นักปรัชญาชายขอบ
ความตอนหนึ่งในข้อเขียนชื่อ “พลิกตำนาน-เบื้องลึก รัฐบุรุษอาวุโว ปรีดี พนมยงค์” (คอลัมน์ ข้างหลังเซียน มติชนรายวัน 20 มีนาคม 2554) อ้างถึงคำพูดของ "ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล" ทายาทลำดับที่ 5 จากทั้งหมด 6 คนของ "ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์" ระบุว่า
"ดุษฎี" เริ่มน้ำตาคลอเมื่อต้องพูดถึงความรู้สึกของผู้เป็นพ่อหลังเกิดกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ว่า
"ทุกคนชอบถาม แต่คุณพ่อไม่เคยบอกอะไรกับลูกหรือแม้แต่คุณแม่ คุณพ่อเคยพูดกับนักเรียนไทยในอังกฤษบอกว่าประวัติศาสตร์เมื่อถึงเวลาแล้ว ประวัติศาสตร์จะบอกเองว่าได้เกิดอะไร นี่คุณพ่อพูดแค่นี้ คุณพ่อมีความดีอยู่อย่างคือไม่เคยใส่ร้ายใคร คุณพ่อเป็นนักวิทยาศาสตร์สังคมและเป็นคนไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีหลักฐาน ยืนยันไม่ใส่ร้ายใคร"
ยิ่งหากให้สรุปถึงเหตุการณ์ที่ "รัฐบุรุษอาวุโส" เคยเสียใจที่สุดนั้น "ดุษฎี" พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
"คุณพ่อไม่ได้พูด...แต่พวกเราพูด แต่ละไว้จุด จุด จุด บอกแล้วว่าไม่พูดย้อนหลังพูดแต่ข้างหน้า"
คำถามที่เราควรถามต่อ “ความเป็นมนุษย์” ของตนเองคือ หากเราเป็นคนในตระกูล “พนมยงค์” เราจะรู้สึกคับแค้นใจเพียงใดที่ “จำเป็นต้องไม่พูดความจริง” ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าการพูดความจริงนั้นมันยุติธรรมต่อความเป็นมนุษย์ของ เราในแง่ที่ว่า “ทุกคนควรมีเสรีภาพในการพูดความจริงเพื่อปลดเปลื้องตนเองจากการเข้าใจผิดของ สังคม หรือจากการถูกลงโทษ (ทางสังคม ฯลฯ) ที่ไม่เป็นธรรม”
และหากมองในมิติทางสังคม-การเมืองในสังคมเสรีประชาธิปไตย เราจะตอบได้อย่างไรว่า สังคมที่ไม่อนุญาตให้ประชาชนพูดความจริงด้านลบของบุคคลสาธารณะใดๆ เป็นสังคมที่มีความยุติธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (ชนชั้นปกครอง) กับประชาชน !
นี่คือหัวใจของปัญหาแห่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือที่นิยมเรียกกันว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมราชานุภาพ” และบทบัญญัติมาตรา 8 วรรค 1 แห่งรัฐธรรมนูญที่ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”
ในทางนิติปรัชญา กฎหมายคือเครื่องมืออำนวยความยุติธรรม ซึ่งหมายความว่ากฎหมายจะต้องบัญญัติขึ้นบน “หลักความยุติธรรม” (principle of justice) บางอย่าง
เช่นในสังคมเสรีประชาธิปไตยกฎหมายต้องบัญญัติขึ้นบนหลักความยุติธรรมพื้นฐาน 2 ประการ คือ หลักเสรีภาพ และหลักความเสมอภาค
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 8 แห่งรัฐธรรมนูญ คือกฎหมายที่ขัดกับหลักความยุติธรรมพื้นฐานทั้งสองประการโดยตรง เพราะเป็นกฎหมายที่วางระบบความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองกับประชาชนอย่างอ ยุติธรรม
เนื่องจาก 1) กำหนดสถานะความไม่เท่าเทียมในความเป็นคนระหว่างชนชั้นปกครองกับประชาชน 2) จำกัดเสรีภาพในการตรวจสอบของประชาชน คือประชาชนไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ สืบค้นหาความจริงหรือข้อเท็จจริงด้านลบของบุคคลที่มีสถานะพิเศษตามข้อ 1)
หากมองในระดับลึก สังคมที่ยอมรับกฎหมายที่ขัดต่อหลักความยุติธรรมเช่นนั้น ย่อมเป็นสังคมที่ยอมรับระบบอันอยุติธรรมต่อ “ความเป็นมนุษย์” ของตนเอง !
กรณีชะตากรรมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์และครอบครัวก็ดี กรณีนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ก็ดี หรือประชาชนทุกคนที่ถูกจำกัดเสรีภาพในการพูดความจริงคือผู้ที่ได้รับความ อยุติธรรมจากกฎหมายดังกล่าว
เพราะโดยความเป็นมนุษย์ในแง่มโนธรรมสำนึก ไม่ยุติธรรมเลยที่มนุษย์เราจะถูกบังคับหรือกำหนดโดยกฎหมายให้ต้องเคารพ สักการะบุคคลใดๆ ก็ตาม เพราะการเคารพสักการะหรือความศรัทธาเชื่อถือเป็นอิสระทางจิตใจของแต่ละบุคคล
และไม่ยุติธรรมเลยที่ประชาชนต้องถูกจำกัดเสรีภาพในการพูดถึงความจริงทั้ง ด้านบวกและลบของบุคคลสาธารณะใดๆ ที่ยังชีพด้วยภาษีของประชาชน และยิ่งเป็นความโหดร้ายต่อจิตใจมนุษย์หากชีวิตเขาต้องยอมจำทนไม่พูดความจริง ที่ควรจะพูด (อย่างที่ครอบครัวปรีดี พนมยงค์ประสบ)
นอกจากมาตรา112 และรัฐธรรมนูญมาตรา 8 จะขัดกับหลักความยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวแล้ว ยังขัดแย้งโดยตรงต่อระบบความเชื่อที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม” หรือ “ปกครองแผ่นดินโดยธรรม”
เพราะหากปราศจากเสรีภาพในการตรวจสอบแล้วประชาชนจะ “รู้” (ไม่ใช่ “เชื่อ”) ได้อย่างไรว่า พระมหากษัตริย์ปฏิบัติตามทศพิธราชธรรมหรือปกครองแผ่นดินโดยธรรมจริงหรือไม่?
นี่คือประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง หากเรายอมรับว่าระบบความเชื่อที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม” เป็นระบบความเชื่อที่มาจากพุทธศาสนา เราจำเป็นต้องยอมรับต่อไปว่า “คุณธรรมหรือความดีงามตามกรอบคิดของพุทธศาสนานั้นสัมพันธ์อย่างจำเป็นกับการตรวจสอบ”
เพราะตามหลักกาลามสูตร สัจจะและความดีงามทางศีลธรรมม่อาจถูกยืนยันได้ด้วย “อำนาจ” และ “การสร้างความเชื่อ” แต่ถูกยืนยันหรือรับรองด้วย “เสรีภาพในการตรวจสอบ” อย่างเต็มที่
ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองจากหลักความยุติธรรมตามระบอบประชาธิปไตย หรือหลักการ “พระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม” มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ย่อมสมควรถูกยกเลิก หรือแก้ไขปรับปรุงให้ไปกันได้กับหลักเสรีภาพและความเสมอภาค
จึงเป็นเรื่องสมเหตุผลอย่างยิ่งที่คนเสื้อแดงรณรงค์ยกเลิก ม.112 และที่จริงแกนนำ แกนนอน และพรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงสนับสนุน ควรมีวาระที่ชัดเจนและจริงจังมากขึ้นในการรณรงค์เรื่องนี้ !
http://www.prachatai.com/journal/2011/03/33664
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น