โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล กลุ่มนิติราษฎร์
ที่มา นิติราษฏร์ ฉบับ ๑๙ (ปิยบุตร แสงกนกกุล)
เผยแพร่ที่ไทยอีนิวส์
วันที่ 20 เมษายน 2554
“แม้ ผู้ประเสริฐที่สุด ภายหลังจากที่เขาตายแล้ว เขาก็ยังไม่อาจได้รับการสรรเสริญเกียรติคุณได้ จนกว่าทุกเรื่องราวที่บรรดาปีศาจได้กล่าวโจมตีเขานั้นจะเป็นที่รับรู้โดย ทั่วกัน และได้รับการพิจารณาวินิจฉัยเสียก่อน” John Stuart Mill, On Liberty, 1859.
ข้ออ้างที่ ๑ มาตรา ๑๑๒ ไม่ใช่เรื่องแปลก ประเทศอื่นๆที่เป็นประชาธิปไตยก็มีกฎหมายลักษณะเดียวกันนี้
กฎหมาย ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของ รัฐมีอยู่จริงในหลายประเทศ สำหรับประเทศที่เป็นสาธารณรัฐ ก็มีความผิดฐานหมิ่นประมาทประธานาธิบดี สำหรับประเทศที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ ก็มีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ แต่กฎหมายของประเทศเหล่านั้นแตกต่างจากมาตรา ๑๑๒ อย่างสิ้นเชิง บางประเทศมีกฎหมายความผิดเกี่ยวกับหมิ่นประมาทกษัตริย์ แต่ไม่เคยนำมาใช้หรือไม่นำมาใช้นานแล้ว บางประเทศอาจนำมาใช้เป็นครั้งคราว แต่ก็เพียงลงโทษปรับ และทุกประเทศที่มีกฎหมายลักษณะนี้ล้วนแล้วแต่กำหนดโทษต่ำกว่ามาตรา ๑๑๒ มาก1
ข้ออ้างที่ ๒ นำมาตรา ๑๑๒ ไปเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศไม่ได้ เพราะสถาบันกษัตริย์ของเรามีบารมีและลักษณะพิเศษ
คน ส่วนใหญ่ในประเทศนี้อาจเห็นกันว่า สถาบันกษัตริย์ไทยได้รับความเคารพอย่างสูง เปี่ยมด้วยบารมี เมตตาและคุณธรรม มีพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรที่ดีงาม และพสกนิกรชาวไทยล้วนแล้วแต่จงรักภักดี คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จึงยืนยันว่าสถาบันกษัตริย์ไทยมีลักษณะพิเศษ ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับสถาบันกษัตริย์ของประเทศอื่นได้ ต่อให้เรายอมรับว่าจริง แต่ความพิเศษเช่นว่าก็ไม่อาจนำมาเป็นเหตุให้กำหนดโทษสูงในความผิดฐานหมิ่น ประมาทกษัตริย์ หรือนำกฎหมายนี้มาใช้เพื่อทำลายล้างกัน นอกจากนี้ ในเมื่อยืนยันว่าสถาบันกษัตริย์ไทยได้รับความเคารพอย่างสูง และคนไทยจงรักภักดีอย่างถึงที่สุดจนยากจะหาที่ใดมาเสมอเหมือนแล้วล่ะก็ กฎหมายแบบมาตรา ๑๑๒ ยิ่งไม่มีความจำเป็น
ข้อ อ้างที่ ๓ บุคคลทั่วไปมีกฎหมายความผิดฐานหมิ่นประมาทคุ้มครองเกียรติยศและชื่อเสียง แล้วจะไม่ให้กษัตริย์มีกฎหมายคุ้มครองเช่นนี้บ้างหรือ?
ไม่ว่า บุคคลนั้นจะเป็นใคร ดำรงตำแหน่งใด ย่อมมีสิทธิในการปกป้องรักษาเกียรติยศและชื่อเสียงของตน แน่นอนว่าต้องมีกฎหมายความผิดฐานหมิ่นประมาทเพื่อคุ้มครองเกียรติยศและชื่อ เสียงของกษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ แต่กฎหมายเช่นว่านั้นต้องไม่มีความพิเศษหรือแตกต่างจากกฎหมายความผิดฐาน หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา หรือหากจะแตกต่างก็ต้องไม่แตกต่างมากจนเกินไป แต่กรณีมาตรา ๑๑๒ นั้น ลักษณะของความผิด (พูดทำให้ผู้อื่นเสียหาย) ไม่ได้สัดส่วนกับโทษ (จำคุก ๓ ปี ถึง ๑๕ ปี) อยู่ในลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ไม่มีเหตุยกเว้นความผิดและเหตุยกเว้นโทษ
ข้ออ้างที่ ๔ ต่อให้มีบุคคลใดถูกลงโทษตาม ๑๑๒ แต่ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษอยู่ดี
มี หลายคดีที่จำเลยรับโทษจำคุก ต่อมาได้ขอพระราชทานอภัยโทษและในท้ายที่สุดก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ก็มีอีกหลายคดีที่จำเลยไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือได้รับพระราชทาน อภัยโทษเมื่อเวลาล่วงผ่านไปนานแล้ว เคยมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นชาวต่างชาติและขอพระราชทานอภัยโทษ เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ (เช่น กรณีนายโอลิเวอร์ จูเฟอร์และนายแฮร์รี่ นิโคไลดส์) แต่กรณีอื่นๆ ต้องใช้เวลานานพอสมควรถึงจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ (เช่นกรณีนายสุวิชา ท่าค้อ) ซึ่งอาจให้เหตุผลได้ว่าแต่ละกรณีมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันไป แต่ถึงกระนั้น นั่นก็หมายความว่า จำเลยจะได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องแน่นอนและเสมอกันทุกกรณี ยิ่งไปกว่านั้น การที่จำเลยถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด, การที่จำเลยถูกตัดสินว่าผิด ต้องโทษจำคุก แต่รอลงอาญา, การที่จำเลยถูกตัดสินว่าผิดและต้องโทษจำคุก ต่อมาได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ทั้ง ๓ กรณีนี้มีผลทางกฎหมายไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ นักวิชาการยังได้หยิบยกสถิติจำนวนคดีแล้วสรุปว่าจำนวนคดีเกี่ยวกับความผิด ตามมาตรา ๑๑๒ มีน้อยว่า “ตั้งแต่ มีกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๕๑ มาจนถึงการใช้ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับปัจจุบัน ตลอดเวลากว่า ๑๐๐ ปี มีคำพิพากษาศาลฎีกาเพียง ๔ เรื่อง...”2 ข้อสรุปนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะตัวเลขนั้นเป็นจำนวนคดีที่ศาลฎีกาตัดสิน ต้องเข้าใจว่า คดีเกี่ยวกับความผิดตามมาตรา ๑๑๒ นี้ ในหลายกรณี จำเลยไม่ต้องการต่อสู้คดี เพราะประเมินว่าสู้ไปจนถึงชั้นศาลฎีกา ผลของคดีคงไม่ต่างกัน จำเลยจึงตัดสินใจยอมรับโทษตั้งแต่คำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้คำพิพากษาถึงที่สุด และขอพระราชทานอภัยโทษต่อไป ด้วยเหตุนี้จำนวนคดีเกี่ยวกับความผิดตามมาตรา ๑๑๒ ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาจึงมีจำนวนน้อย แต่หากลงไปตรวจสอบจำนวนคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ หรือจำนวนคดีที่อยู่ในชั้นตำรวจหรืออัยการ หรือจำนวนผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยถูกจับกุมคุมขังเพื่อรอการพิพากษาของศาล แล้ว จะเห็นได้ว่ามีจำนวนมาก และมีมากขึ้นนับแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
ข้ออ้างที่ ๕ ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ เกี่ยวพันกับความมั่นคงของรัฐ
โดย ลักษณะของความผิดตามมาตรา ๑๑๒ ไม่มีสภาพร้ายแรงถึงขนาดกระทบกระเทือนต่อการดำรงอยู่ ต่อบูรณภาพ และต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ เป็นกรณีที่เกิดจากการพูดแล้วทำให้กษัตริย์เสียหาย ไม่ได้กระทบกระเทือนถึงการดำรงอยู่ของกษัตริย์ ไม่ใช่กรณีประทุษร้ายหรือปลงพระชนม์กษัตริย์ และไม่ใช่การเปลี่ยนรูปแบบของราชอาณาจักร ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จึงไม่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของรัฐ
ข้อ อ้างที่ ๖ ในเมื่อรู้ผลร้ายของการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๑๒ แล้ว ก็จงหลีกเลี่ยงไม่ทำความผิดหรือไม่เสี่ยงไปพูดถึงกษัตริย์เสียก็สิ้นเรื่อง
เมื่อกฎหมายเกี่ยวกับความผิดตามมาตรา ๑๑๒ นี้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาในตัวมันเอง ทั้งในทางตัวบทและทั้งในการบังคับใช้ เป็นกฎหมายที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างยิ่ง ก็ต้องยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา ๑๑๒ ไม่ใช่เห็นว่ามาตรา ๑๑๒ มีโทษร้ายแรง ก็จงอย่าไปเสี่ยง เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง ข้ออ้างแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่า ไฟนั้นร้อน อาจลวกมือได้ ก็จงอย่าใช้ไฟนั้น
ข้ออ้างที่ ๗ ในทุกประเทศล้วนแล้วแต่มีเรื่องต้องห้าม เรื่องอ่อนไหวที่ห้ามพูดถึงหรือไม่ควรพูดถึง
ซึ่ง เรื่องต้องห้ามนั้นก็แตกต่างกันไป ของไทยก็คือเรื่องสถาบันกษัตริย์ จริงอยู่ที่แต่ละประเทศก็มีเรื่องต้องห้าม แต่หากสำรวจเรื่องต้องห้ามในประเทศเสรีประชาธิปไตยทั้งหลายแล้ว จะเห็นได้ว่าเรื่องต้องห้ามเหล่านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ เช่น กรณีในเยอรมนีและหลายประเทศในยุโรป บุคคลไม่อาจพูดหรือแสดงความเห็นไปในทิศทางสนับสนุนฮิตเลอร์หรือนาซี หรือให้ความชอบธรรมแก่การกระทำของนาซีได้มากนัก กรณีหลายประเทศ บุคคลไม่อาจพูดหรือแสดงความเห็นไปในทางเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เหยียดศาสนาได้ แต่กรณีของไทย เรื่องห้ามพูด คือ กรณีสถาบันกษัตริย์ วิญญูชนโปรดพิจารณาว่าเป็นเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่
ข้ออ้างที่ ๘ ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ เป็นเรื่องอ่อนไหว กระทบจิตใจของคนไทยทั้งชาติ สมควรให้กระบวนการยุติธรรมจัดการดีกว่า
หาก ไม่มีกระบวนการยุติธรรมจัดการแล้ว อาจส่งผลให้คนในสังคมลงโทษกันเอง หากจะมีการประชาทัณฑ์หรือสังคมลงโทษอย่าง รุนแรง ก็เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเข้าไปป้องกันและจัดการให้เป็น ระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จะโดนรุมประชาทัณฑ์ เลยช่วยเอาผู้ถูกกล่าวหาไปขังคุกแทน
ข้ออ้างที่ ๙ มาตรา ๑๑๒ สัมพันธ์กับมาตรา ๘ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๘ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” บทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญหลายประเทศ เป็นบทบัญญัติในลักษณะประกาศ (declarative) เพื่อให้สอดรับกับหลัก The King can do no wrongไม่ใช่เป็นบทบัญญัติในลักษณะวางกฎเกณฑ์ปทัสฐาน (normative) การอ่านมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา ๑๑๒ ของประมวลกฎหมายอาญา ต้องอ่านแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่อ่านแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากอ่านแบบประชาธิปไตย จะเข้าใจได้ทันทีว่า มาตรา ๘ มีเพื่อเทิดกษัตริย์ไว้เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งไม่ทำอะไรผิด เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อไม่ได้ทำผิด และไม่ได้ทำอะไรเลย จึงไม่มีใครมาละเมิดได้ คำว่า “เคารพสักการะ” ก็เป็นการเขียนเชิงประกาศเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลทางกฎหมายในลักษณะมีโทษแต่อย่างใด นอกจากนี้ ในระบอบประชาธิปไตย เอกสิทธิ์และความคุ้มกันต่างๆที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆมอบให้แก่กษัตริย์ ก็เป็นการมอบให้แก่กษัตริย์ในฐานะตำแหน่งกษัตริย์ที่เป็นประมุขของรัฐ ไม่ได้มอบให้แก่บุคคลที่มาเป็นกษัตริย์ หากกษัตริย์ปฏิบัติหน้าที่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย เอกสิทธิ์และความคุ้มกันต่างๆก็ต้องหมดไป การแก้ไขมาตรา ๑๑๒ ให้โทษต่ำลงก็ดี การกำหนดเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา ๑๑๒ ก็ดี การกำหนดเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา ๑๑๒ ก็ดี ไม่ได้ขัดหรือแย้งกับมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญ การแก้ไขมาตรา ๑๑๒ ไม่ได้ทำให้กษัตริย์ไม่เป็นที่เคารพสักการะ กฎหมายแบบมาตรา ๑๑๒ ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ปรับปรุงให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยเท่านั้น และหากสมมติว่ามีการยกเลิกมาตรา ๑๑๒ จริง หากมีผู้ใดหมิ่นประมาทกษัตริย์ ก็ยังมีกฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาให้ใช้ได้ ณ เวลานี้ มีความเข้าใจผิดกันในหมู่ผู้สนับสนุนมาตรา ๑๑๒ และผู้เลื่อมใสอุดมการณ์กษัตริย์นิยมว่า การรณรงค์เสนอให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา ๑๑๒ เป็นการกระทำที่มีความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และเป็นพวก “ล้มเจ้า”
ข้าพเจ้า ขอยืนยันว่า การรณรงค์เช่นว่าไม่มีความผิดใดเลย เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรา ๑๑๒ ไม่ต่างอะไรกับการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับ รัฐธรรมนูญ กฎหมายความมั่นคง กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฎหมายอื่นใด มาตรา ๑๑๒ เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มิใช่สถาบันกษัตริย์ สมมติว่ามาตรา ๑๑๒ ถูกแก้ไขหรือยกเลิกจริง สถาบันกษัตริย์ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ไม่ได้ถูกยกเลิกตามมาตรา ๑๑๒ ไปด้วย หากความเห็นของข้าพเจ้าไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ข้าพเจ้าขอยกเอาความเห็นของข้าราชการผู้หนึ่ง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เขาผู้นี้เคยให้ความเห็นไว้ ณ ห้องแอลที ๑ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๒ ในการเสวนาหัวข้อ “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับความมั่นคงของรัฐ” ว่า “ใน เรื่องการแสดงความเห็นหรือรณรงค์อะไร ผมคิดว่าทำได้นะ แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบที่จะไม่ไปผิดกฎหมายด้วย คงขึ้นอยู่กับวิธีการนำเสนอและรายละเอียดของการรณรงค์ว่ามีความเห็นให้เลิก มาตรา ๑๑๒ เพราะอะไร ถ้าเป็นความเห็นที่ไม่ได้เป็นความผิดตามมาตรา ๑๑๒ เสียอีก ก็ทำได้”3 นอกจากนี้นายธาริตฯคนเดียวกันนี้ยังอภิปรายในงานเดียวกันว่า "...
ขณะ นี้มาตรา ๑๑๒ ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งขอเสนอต่อจาก อ.วรเจตน์ ว่า ต้องจัดการพวกที่เยินยอเกินเหตุนั้น ซึ่งต้องต่อท้ายด้วยว่า หาประโยชน์จากการเยินยอโดยการไปใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม ผมไม่ทราบว่าจะตั้งบทบัญญัติอย่างไร แต่เรารับรู้และรู้สึกได้ว่า พวกนี้แอบอ้างสถาบันฯ แล้วใช้เป็นเครื่องมือหรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในการจัดการฝ่ายตรงข้าม พวกนี้จะต้องรับผิดเพราะโดยเจตนาส่วนลึกแล้วก็คือการทำลายสถาบันฯ นั่นเอง..."4 -
- ๒ - ช่วง เวลาที่ผ่านมา คำว่า “ความยุติธรรม” ตลบอบอวลอยู่ในสังคมไทยอย่างยิ่ง คนเสื้อแดงก็เรียกร้องหาความยุติธรรม คนเสื้อเหลืองก็เรียกร้องหาความยุติธรรม
ดัง นั้น ยามใดก็ตามที่ท่านพูดถึง “ความยุติธรรม” โปรดพิจารณาดูก่อนว่า "ความยุติธรรม" ที่ท่านพูดกันนั้นมีลักษณะเช่นไร เพราะ "ความยุติธรรม" มีคุณค่ามากกว่าเป็นเพียงถ้อยคำใหญ่โตเพื่ออ้างความชอบธรรม - ๓ -
ที่ มาของสำนวนนี้ มีอยู่ ๒ สมมติฐาน สมมติฐานแรก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ และมาดาม ปอมปาดูร์สนมเอกของพระองค์ตรัสประโยคนีกับปุโรหิต หลังจากปุโรหิตกราบทูลว่าจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่หลังจากดาวหางโคจรเคลื่อน ผ่าน สมมติฐานที่สอง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ ตรัสถึงรัชทายาทในเชิงดูแคลนว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากพระองค์จากไป คำว่า “le déluge” ไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา แต่เป็นอุทกภัยขนาดมหึมาที่พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างให้พังภินท์ปรากฏฏอยู่ใน เรื่องเรือโนอาห์ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ ๖ ที่พระเจ้าดำริให้กวาดล้างมนุษย์ไปเสียจากแผ่นดินโลก ทั้งมนุษย์ สัตว์เลื้อยคลาน และนก แต่ด้วยเห็นว่าโนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระเจ้า พระเจ้าจึงบอกให้โนอาห์ทราบ พร้อมทั้งมอบแผนผังรูปแบบเรือที่ใช้ในการช่วยชีวิตของโนอาห์ให้รอดพ้นจากการ ถูกน้ำท่วมล้างโลกเมื่อถึงกำหนดของพระเจ้า โนอาห์ก็ขึ้นไปอยู่บนเรือพร้อมสิ่งมีชีวิตอย่างละคู่และบันดาลให้ฝฝนตก ๔๐ วัน ๔๐ คืนติดต่อกัน จนน้ำท่วมโลก ผู้คน สัตว์ และพืชทุกชนิดที่อาศัยบนโลกก็เสียชีวิตไปทั้งสิ้น และให้น้ำท่วมโลกอยู่เป็นเวลาถึง ๑๕๐ วัน ปัจจุบัน สำนวน “Après moi, le déluge” ใช้ในความหมายที่ว่า หากตนเองตายไปหรือพ้นจากตำแหน่งไป อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ตนไม่สนใจเพราะไม่เกี่ยวกับตนแล้ว ในบางครั้ง มีการนำสำนวนนี้ไปใช้กับกรณีบุคคลที่ครองอำนาจยาวนาน และไม่ได้คิดตรึกตรองถึงอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากตนไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า บุคคลนั้นเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ไม่รับผิดชอบใดๆต่ออนาคต ยกตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งใหญ่ยิ่ง มากด้วยอำนาจบารมี ครอบครองทรัพย์ศฤงคารมากมาย และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมศูนย์เข้าสู่ตัวข้าพเจ้าทั้งหมด ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่บางคนอาจคาดหมายว่าหากข้าพเจ้าไม่อยู่เสียแล้ว สถานการณ์วันข้างหน้าคงสับสนวุ่นวาย ที่ปรึกษาข้าพเจ้าจึงถามข้าพเจ้าว่า หากข้าพเจ้าพ้นจากตำแหน่งหรือตายไป วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าได้คิดการณ์ล่วงหน้าไว้หรือไม่ ข้าพเจ้าตอบว่า “Après moi, le déluge” นั่นหมายความว่า...
--------------------------------------- 1. ในส่วนของกฎหมายต่างประเทศเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ โปรดดู ปิยบุตร แสงกนกกุล, “ความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ขัดกับเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น : กรณีหมิ่นประมาทกษัตริย์สเปน”, http://www.enlightened-jurists.com/page/193 และสามารถฟังคลิปบันทึกเสวนาเรื่อง “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จัดโดยคณะนิติราษฎร์ วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๔ ในส่วนการอภิปรายของปิยบุตร แสงกนกกุล และบางส่วนจากการอภิปรายในหัวข้อ "บทวิพากษ์ขบวนการล้มเจ้า ฉบับ ศอฉ." เนื่องในโอกาสเปิดตัวหนังสือหลากมิติกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อวันที่๖เมษายน๒๕๕๓คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ที่ http://archive.voicetv.co.th/content/12710
3. จันทจิรา เอี่ยมมยุรา (บรรณาธิการ), หลากมิติกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, โครงการประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , สำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล , ภาควิชาปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๓, หน้า ๑๐๑. 4. เพิ่งอ้าง, หน้า ๙๒. 5. ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ กลุ่มไทยทำปรัชญา (สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย), “จริยศาสตร์เชิงหน้าที่”, สารานุกรมปรัชญาออนไลน์ฉบับสังเขป, http://www.philospedia.net/Deontologicalethics.html#2
เปิดตัวเครือข่ายประชาธิปไตย( คปต.) เดินเครื่องยกเลิก112 คืนอิสรภาพสุรชัย+220เหยื่อกฎหมายหมิ่น คนไทยในเยอรมันร่วมขบวนเสื้อแดงนานาชาติ ผนึกฝ่ายประชาธิปไตยในประเทศเคลื่อนพลยกเลิก#112 เคลื่อนไหวใหญ่เลิก#112วันนี้ เจ้ย-อภิชาติพงศ์โดดร่วมนักวิชาการ-คนดังระดับโลกตื่นรู้กฎหมายหมิ่นฯ อภิปรายนิติราษฎร์ พร้อมด้วยข้อเสนอ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายมาตรา 112 ไม่เอา 112: โรคระบาดใหม่ทางเฟสบุค ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว |
Posted by TTT at 4/20/2011 01:35:00 หลังเที่ยง Share on Facebook
http://thaienews.blogspot.com/2011/04/112_20.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น