ้าง
บอก ตามตรงว่าไม่เห็นอะไรลึกล้ำมากไปกว่าความจริงที่ว่า ผู้ปกครองที่กุมอำนาจเด็ดขาดแบบจ้าวเหนือหัว และรวยไม่รู้เรื่องในศตวรรษที่ ๒๑ นี้นั้น ยากที่จะยอมวางมือ หรืออยู่อย่างพอเพียงในอำนาจ และทรัพย์ศฤงคารด้วยตนเอง ต้องใช้พลังประชาชนเป็นล้านๆ ขับออกจึงจะได้
สัจจธรรมทางการเมือง ง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งของการปฏิวัติประชาชนก็คือ พลังประชาชนชนิดดอกไม้บานพร้อมกันเป็นล้านดอกนั้นสามารถสยบผู้ปกครองอำนาจ เบ็ดเสร็จได้ก็จริง แต่ถ้าไม่มีการผสานพลังเหล่านั้นให้เป็นกระบวนการที่มีเอกลักษณ์ร่วมกัน และมีการจัดองค์กรอย่างเหนียวแน่น
ในระยะยาวก็ยากที่จะไปถึงจุด หมายแห่งความสมบูรณ์ได้เช่นกัน ดังคำของนักปฏิวัติชาวเนปาลที่บทความของเขาลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์เมื่อไม่กี่วันมานี้วลีหนึ่งว่า
“เราเรียนรู้ว่ามัน ง่ายที่จะเริ่มต้นการปฏิวัติมากกว่าที่จะทำได้สำเร็จลุล่วง การโค่นล้มราชาธิปไตยนั้นยากก็จริงอยู่ แต่การสถาปนาประชาธิปไตยนั้นยากเสียยิ่งกว่า”
0000000
* Thapa, Manjushree, “Nepal’s Stalled Revolution” http://www.nytimes.com/2011/02/23/opinion/23thapa.html?_r=1&nl=todaysheadlines&emc=tha212
** การอภิปรายปัญหาระบบปกครองอันเกี่ยวเนื่องกับประมุขในสื่อสายหลักถูกจำกัด และจำกัดตนเองลงเหลือเพียง ๒.๖ จากจำนวนเต็ม ๕ เนื่องจากหวาดกลัวโทษของกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ดู ประชาไท “รายงานเสวนา ดัชนีชี้วัดสถานภาพสื่อไทย ยังติดกับ ๑๑๒” http://www.prachatai3.info/journal/2011/02/33298
*** http://www.internetfreedom.us/thread-14861.html
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 3/07/2011 12:20:00 ก่อนเที่ยง Share on Facebook
http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_07.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น