สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิติราษฎร์ ข้อสังเกตบางประการต่อคำสารภาพเรื่องแผงผังล้มเจ้า



4 มิถุนายน 2554

นิติราษฎร์ ฉบับที่ ๒๓ (สาวตรี สุขศรี)
ข้อสังเกตบางประการต่อคำสารภาพเรื่องแผงผังล้มเจ้า
ที่มา นิติราษฎร์

สัปดาห์ ที่ผ่านมามีปรากฎการณ์น่าสนใจกำเนิดขึ้น ต้นต่อมาจากคำรับสารภาพของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (อดีตโฆษก ศอฉ.) หรือ เสธ.ไก่อูซึ่งกล่าวต่อศาลไว้ทำนองว่า แผนผังล้มเจ้านั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเรื่องที่ศอฉ. คิดขึ้นเองแบบทันทีทันใดโดยยังไม่มีข้อยืนยันว่ารายชื่อที่อยู่ในแผนผังคือ คนที่คิด "ล้มเจ้า" หรือ "ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์" จริง ๆ1 คำสารภาพนี้ได้มีการกล่าวโทษไปยังบทบาทและการทำหน้าที่ของ "สื่อมวลชน" ด้วยที่นำแผนผังฯ ไป "ขยายความ" ต่อกันเองจนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมกันนั้นก็แสดงความเชื่อมั่นต่อการใช้ "ดุลพินิจและวิจารณญาณ" ของสังคมและประชาชนไทยว่าคงจะสามารถพิจารณาเองได้ว่าผังล้มเจ้าของ ศอฉ. นั้นหมายความอย่างไรกันแน่ จากปรากฎการณ์ดังกล่าว มีเรื่องที่ควรตั้งเป็นข้อสังเกต และข้อน่านำไปปฏิบัติหลายประการดังนี้...

๑. สังคมที่ร้องหาคนดี โดยไม่มีคำตำหนิต่อผู้กล่าวความเท็จ

"ประการ ที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการศอฉ อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่น ซึ่งหมายความว่ามีความพยายามยามเป็นความจริง ศอฉ ก็มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สังคมได้รับทราบความจริงเป็น เช่นไร" คำให้การช่วงหนึ่งของพอ. สรรเสริญฯ

คำ ชี้แจงของอดีตโฆษกศอฉ. ในประเด็นเรื่องความพยายามในการช่วยแก้ข้อกล่าวหาที่อาจไม่เป็นความจริง และน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ "ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์" นั้น อันที่จริงต้องถือเป็นเรื่องถูกต้องดีแล้ว หากศอฉ. จะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษหาทางชี้แจง เพื่อปกป้องบุคคลที่อาจได้รับความเสียหายในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวพันกับการกระทำ หรืออำนาจหน้าที่ของหน่วยงานตนเอง และจะยิ่งถูกต้องที่สุด ถ้าความเป็นสุภาพบุรุษของศอฉ.เยี่ยงนี้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไม่ว่าผู้นั้นจะมียศฐาเป็น "ท่านผู้หญิง" หรือว่าเป็นเพียง "สามัญชนคนธรรมดา"

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยไม่ควรยอมรับได้เลยหากคำชี้แจงเพื่อปกป้องบุคคลคนหนึ่ง กลับกลายเป็นการกล่าวหา หรือ "เสมือนกล่าวหา" บุคคลอีกคนหรืออีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บน "มูลความจริง" เพราะนั่นย่อมทำให้บุคคลอื่น ๆ เหล่านั้นอาจได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบอันไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกันกับท่านผู้หญิงฯ เราย่อมไม่อาจให้อภัยได้ เมื่อพบว่า "ความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สังคมได้รับทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร" อันเป็นคำชี้แจงของอดีตโฆษกศอฉ. นั้น กลับไม่ใช่การชี้แจงข้อมูลข่าวสารที่เป็น ความจริงเพื่ออธิบายให้สังคมทราบความจริงแต่กลายเป็นการกล่าว ความไม่จริงเรื่องหนึ่ง เพื่ออธิบาย ความไม่จริงอีกเรื่องหนึ่ง คำถามก็คือ เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่กันที่สังคมไทยจะได้รับทราบ "ความจริง"

อนึ่ง ไม่ว่าในความเป็นจริงจะมีขบวนการล้มล้างสถาบันฯ อยู่หรือไม่ หรือใครจะเป็นผู้คิดล้มล้าง แต่นั่นย่อมไม่ใช่ประเด็น หรือข้อแก้ตัวให้กับการกล่าวหาบุคคลใด ๆ โดยขาด "ข้อเท็จจริง" ที่จะมายืนยันความผิดที่ผู้ถูกใส่ความจนอาจได้รับโทษ หรือถูกเกลียดชังจากสังคม ฉะนั้น ศอฉ. จึงต้องมีความรับผิดชอบบางประการต่อเรื่องนี้ (ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป) ในขณะที่คนอื่นใดที่เพิกเฉยต่อการกระทำของศอฉ. โดยยกข้ออ้างทำนองว่า "แผงผังอาจไม่จริง แต่ก็ใช่ว่าขบวนการล้มเจ้าจะไม่มีอยู่จริง" ควรต้องนับว่าเป็นผู้บกพร่องทางตรรก วิจารณญาณ และออกจะไร้สติสัมปชัญญะอยู่มาก

นับ เป็นเรื่องน่าสนใจเช่นกัน เมื่อปรากฎการณ์นี้มาพร้อมกับความเงียบงันโดยพร้อมเพรียงกันของผู้คนทั้งที่ มีอาวุโส และไม่มีอาวุโสทั้งหลาย ที่มักคร่ำครวญหาผู้มีศีลธรรมความดีงามให้เข้าสู่อำนาจและทำตนเป็นแบบอย่าง เป็นหลักเป็นฐานกับบ้านเมือง เขาเหล่านี้ทำเหมือนกับว่า "การไม่กล่าว คำ เท็จ การไม่พูดจาส่อเสียด หรือการไม่นำเสนอข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน รวมทั้งการกล่าวคำที่อาจทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย" เหล่านี้ ไม่ได้เป็นข้อหนึ่งที่ผู้มีธรรมควรยึดถือปฏิบัติ หรือเป็นหมุดหมายหนึ่งของคุณลักษณะแห่งการเป็น "คนดีมีศีลธรรม" บุคคลเหล่านี้ คือ คนที่พร้อมยกมือสนับสนุนให้จำกัดจัดการเสรีภาพของสามัญชนอย่างถึงที่สุด หากคำพูดของมันผู้นั้นทำท่าว่าจะก่อความเสียหายให้แก่อภิสิทธิ์ชน แต่กลับหดมือซุกกระเป๋าเมื่ออภิสิทธิ์ชนเป็นคนทำให้สามัญชนต้องเสื่อมเสีย

ฤาคำว่า "ศีลธรรมและความดีงาม" ของประเทศนี้ไม่ได้รวมถึงการ "ห้ามกล่าวความเท็จ"

๒. บทบาทของสื่อกระแสหลัก

น่า สนใจอย่างยิ่ง เมื่อสังคมไทยต้องพบว่า ณ เวลาที่ศอฉ. แถลงข่าวต่าง ๆ ในช่วงของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สื่อกระแสหลักทุกช่องต่างทำ จ้องทำ หรือต้องทำข่าวเพื่อนำเสนอต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า ซึ่งนอกเหนือจากการถ่ายทอดสดการแถลงข่าว (อันเป็นเสมือนหน้าที่ของสื่อเหล่านั้น) แล้ว ยังมีการสรุปความและนำเสนอในช่วงเวลาข่าวเช้าบ่ายเย็นอีกด้วย แต่การณ์กลับปรากฏว่าสื่อกระแสหลักทุกช่อง สื่อหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อ้างว่าอยู่เคียงข้างประชาชน ต่างพร้อมใจกันเพิกเฉย และไม่ทำข่าวการสารภาพของโฆษกศอฉ. ว่าแท้ที่จริงแล้ว แผนผังล้มเจ้า” (ที่สำนักข่าวตนเคยนำไปขยายความเอง ตามคำซัดทอดของพ.อ.สรรเสริญ) นั้น ศอฉ. มิได้พูดหรือมิได้ตั้งใจให้หมายความว่าคนซึ่งมีรายชื่อในผังนั้นมีพฤติกรรม หรือมีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันฯ จริง ๆ คงมีเพียงสื่อทางเลือก หรือสื่อกระแสรองเพียงไม่กี่สำนักเท่านั้นที่เขียนข่าวถึง

ไม่ ว่าการ ขยายความต่อจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด หรือจากความสมัครใจหรือไม่ แต่เมื่อปรากฎว่าสิ่งที่นำไปขยายความนั้นไม่เป็นข้อความจริง หรืออย่างน้อยที่สุดมันอาจทำให้ผู้คนในสังคมเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนจาก ความเป็นจริง จนอาจทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย คำถามก็คือ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างหรือไม่ การทำข่าวนำเสนอ ความจริงเพื่อแก้ไข ความไม่จริงหรือแก้ไข "ความบิดเบือน" ที่ตนเคยเสนอออกไปในอดีต มิได้เป็นสิ่งที่ควรทำ หรือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของการทำหน้าที่ของ สื่อไทยฉะนั้นหรอกหรือ

ฤา ว่าผู้มีรายชื่อในแผนผังกำมะลอฉบับนี้ และได้รับความเสียหายจากการเสนอข่าวของสื่อเหล่านี้ ควรต้องดำเนินการฟ้องร้องสื่อจริง ๆ ตามคำแนะนำของ พ.อ. สรรเสริญ เพื่อสร้างบรรทัดฐานแก่สังคม พร้อม ๆ กับเรียกร้องจรรยาบรรณจากสื่อ

๓. โปรดใช้วิจารณญาณแบบไทย ๆ

"...แต่ หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความใน ทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา...“ – คำให้การช่วงหนึ่งของพอ. สรรเสริญฯ

เดือน เมษายนถึงกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553 สถานีวิทยุชุมชนถูกปิดจำนวน 26 แห่ง ในพื้นที่ 9 จังหวัด ถูกยุติการออกอากาศจำนวน 6 แห่ง ปรากฏชื่อในข่ายมีความผิด 84 แห่ง ในพื้นที่ 12 จังหวัด2 ราวเดือนเมษายนปี 2554 วิทยุชุมชนเสื้อแดง 13 แห่งถูกปิด หรือให้ยุติการออกอากาศ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑน3 จากการสำรวจสถิติการปิดกั้นเว็บไซท์ตั้งแต่ปี 2550 ถึง กลางปี 2553 มีเว็บเพจถูกคำสั่งศาลปิดกั้นการเข้าถึงอย่างเป็นทางการทั้งสิ้น 74, 686 ยูอาร์แอล เลขหมายยูอาร์แอลดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากหลักพันเป็นหลัก หมื่นในช่วงปี 2552 และเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 25534 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการชุมนุม และมีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง

ข้อ เท็จจริงเบื้องต้น คือ สื่อต่าง ๆ ที่ถูกปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงเหล่านี้ นอกจากฝ่ายรัฐบาล หรือหน่วยงานที่ปิดกั้นแล้ว ไม่มีใครมีโอกาสได้รับรู้เลยว่าเนื้อหาที่เผยแพร่อันเป็นสาเหตุของการถูกปิด กั้นนั้นเป็นอย่างไร หรือขัดต่อกฎหมายอย่างไร สื่อที่ถูกปิดกั้นบางสื่อนำเสนอเรื่องราวที่หลากหลาย มีทั้งที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิดได้ และเรื่องทั่ว ๆ ไปที่ไม่น่าจะเป็นความผิด (เพราะเนื้อหาในลักษณะเดียวกันสามารถนำเสนอได้ในสื่ออื่น ๆ ที่ไม่ถูกปิดกั้น) แต่ด้วยเหตุผลบางประการ "สื่อเหล่านั้น" ก็กลับถูกปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงทั้งหมดแบบไม่เลือกเนื้อหา จำนวนตัวเลขยูอาร์แอลที่ถูกปิดกั้นโดยคำสั่งศาลจากผลการสำรวจดังกล่าว ยังมิได้นับรวมเว็บเพจอีกจำนวนมหาศาลที่ถูกปิดกั้นโดยคำสั่งของศอฉ. ซึ่งไม่ได้ขอคำสั่งศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (มาตรา 20) แต่ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และข้อเท็จจริงเบื้องต้นอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ที่ผ่านมาแม้สื่อจำนวนมากจะโดนปิดกั้นไปแล้ว (ปัจจุบันหลายแห่งยังถูกปิดกั้นต่อไป แม้จะยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไปแล้วก็ตาม) หรือห้ามไม่ให้ดำเนินการ หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชน แต่กลับมีผู้ที่ต้องรับผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นเจ้าของสื่อเหล่านั้นถูกฟ้องร้อง หรือถูกศาลพิพากษาว่าเผยแพร่สิ่งที่เป็นความผิดตามกฎหมายจริง ๆ ในจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนสื่อที่ถูกปิดกั้นไป จึงนำมาซึ่งข้อสงสัยว่าตกลงแล้ว "เนื้อหา" ที่ถูกปิดกั้นนั้นเป็นความผิด หรือว่าไม่ผิด

ตัวเลขสถิติ (ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ) รวมทั้งรูปแบบ และวิธีการในการปิดกั้นสื่อเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดสามารถสะท้อนได้ว่า ที่ผ่านมาฝ่ายรัฐไม่ได้ต้องการให้ประชาชนรับสื่อโดยใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลใน การตัดสินความน่าเชื่อถือของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง รัฐหาได้พยายามเปิดพื้นที่ หรือให้โอกาสในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารสำหรับทุก ๆ ฝ่ายไม่ ทั้งที่ข้อมูลที่หลากหลายเหล่านั้นมีความสำคัญยิ่งที่จะทำให้การคิด วิเคราะห์เปรียบเทียบเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งของประชาชน และสังคมเป็นไปได้อย่างถูกต้อง หรือไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และด้วยสถานการณ์การไล่ล่าสื่อที่เห็นต่างจากฝ่ายรัฐดัวกล่าวมา ประกอบกับพฤติกรรมดูถูกหรือไม่ไว้วางใจสติปัญญาของประชาชนไทยของภาครัฐ จึงนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจยิ่งว่า เมื่อมาถึงกรณี แผนผังล้มเจ้าแล้ว พ.อ. สรรเสริญ กลับร้องหาและเชื่อมั่นอย่างมากในวิจารณญาณของผู้คนในสังคม

ต่อ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ประเด็นคงมิใช่เรื่องที่ผู้เขียนอยากตัดพ้อ หรือประชดประชันการใช้อำนาจรัฐแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญที่อยากชี้ชวนให้ตั้งคำถามดัง ๆ ก็คือ ในท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนคนไทยมีโอกาสเข้าถึง หรือได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนรอบด้านจากทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมเสมอหน้ากันหรือไม่ อย่างไร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจหรือใช้วิจารณญาณต่อเรื่อง "แผนผังล้มเจ้า" (รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมาด้วยว่าฝ่ายใดผิดถูก) หากพิจารณาให้ดี ๆ เราจะเห็นถึงความย้อนแย้งในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะในขณะที่ ศอฉ. เรียกร้องการตัดสินใจจากสังคมโดยวิเคราะห์จากข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ แต่ปรากฎว่าในช่วงเวลานั้น รัฐ ศอฉ. และสื่อที่เห็นด้วยกับรัฐ แทบจะเป็นฝ่ายเดียวที่มีพื้นที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนได้อย่าง เต็มที่

เช่นนี้แล้ว ศอฉ. จะต้องแปลกใจด้วยหรือ หรืออันที่จริงแล้วศอฉ. ควรคาดหมายได้อยู่แล้วด้วยซ้ำไปว่า ด้วยการใช้ วิจารณญาณแบบไทย ๆผลลัพธ์ที่ออกมาต่อกรณีแผนผังล้มเจ้าของตนและพวกจะมีรูปร่างหน้าตาเป็น อย่างไร

๕. ว่าด้วยความรับผิดชอบในทางกฎหมาย

ไม่ ว่าเสธไก่อู ศอฉ. หรือคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมปฏิเสธได้ยากว่า "แผนผังล้มเจ้า" มีหน้าที่ "ทางการเมือง" ประการสำคัญ (ดังที่เกษียร เตชะพีระ เคยกล่าวไว้แล้ว5) เพราะนอกจากผังดังกล่าวจะกลายเป็นเอกสารชิ้นหนึ่งที่ถูกอ้างอิงโดย DSI ในการดำเนินการกับกลุ่มบุคคลแล้ว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเคยใช้ผังนี้เพื่อเป็นเครื่องมือในการอ้างอิงความชอบธรรมสำหรับการกระทำ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำรุนแรงต่อคนไทยด้วยกัน ในฐานะองค์กรผู้ปกป้องสถาบันฯ สำคัญของชาติ ทั้งนี้ รายชื่อบุคคลหรือองค์กรที่ปรากฎอยู่ในแผนผังจำนวนหนึ่งคือชื่อของแกนนำนปช. ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษว่ามีความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ แล้ว ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาหรือกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินคดี รวมทั้งผู้ที่อาจยังไม่ถูกตั้งข้อหาใด ๆ แต่ถูกประณามจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

ด้วย พลังการทำลายล้างของ "แผนผังล้มเจ้า" ไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุมจนมีประชาชนบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมากถึงสอง ครั้งสองครา การสร้างความรู้สึกเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ตำรวจ ทหาร การดำเนินคดีกับบุคคลฝ่ายต่าง ๆ โดยมีประเด็นที่เกี่ยวพันกับการล้มล้างสถาบันฯ ส่งผลให้บุคคลจำนวนไม่น้อยถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่ได้รับสิทธิในการ ประกันตัว หมายรวมกระทั่งความไม่พอใจต่อสถาบันฯ ที่เริ่มแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชนมากขึ้นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน เราจึงไม่อาจเพิกเฉย หรือไม่ตั้งคำถามใด ๆ ต่อเรื่องนี้ได้เลย และกลุ่มบุคคลผู้เต้าแผนผังฯ จะสามารถลอยตัวเหนือปัญหา โยนภาระให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายแบบที่เป็นอยู่กระนั้นหรือ หากวิเคราะห์จากพฤติการณ์และเจตนาแล้ว การกระทำของศอฉ. และพวก จึงน่าจะเข้าข่ายเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายฉบับต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เป็นอย่างน้อย

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 326, 3286 กล่าวสรุปให้สั้นและง่ายสำหรับบทบัญญัติทั้ง 3 มาตรานี้ได้ว่า มาตรา 157 คือบทที่ว่าด้วย "ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ" กล่าวคือ เจ้าพนักงานของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ของตนไปในทางมิชอบก็ดี ไปในทางทุจริตก็ดี เพียงเพื่อใส่ร้าย กลั่นแกล้ง หรือก่อให้เกิดความเสียหายในทางใดทางหนึ่งแก่ผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี เจ้าพนักงานของรัฐเหล่านั้นจะต้องมีความรับผิดทางอาญา เช่นนี้แล้วเมื่อ ศอฉ. รู้ทั้งรู้ว่ารายชื่อที่ตนนำมาจับโยงใยไปมาในเอกสาร แล้วตั้งชื่อเอกสารว่า "แผนผังเครือข่ายล้มเจ้า" เป็นเรื่องที่ยังไม่มีมูล หรือยังไม่มีข้อยืนยันได้ว่าคนเหล่านั้นคิดล้มล้างสถาบันฯ จริงๆ แต่ยังนำมาแถลงให้เป็นข่าวใหญ่ครึกโครม แจกจ่ายเอกสารแก่สื่อมวลชน จึงย่อมมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่มิชอบ มุ่งแต่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่สังคม และทำให้บุคคลในแผนผังฯ ได้รับความเสียหาย

นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังเข้าข่ายเป็นการ "ใส่ความ" ตาม มาตรา 326 คือ การกล่าวร้ายต่อบุคคลอื่นใดกับบุคคลที่สาม ในประการที่ "น่าจะ" ทำให้บุคคลที่ถูกใส่ความนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเป็นความผิดในฐานหมิ่นประมาท บทบัญญัตินี้มีความน่าสนใจอยู่มากตรงที่ ผู้ถูกใส่ความสามารถร้องขอความเป็นธรรมจากศาลได้แม้จะไม่ปรากฎ "ความเสียหาย" ที่เป็นรูปธรรมขึ้นจริงก็ตาม เพราะกฎหมายใช้คำว่า "น่าจะ" เท่านั้น จากกรณีนี้ ย่อมชัดเจนว่าประเทศไทยและสังคมยังคงอ่อนไหวกับเรื่องราวใด ๆ ที่เกี่ยวพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ (พิจารณาได้จากสถานการณ์เชียร์และต้านมาตรา 112) ดังนั้น ไม่ว่าในความเป็นจริงบุคคลต่าง ๆ ที่มีรายชื่ออยู่ในแผนผังฯ จะได้รับความเสียหายหรือถูกใครเกลียดชังจริงหรือไม่ แต่คำว่า "ล้มเจ้า" นี้ห้วงยามปัจจุบันย่อมเป็นถ้อยที่ "น่าจะ" ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเสียหาย หรือถูกเกลียดชังได้ทั้งสิ้น อนึ่ง พฤติการณ์ในการ "ใส่ความ" ดังกล่าว ได้ปรากฎชัดเจนว่า ศอฉ. กระทำด้วยการแถลงต่อ "สื่อ" หรือด้วยการ "โฆษณา" ดังนั้นจึงอาจต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 328 (หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา)

อย่างไรก็ตาม จากคำรับสารภาพของพ.อ. สรรเสริญ ที่ว่า

"ข้าฯ ได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจก แก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้ เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง....ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม...

ผู้เขียนจึงเห็นควรต้องอธิบายถึงบททีว่าด้วย "เจตนา" ในทางอาญาโดยสังเขปไว้เสียด้วย ทั้งนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า ศอฉ.ไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดได้ด้วยคำแก้เกี้ยวง่าย ๆ ดังกล่าว

ในทางกฎหมายอาญานั้น "เจตนา" ใน การก ระทำความผิด อันถือเป็นองค์ประกอบ (ภายใน) สำคัญที่จะตัดสินได้ว่าผู้กระทำต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนหรือไม่นั้น มิได้มีแค่เพียง "เจตนาประสงค์ต่อผล" เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงเจตนาอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้กระทำสามารถ "คาดหมาย" หรือ "เล็งเห็น" ผลเสียหายจากการกระทำของตนด้วย หรือที่เรียกว่า "เจตนาเล็งเห็นผล" ยกตัวอย่างเช่น

นาย ก ยิงปืนไปที่ นาย ข เพราะต้องการฆ่านาย ข ให้ตาย ปรากฎว่านาย ข ตายจริง เช่นนี้ย่อมชัดเจนว่า นาย ก มีเจตนาที่ประสงค์ต่อผล คือ ความตายของนาย ข นาย ก ต้องรับผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล

แต่ ในอีกกรณีหนึ่ง นาย ก ยิงปืนไปในฝูงชน โดยมีความประสงค์แค่ต้องการ "ข่มขู่" ไม่ได้อยากให้ใครตาย แต่ในความเป็นจริงการยิงปืนไปเช่นนั้น นาย ก ย่อมสามารถคาดหมาย หรือเล็งเห็นผลได้ว่าต้องมีหรืออาจมีใครตาย ปรากฎว่า นาย ข ซึ่งยืนอยู่ในฝูงชนนั้นตายจริง ๆ จากลูกกระสุนของนาย ก เช่นนี้ นาย ก จะโบ้ยใบ้ว่าตนเองไม่ได้เจตนาให้นาย ข ตาย หรืออย่างมากก็แค่ประมาทเลินเล่อ (ซึ่งมีโทษน้อยกว่าเจตนา) มิได้ ในทางกฎหมายอาญานั้น นาย ก ต้องรับผิด ฐานฆ่า นาย ข ตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล

เมื่อนำตัวอย่างดังกล่าว มาพิจารณากับกรณี "แผนผังล้มเจ้า" จะเห็นได้ว่า ด้วยห้วงยามแห่งการแถลงข่าว ด้วยความที่เป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างมากสำหรับประเทศไทย ด้วยรายชื่อที่เกี่ยวข้อง (คนที่โดนพิพากษาว่าหมิ่นแล้ว โดนข้อหา แกนนำนปช.) ด้วยข้อมูลอื่นที่ศอฉ. และฝ่ายรัฐโหมเสนอต่อประชาชนก่อนหน้า ซึ่งแวดล้อมแผนผังฯ อยู่ เช่นนี้ แม้ศอฉ. ไม่ได้กล่าวถ้อยคำด้วยตนเองตรงๆ ชัดๆ ว่า "เอกสารที่ไปแจกนั้น หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์" ก็ย่อมเป็นกรณีที่ศอฉ. สามารถเล็งเห็นผลได้ว่า สื่อและสังคมจะเข้าใจไปเช่นนั้น และเมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฎในหลาย ๆ กรณีว่าได้เกิดความเข้าใจไปเช่นนั้นจริง ๆ ศอฉ. ย่อมมิอาจปฏิเสธความรับชอบของตนได้โดยอาศัยหลักการในเรื่อง "เจตนาเล็งเห็นผล" นี้เอง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 และ 4237 สำหรับคนที่มีรายชื่อในแผนผังฯ และความเสียหายได้เกิดขึ้นจริงจนอาจพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมถึง "ค่า" แห่งความเสียหายนั้น น่าจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งได้อีกด้วย ทั้งนี้ โดยอาศัยมาตรา 420 และมาตรา 423 ในหมวดทีว่าด้วยเรื่องละเมิดโดยทั่วไป และการหมิ่นประมาทในทางแพ่ง เพราะจากคำรับสารภาพของพ.อ. สรรเสริญ เองย่อมชัดเจนแล้วว่าเป็นการ "กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง"

พระราชบัญญัติว่าด้วยกากระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) สำหรับ ประเด็นนี้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ที่ผ่านมาได้เคยมีการนำเอกสาร หรือแผนผังดังกล่าวไปเผยแพร่ หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยหน่วยงานของศอฉ. หรือหน่วยงานของรัฐบาลเองด้วยหรือไม่ แต่หากมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น กรณีเช่นนี้ย่อมมีโอกาสเข้าข่ายเป็นความผิดตาม มาตรา 14(2) ได้เช่นกัน ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน..." ปฏิเสธได้ยากว่าข้อหา "ล้มเจ้า" ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นโดยฝ่ายรัฐ (ไม่มีฐานความผิดนี้ปรากฎอยู่ที่ใดในกฎหมาย) เป็นคำกล่าวหาที่ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกล่าวหานี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความวุ่นวาย ทางการเมือง หรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ทางใดก็ทาง หนึ่ง เกิดกระแสการคัดง้างกันระหว่างฝ่ายนิยมเจ้าและไม่นิยมเจ้าอยู่เนือง ๆ ในขณะที่ประชาชนโดยทั่วไปเองก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว และไม่มั่นคงในสเถียรภาพ เมื่อจู่ ๆ หน่วยงานของรัฐ (โดย ศอฉ.) เป็นผู้ลุกขึ้นมาปั้นแต่งว่ามีขบวนการล้มเจ้าอยู่จริง โดยทำทีชี้ชัดได้ว่ามีใครในขบวนการนี้บ้างย่อมต้องก่อให้เกิด "ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน" ได้เป็นธรรมดา

สำหรับ คำถามที่ว่า แผนผังล้มเจ้ากำมะลอฉบับนี้ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานชี้ได้เลยหรือไม่ว่า ฝ่ายรัฐกระทำผิดกฎหมายในการสั่งให้ทหารสลายการชุมนุมจนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย หรือใช้เพื่อการสั่งให้จับกุมหน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลอื่นไว้โดยมิชอบ โดยความเห็นของผู้เขียน เห็นว่า ณ ปัจจุบัน โดยตัวของเอกสารเอง คงไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อชี้ชัด ๆ เช่นนั้นได้ เว้นแต่มีเอกสาร "คำสั่ง" ชิ้นอื่นใดมาประกอบว่าการสั่งการให้มีการสลายการชุมนุม หรือการดำเนินการต่าง ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นโดยอาศัยแผนผังฯ นี้เป็น "ข้อหา" หลักหรือข้อหาพื้นฐาน ไม่ใช่ข้อหาอื่นใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหาการ "ก่อการร้าย" ที่รัฐบาลมักกล่าวถึงเสมอๆ หากในที่สุดแล้วข้อเท็จจริงยังมีแค่เพียงว่า ศอฉ. หรือฝ่ายรัฐ ใช้แผนผังฯ นี้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการ "กล่อมเกลา" หรือ "ชักจูง" ให้ตำรวจทหารผู้ปฏิบัติการ ปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่เพราะรู้สึกว่าตนกำลังกระทำใน "สิ่งที่ถูกต้อง" หรือกำลัง "กำจัดอริราชศัตรู" การดำรงอยู่ของแผนผังฯ นี้ คงเป็นได้แต่เพียงเอกสาร "โฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda) ของฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายนิยมเจ้าเท่านั้น

อย่าง ไรก็ตาม ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่า พฤติกรรมการสร้างเรื่อง แต่งผังฯ รวมทั้งการแถลงข่าวแบบเล็งเห็นผลในความเสียหายที่อาจมีต่อบุคคลอื่นได้ดัง กล่าวไปแล้วนั้น ย่อมใช้เป็น "หลักฐานประกอบ" ในประเด็นชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคำพูด และการกระทำในช่วงที่ผ่านมาของฝ่ายรัฐได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่รัฐมีข้อพิพาทกับประชาชน, ปัญหาการยัดเยียดข้อกล่าวหา, การบิดเบือนคลิปภาพ เสียง หรือวีดิโอ, การกระพือข่าวการพบอาวุธหนักในที่เกิดเหตุ ฯลฯ เพราะคำสารภาพโดยศอฉ. ครั้งนี้ย่อมเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยได้ว่า การให้ข่าวก็ดี การปฏิบัติหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ก็ดีของฝ่ายรัฐที่ผ่าน ๆ ตั้งอยู่บนความโปร่งใส มีมูลเหตุที่ไม่สุจริต มีเป้าหมายอื่นใดแอบแฝง หรือได้ทำไปเพื่อความสงบสุข หรือเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง หรือไม่

สุด ท้ายอาจกล่าวได้ว่า ถ้าสื่อไทยมีจรรยาบรรณกว่านี้อีกนิด ถ้าคนไทยเปิดตากว้างกว่านี้อีกหน่อย และถ้าสังคมไทยจะมีวุฒิภาวะกว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย กรณีแผนผังล้มเจ้ากำมะลอของศอฉ. ก็น่าจะพอมีคุณูปการได้บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ในฐานะที่เป็นเครื่องเตือนสติคนไทยว่า อย่างมงายหลงเชื่อถ้อยแถลงของฝ่ายรัฐไปเสียทุกเรื่อง.

---------------------------------------------

เชิงอรรถ

Publish Post

1) ดูข่าวนี้ รวมทั้งเอกสารกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล ได้จากสำนักข่าวประชาไท http://www.prachatai3.info/journal/2011/05/34974

2) ข้อมูล จากรายงานผลการ ศึกษา "การจับกุมดำเนินคดีและปิดสถานีวิทยุชุมชน ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (7 เมษายน – 7 กรกฎาคม 2553) โดย โครงการเฝ้าระวังการแทรกแซงวิทยุชุมชน (Community Radio Watch) ดำเนินการโดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) สนับสนุนโดย มูลนิธิไฮริค เบิลล์

3) ดูข่าวนี้ได้จาก "ปิดวิทยุชุมชนแดงหมิ่น หนุนทหารป้องสถาบัน" จากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000051458

4) ผลการวิจัย "สถานการณ์การควบคุม และปิดกั้นสื่อออนไลน์ด้วยการอ้างกฎหมายและแนวนโยบายแห่งรัฐไทย" สนับสนุนโดย มูลนิธิไฮน์ริค เบิลล์; http://www.enlightened-jurists.com/directory/134

5) อ่านบทความเกษียร เตชะพีระ "หน้าที่ทางการเมืองของแผนฟังเครือข่ายล้มเจ้า" ที่ http://www.siamintelligence.com/politics-function-of-anti-monarchy-chart/

6) มาตรา 157 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"

มาตรา 326 "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"

มาตรา 328 "ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท"

7) มาตรา 420 "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"

มาตรา 423 "ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น ก็ดีหรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อ ความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้...."

Posted by TTT at 6/04/2011 06:29:00 หลังเที่ยง Share on Facebook

http://thaienews.blogspot.com/2011/06/blog-post_7327.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น