สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อภิสิทธัตถะ-สัปปายะสภาสถาน: ศิลปะวัตถุแห่งราชาชาตินิยม พ.ศ.2553


Wed, 2010-08-11 01:36

Archiculture Cross Section


สัปปายะสภาสถาน สถาปัตยกรรมราชาชาตินิยมร่วมสมัย


1. รูปตัดอาคารรัฐสภาแบบชนะเลิศการประกวด, ออกแบบ พ.ศ. 2552


2.

ธรรมราชาเป็นแหล่งที่มาของความชอบธรรมทางการเมืองและพระราชอำนาจ ศักดิ์สิทธิ์หรือบารมีมาแต่โบราณ เป็นอุดมคติดั้งเดิมของสังคมการเมืองพุทธเถรวาทที่ถือว่าพระราชาผู้ทรงทศพิธ ราชธรรมย่อมสั่งสมพระราชอำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือบารมี อันจะส่งผลโดยปริยายให้ระเบียบโลก(สังคม)ของชาวพุทธอยู่เย็นเป็นสุข ธรรมราชาตามทฤษฎีกษัตริย์นิยมประชาธิปไตย อยู่บนพื้นฐานปรัชญาการเมืองของพุทธเถรวาทดังกล่าว แต่ปรับแปรให้สอดคล้องกับยุคสมัย ออกมาเป็นโครงการและพระราชกรณียกิจต่างๆ ซึ่งเน้นการเอาใจใส่ทุกข์สุขของมหาชน แต่พระราชกรณียกิจทั้งหลายกลับมิได้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางการเมืองตามที่เข้าใจกันทั่วไป เพราะพระองค์ทรงอยู่เหนือการเมืองเพราะการเมืองในความเข้าใจทั่วๆไปหมาย ถึง การต่อสู้เพื่อเข้าครอบครองรัฐบาลและรัฐสภา ธรรมราชายุคประชาธิปไตยหรือกษัตริย์นิยมประชาธิปไตยอยู่เหนือการเมืองในความ หมายแคบเช่นนี้

แต่หากการเมืองหมายถึง สัมพันธภาพทางอำนาจ(power relation)ระหว่างกลุ่มฝ่ายหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐ สถานะเหนือการเมืองย่อมจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งในระบบ การเมืองของไทย กล่าวคือมีปริมณฑลการเมือง” (การต่อสู้เพื่อเข้าครอบครองรัฐบาลและรัฐสภา) อยู่ข้างล่าง และมีปริมณฑลเหนือการเมืองอยู่ข้างบนในระบบเดียวกัน ภายใต้ระบบเดียวกันนี้ ธรรมราชาเหนือการเมืองย่อมทรงพระบารมีวิเศษเมื่อเปรียบเทียบกับนักการเมือง ซึ่งทำได้อย่างเก่งก็แค่มีอำนาจอันสกปรกฉ้อฉล


จากบทความ ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา, ธงชัย วินิจจะกูล, ปาฐกถา 14 ตุลาประจำปี 2548, หน้า 13


รูปตัดแบบอาคารรัฐสภาใหม่ (1.) นี้ถูกผลิตขึ้นหลังข้อเขียน (2.) ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี แต่ดูราวกับว่าทั้งสองจะกลมกลืนอยู่ร่วมกันเป็นดังภาพประกอบและคำอธิบายแนว ความคิดในการออกแบบได้อย่างพอดี? ความย้อนแย้งของมันก็คือ ผู้ออกแบบเองก็คงไม่ประสงค์จะลอกแนวความคิดของบทความนี้บรรจุลงไปเป็นแนว ความคิดหลักในการออกแบบแน่ๆ ด้วยเหตุว่ามันเป็นบทความที่เคยถูกเซนเซอร์ในปี พ"ศ.2548[i] ด้วยเหตุผลของความไม่เหมาะสมซึ่งน่าจะแสดงถึงความไม่เป็นที่พึงปรารถนา หรือการไม่ยอมรับทัศนะวิจารณ์ในบทความนี้ ณปีพศ.นั้น ไม่ว่าจะด้วยเชื่อว่าบทความนี้วิเคราะห์ผิดพลาด หรือวิเคราะห์ตรงไปตรงมาเสียจนไม่คิดว่าสังคมไทยจะยอมรับความจริงแบบนั้นได้ ก็ตาม แล้วเหตุไฉนเลยสถาปัตยกรรมระดับชาติในปี พ.ศ.2553 นี้เอง ที่กลับประกาศตัวสวมปรัชญาการออกแบบ ที่มีเนื้อหาเดียวกับบทความที่ถูกเซนเซอร์จากสังคมเมื่อ5ปีก่อน และกลับได้รับการยอมรับจากกรรมการตัดสินจนเป็นแบบที่ชนะเลิศการประกวด? เมื่อได้ย้อนกลับมาอ่านบทความฉบับเต็ม ผู้เขียนพบว่ามันกลับสามารถอธิบายที่มาความคิดงานออกแบบชิ้นนี้, ทัศนะเกี่ยวกับการเมืองแบบไทยๆ และสาระแห่งความเป็นไทยในการเมืองร่วมสมัยได้ (อาจจะ) ชัดเจนตรงไปตรงมาเสียยิ่งกว่าข้อแถลงของทีมออกแบบเองเสียอีก[ii] อย่างนี้แล้วสิ่งที่ไม่ยอมรับในปี 2548 คืออะไร? สิ่งที่ยอมรับในปี 2553 มันเป็นสิ่งเดียวกันที่มีความต่างกันตรงไหน?


สิ่งที่ต่างคือ ท่าทีในการมองข้อเท็จจริงสังคม-การเมืองไทย... บนสิ่งที่ถูกเห็นสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งมองด้วยการวิเคราะห์วิจารณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งนำเอาเนื้อหาเดียวกันมาชื่นชมเชิดชู...[iii] มันคงไม่ได้เกิดจากแผนการต่อสู้ทางการเมืองวัฒนธรรมแต่อย่างใด ผู้เขียนเชื่อว่ามันออกมาอย่างจริงใจจาก intuition ของปัจเจกที่ถูกก่อรูปมานับสิบปี มันคือรสนิยมทางการเมืองกระแสหลักของคนไทยร่วมสมัย ที่ถูกทำให้เป็นสิ่งสูงสุด ถูกต้องที่สุด ไม่ได้เป็นรสนิยมทางการเมืองที่ชาวไทยมีสิทธิเลือกหรือไม่ แต่ถูกทำให้เป็นวัฒนธรรมเชิงเดี่ยวทางการเมืองที่กดทับรสนิยมทางการเมืองแบบ อื่นๆ ...ถ้าคุณเป็นคนไทย...คุณต้องเชื่อแบบนี้ ไม่อย่างนั้น....คุณก็ไม่ไทยแล้วในวิกฤติทางการเมือง3-5ปีที่ผ่านมาที่ทัศนะนี้กำลังถูกเขย่า การประกาศ ยืนยันคุณค่าในทัศนะคติทางการเมืองแบบราชาชาตินิยมของผู้ออกแบบนี้ต่างหาก ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญให้แบบชนะใจกรรมการและทำให้สัปปายะสภาสถานได้รับชัยชนะ มิใช่การทำงานของแนวความคิดทางสถาปัตยกรรม หรือพูดอีกอย่างได้ว่า การประกวดแบบรัฐสภาใหม่เป็นการประกาศย้ำmanifestoทางการเมืองให้ถูกรับรอง อย่างเป็นทางการผ่านงานสถาปัตยกรรมเพื่อสยบการท้าทายที่กำลังก่อตัว และกลายเป็นบทหนึ่งของการเมืองวัฒนธรรมไม่ว่าผู้ออกแบบจะประสงค์หรือไม่ก็ ตาม


องค์ประกอบทางศิลปะลัทธิราชาชาตินิยม


ถ้าย้อนไปดูอดีต วิกฤติเอกลักษณ์ไทย หรืออาการหมกมุ่นค้นหาระบุความเป็นไทยนั้นมักมาคู่กับกระแสชาตินิยม มันจะเร่งร้อนผลิตพฤติกรรมแสดงค่านิยมแปลกๆพิลึกๆฉาบฉวยๆออกมาบังคับใช้ เช่นแฟชั่นภาคบังคับสมัยจอมพล ป. หรือการยืนตรงเคารพธงชาติ ในสมัยรัฐบาลหอย นายธานินทร์ กรัยวิเชียร (2519-20) ผู้มอบมรดกอาการตัวแข็งเมื่อได้ยินเพลงชาติ มันเริ่มด้วยการสะกดให้กลัว [iv] จนทุกวันนี้หลายคนยอมรับมันไปในฐานะจารีตอันศักดิ์สิทธิ์มิใช่กฏหมาย และที่มาของมันก็ถูกลืมเลือนไป

ชาติหรือไทยนั้นนับอายุได้ไม่ถึง 200 ปี หากเราเริ่มนับตั้งแต่กระแสล่าอาณานิคมในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือภาวะที่ไทยเริ่มต้องระบุความเป็นชาติแก่อิทธิพลภายนอก ก่อนหน้านั้นที่ยังเป็นสยาม มีบันทึกรณรงค์เอกลัษณ์แห่งสยามหรือไม่? หรือหากมี เหตุใดรัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชนิยมโปรดให้สร้างวัดราชโอรสอันเป็นวัดประจำรัชกาลให้มีกลิ่นอาย จีนได้? ผู้เขียนจะปล่อยให้มันเป็นคำถามต่อผู้เสพประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบทางการ อันเต็มไปด้วยจริง-ลวงที่เกินความสามารถผู้เขียนไปมาก

แล้วเอกลักษณ์ไทยที่ราชาชาตินิยมร่วมสมัยหรือผู้ออกแบบต้องการหาได้จากที่ใด? ผู้เขียน google เข้าไปดื้อๆ แล้วพบเวบเพจนี้...


สำนักงานส่งเสริมเอกลักษณ์ไทยก่อตั้งในปี 2521 โดยมีที่มาและนโยบายดังนี้

เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๑ ในสมัยรัฐบาล พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พบว่ามีข้อมูลข่าวสารทั้งเปิดเผย และลับออกมาโจมตีสถาบันสูงสุดของชาติ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดในบรรดาเยาวชน และประชาชนคนไทย นอกจากนั้นการที่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์สำหรับคนไทย เช่น การนิยมวัตถุและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มาจากต่างประเทศ ความฟุ่มเฟือย การลดคุณค่าทางด้านจิตใจ ละเลยแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณี คุณธรรม และจริยธรรมทางสังคม ขาดความเข้าใจในคุณค่าของมรดกของชาติ มีการพัฒนาประเทศโดยขาดการพิจารณาทบทวนถึงคุณค่าของเอกลักษณ์และภูมิปัญญา ไทย ความเป็นอยู่ชีวิตประจำวันที่แสดงถึงเอกลักษณ์ไทยนับวันจะหายากขึ้น จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

และในปีพุทธศักราช ๒๕๒๒ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะกรรมการเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ และคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติตามลำดับ โดยปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ๔ สถาบัน ได้แก่ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในพุทธศักราช ๒๕๒๓ ได้มีพระราชกฤษฎีกา ตั้งสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ เป็นหน่วยงานระดับกอง สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่เสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ และปฏิบัติงานเลขานุการของคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ และได้รับการยกฐานะเป็นหน่วยงานระดับสำนัก เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๙

ปัจจุบันสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของ ชาติ สังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ.๒๕๔๕ ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันที่สำคัญ ๔ สถาบัน คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข [v]

.

...ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันที่ 4 ชื่อว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”...องค์ประกอบของความเป็นไทยในสัปปายะสภาสถาน [vi] หรือเสาหลักแห่งราชาชาตินิยมนั้นเรียบง่ายและไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไร เมื่อกระแสชาตินิยมครอบคลุมสังคมจะเต็มไปด้วย propaganda ที่บรรจุคำตัดสินดีชั่วถูกผิดไว้ให้กับเกือบทุกสิ่ง สิ่งที่ผู้เขียนสนใจเป็นกลไกและองค์ประกอบที่กำลังทำงานเพื่อปลุกเร้าชื่นชม สถาปนาความดีงาม ด้วยเทคนิควิธีชี้นำที่ต่างออกไปจากอดีต ที่เป็นผลมาจากส่วนผสมที่ ร่วมสมัยเป็นการเมืองวัฒนธรรมแบบร่วมสมัยที่อาจฝังตัวเป็นจารีตหรือเป็นแค่ตลกร้าย รายวันเมื่ออำนาจพลิกผัน

ศาสนา- อัตตลักษณ์ทางศีลธรรม- แฟชั่นและเทคนิคการไต่เต้าทางศีลธรรมแบบร่วมสมัย

ศาสนาเป็นองค์ประกอบที่คลี่คลายตัวให้ร่วมสมัยได้อย่างน่าทึ่งนับแต่ วิกฤติเศรษฐกิจปี2540 หนังสือธรรมะนั้นติดอันดับขายดีติดต่อกันมาหลายปี มาคู่กับการใช้vacationยอดนิยมไปกับวัดและการวิปัสสนา พุทธโครงการจึงผุดเพิ่มเข้ามาในสำนักงานให้สถาปนิกออกแบบ ผลงานเข้ารอบสถาปัตยกรรมดีเด่นปี2553ที่จัดแสดงในปีนี้ปีเดียว เป็นโครงการเกี่ยวกับวัดเสีย 3 ราย เทียบกับย้อนกลับไปสัก10-20 ปีก่อนรวมกันมีอยู่สัก2-3ราย[vii] พุทธบริโภคเติบโตมาตามdemandของกลุ่มเป้าหมายอันได้แก่ชนชั้นกลาง และผู้บริโภคกลุ่มนี้เองที่manipulateมันให้เข้ากับจริตตน


โครงการเช่นวัดป่าเป็น Architecture without architect ที่เดิมเป็นการวางผังกันเองง่ายๆของพระในพื้นที่นั้นๆ เพื่อสะท้อนวิถีเรียบง่ายและการยอมสละตนสู่ความไม่มีปัจจุบันมีโครงการเหล่านี้มาว่าจ้างให้สถาปนิกออกแบบ เข้าระบบการตลาดเจาะกลุ่มเป้าหมายชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น ในอดีตวัดป่ามีหน้าที่ทางสังคมต่างกันกับวัดหลวงที่สถาปนาจากวังหรือ กษัตริย์ วัดหลวงมีไว้ประกอบพิธีเพื่อการสถาปนาอำนาจของกษัตริย์ หรือการเข้าอิงศาสนธรรมเพื่อความชอบธรรมแห่งอำนาจของกษัตริย์ แต่ในปรากฏการณ์ปัจจุบัน แฟชั่นหรือค่านิยมใหม่จูงใจให้ชนชั้นกลางขอยืมวัดป่ามาตกแต่งอัตตลักษณ์ไปจน ถึงช่วยสถาปนาอำนาจทางศีลธรรมในแบบเดียวกันกับที่กษัตริย์ในอดีตเข้าอิงศาสน ธรรม ทั้งจากการเข้าบวชหรือเข้าอุปถัมภ์วัดด้วยพิธีกรรมแบบย่อ คำว่าบวชไม่ต้องหมายถึงโกนหัวเข้าพิธีอีกต่อไป ผู้เขียนจำได้ว่าสักสิบปีก่อนนั้นเองที่เราฟังคำนี้อย่างแปลกใจกับการไปบวช ของเพื่อนสาวเป็นเวลาสิบวัน แล้วก็กลับมาหน้าตาเหมือนเดิมได้โดยหัวไม่ล้าน มันเป็นพิธีกรรมร่วมสมัยของชนชั้นกลางในการเข้ารีตทางพุทธศาสนาโดยไม่ต้อง แปลงเป็นสมณเพศ เราสามารถมีอัตตลักษณ์ทางธรรมได้โดยยังคงทำมาหากินไปได้ตามปกติ มีทรัพย์จับเงิน และมีกิเลสไว้ให้ห้ามได้เมื่อกลับมาบ้าน


ศาสนาพุทธแบบร่วมสมัยจึงดูเหมือนจะเข้ารีตได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมี พิธีกรรมแบบเดิม และผลิตกรรมวิธีใหม่ในการเข้ารีตได้โดยขึ้นอยู่กับการยอมรับและประนีประนอม ในพิธีกรรมให้เข้ากับจริตของกลุ่มเป้าหมายอันได้แก่ชนชั้นกลาง


สัปปายะสภาสถานนำพุทธศาสนามา interpret เป็นทั้งแกนทางความคิดรูปแบบผังอาคารและเครื่องมือช่วยสถาปนาความ ศักดิ์สิทธิ์ โดยการอ้างอิงการวางผังอาคารรูปไตรภูมิ คือจงใจที่จะทำให้อาคารกลายเป็นวัด เพื่อสถาปนาอาคารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้นักการเมืองชั่วยำเกรง[viii] รวมไปถึงการใช้เทคนิค metaphor พิธีกรรมทางพุทธด้วยการตั้งชื่อภาษาบาลีให้กับอาคาร โดยผู้ตั้งชื่อที่เป็นสถาปนิกไม่ใช่พระสงฆ์

สัปปายะสภาสถานคือความพยายาม transform อาคารจากรัฐสภาสมัยใหม่ให้กลับมาเป็นวัดหลวงตามคติการเมืองร่วมสมัย คือ เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางการเมือง ที่ประกาศว่าอำนาจทางการเมืองจะชอบธรรมได้ก็ด้วยมีอำนาจทางศีลธรรมรองรับ แต่ด้วยว่าทั้งนักการเมืองหรือนัก(ถูก)แต่งตั้งเหล่านี้ไม่มีศักดิ์ศรี ขัตติยะวงศ์แห่งกษัตริย์อย่างในอดีต เขาเหล่านี้จึงต้องอาศัยการไต่เต้าทางศีลธรรมโดยเทิดทูนธรรมราชาเป็นต้นแบบ ค่านิยมการไต่เต้าทางศีลธรรมจึงสร้างระบบคุณค่าไม่เพียงเพิ่มอัตตลักษณ์ต่อ ปัจเจก แต่มันสามารถนำพามาซึ่งสถานะที่สูงส่งกว่าในกลุ่มทางสังคม ไปจนถึงกลายเป็นอำนาจนิยมในทางศีลธรรมที่สามารถใช้ปกครองไปจนถึงกดข่มผู้ที่ ด้อยกว่าเมื่อนำธรรมะในโลกุตระมาใช้เป็นอำนาจในโลกโลกียะ

ศาสนาคือการทำให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดีงาม โดยสถาปนาชื่อบาลี

ผลที่ได้นอกเหนือไปจากการประกาศรสนิยมทางการเมืองแล้ว คือการยกระดับอาคารให้ดูศักดิ์สิทธิ์ด้วยการมีหน้าตาและชื่อเหมือนวัด สัปปายะสภาสถานเปรียบได้กับชายไทยที่จะได้รับสมญานามบาลีเมื่อเข้ารับการบวช เป็นภิกษุ อันเป็นการกลายร่างกลายภพจากโลกียะไปสู่โลกุตตระ หรือถูกทำพิธีให้เข้าเป็นสมาชิกหนึ่งของศาสนา ด้วยวิธีการเดียวกับที่คนชั้นกลาง Manipulateวัดและพิธีกรรมให้เข้ากับจริตของตน

การบัญญัติชื่อที่เป็นภาษาเฉพาะเช่นบาลี ก็เพื่อความรับรู้ว่าสิ่งนั้นได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับการtransformมนุษย์ให้กลายเป็นภิกษุ เพราะบาลีเป็นเช่น เดียวกับภาษาศักดิ์สิทธิ์โบราณอื่นๆที่เป็นระบบสัญญลักษณ์ที่ผลิตเพื่อการ สื่อสารเชื่อมโยงกับระเบียบที่มีอานุภาพเหนือพื้นพิภพ หรืออำนาจที่เหนือมนุษย์เหนือธรรมชาติ เป็นภาษาสัจจธรรมที่รับรู้ได้โดยไม่ขึ้นกับชาติพันธุ์และข้ามประเทศข้าม พรมแดนได้ เป็นภาษาเขียนที่ตายสนิทและห่างไกลจากภาษาพูดยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อหลักการที่ว่าภาษาแบบนี้ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงโลกบริสุทธิ์แห่ง สัญญลักษณ์ได้เหมือนกัน และมันดำรงอยู่เป็นเวลาเก่าแก่นานพอที่จะศักดิ์สิทธิ์ดังรูปเคารพ เช่นที่ละตินเป็นภาษาของชาวคริสต์ บาลีเป็นภาษาของชาวพุทธ


และก็เช่นเดียวกันกับการปลุกเสกฉายา อภิสิทธัตถะให้แก่นายก โดยคุณไพบูลย์มิได้มีสถานภาพพระสงฆ์แต่ประการใด และนายกก็ไม่ต้องแปลงเป็นสมณเพศแต่อย่างใด

ทั้งสัปปายะสภาสถานและอภิสิทธัตถะแตกต่างจากการถูกทำให้เป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ในอดีต ที่ผู้ประกอบพิธีกรรมมิใช่องค์กรหรือสมาชิกในองค์กรทางศาสนา แต่มาโดยสถานภาพ ผู้อาวุโสด้านวิชาชีพ ผู้อาวุโสด้านกิจกรรมทางสังคม หรือมีเครดิตจากตำแหน่งสูงๆทางสังคม, การเมืองที่เคยได้รับ นี่จึงอาจ เป็นวิธีการและความพยายามไต่เต้าสถานภาพทางธรรมแบบร่วมสมัย หรือเพิ่มอำนาจทางศีลธรรมของทั้งผู้พูดและวัตถุที่ถูกปลุกเสกไปพร้อมๆกัน เมื่อ ผู้พูดไม่มีสถานภาพทางธรรมแบบเป็นทางการ สิ่งที่ท่านพยายามสถาปนาด้วยการผสม-สร้างคำบาลีทั้งหลายขึ้นมาเอง มันก็คงจะขึ้นอยู่กับสังคมว่าจะยอมรับลูกความหมายตามแบบนั้นๆหรือไม่ น่าสนใจที่มีความคิดว่าสถานภาพทางธรรมอาจได้มาทางลัด โดยวิธีการทางการโฆษณาแบบเดียวกับการทำงานของ copy writer ในการตั้งชื่อสินค้า...หมวดศีลธรรม

ความหมายของฉายาอภิสิทธัตถะคือ คนดีผู้นำพาการปรองดองมาสู่บ้านเมือง (ทั้งๆ ที่ผลงานยังไม่ปรากฏ?) นายกฯ จึงอาจกลายเป็นได้ทั้งนักรบผู้ขาดความมั่นใจ หรือเป็นผู้นำที่เผชิญหน้าอยู่กับวิกฤติศรัทธา ผู้เข้ามาพึ่งพิงการเพิ่มพลังอำนาจจากการปลุกเสกนั่นเอง ถ้านายกถึงกับต้องลดทอนความเป็นมนุษย์ของตัวเองลงมาเป็นวัตถุแห่งการเจิม วัตถุที่ท่านพยายามปลุกเสกอาจทำงานได้มากที่สุด... เป็นอภิสิทธัตถะ เดวิดรูปงามแห่งราชาชาตินิยม คล้ายๆ กับที่เราจะมีสัปปายะสภาสถาน วัดราชาชาตินิยม พ.ศ.2553 ที่ชื่อรัฐสภา ที่มีกำหนดวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 12 สิงหาคมนี้


ตราบใดที่คุณค่าของชิ้นงานและอุดมการณ์ของมันยังน่ากังขา เราคงจะได้เห็นกระบวนการ endorsement... ที่ผู้ผลิตและผู้สนับสนุนจะออกมาปรากฏตัวรับรองกันด้วยกลวิธีต่างๆอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ



[i] อ่านเพิ่มเติมที่ เวทีวิพากษ์ กรุงเทพธุรกิจจุดประกาย 21 ตุลาคม 2548 “ปาฐกถาของ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ถูกคนจำนวนหนึ่งแปะป้ายเป็นปาฐกถาตุลาชิน แต่ด้วยเนื้อหาที่คัดค้านหนังสือพระราชอำนาจและแนวทางการต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชน โดยอ้างอิงพระราชอำนาจ ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเผยแพร่ปาฐกถาฉบับเต็มของ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล เพราะอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย ผิดฝาผิดตัวกันไปหมดhttp://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=print&sid=999


[ii] ดูบทสัมภาษณ์ผู้ชนะเลิศการประกวดแบบรัฐสภาไทย ทีม สงบ๑๐๕๑ วาสารอาษา 04-05:2553 ฉบับ รัฐสภา (ไทย) ใหม่ (หรือไม่) หน้า68-83


[iii]แบบผู้ชนะการประกวดการออกแบบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ขั้นตอนที่ 2 จำนวน 5 รายสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมป์ http://www.asa.or.th/?q=node/99415


[iv] ผู้เขียนเคยต้องไปโรงเรียนสายเพราะติดเพลงชาติในเช้าวันหนึ่งที่คับขัน เพราะพี่ชายที่พาไปส่งโรงเรียนนั้นมิกล้าฝืนกฏใหม่เอี่ยมของรัฐบาลที่เพิ่ง ปล่อยเขาออกมาจากคุก ในความเข้าใจของผู้เขียน เข้าใจว่าในสมัยนั้นการยืนตรงเคารพธงชาติเป็นกฏหมายหากฝ่าฝืนอาจโดนทั้งจำ และปรับ แต่ปัจจุบันนี้มันมิใช่กม.แต่ประการใด ผู้ใดมีความรู้เพิ่มเติมโปรดช่วยขยายความและชี้แนะผู้เขียน


[v] ประวัติความเป็นมาสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ http://www.identity.opm.go.th/identity/content/identity.asp?identity_code=21000001&lang=thai&doc_type=21


[vi] อ้างแล้วใน iii


[vii] ดูรายชื่อผลการประกวดงานออกแบบสถาปัตยกรรมดีเด่น พ.ศ.2553-2545 ใน Asa Journal ที่ http://dnszoo.com/index.php?q=node/94280

ปี 2551- อาคารเรียนพระสงฆ์ (พระปุณณมันตานีบุตร มหาเถระ) ของสุริยะ อัมพันศิริรัตน์ ปี2547- โบสถ์วัดป่าสุนันทวนาราม กาญจนบุรี ผู้ออกแบบ บริษัทสถาปนิก49จำกัด ปี 2549, 2545 – ไม่มี


[viii]สัปปายะสภาสถานเป็นมณฑลศักดิ์สิทธิ์เป็นสภาแห่งศีลธรรมที่จะนำบ้านเมืองไปสู่ภาวะบังอบายเบิกฟ้า ฝึกพื้นใจเมืองและฝ่าวิกฤติศีลธรรมอ้างแล้วใน iii


[ix] ความเป็นจริงในทางภววิทยาหรือสภาวะเที่ยงแท้ของความเป็นจริงนั้นจะเข้าถึง ได้ก็โดยผ่านระบบสัญญลักษณ์แทนอันทรงสิทธิ์ระบบเดียวเท่านั้น ได้แก่ ภาษาสัจจธรรม อย่างภาษาละตินของคริสตจักร ภาษาอารบิกของกุรอ่าน หรือภาษาจีนในระบบการสอบข้าราชการแมนดาริน และในฐานะที่เป็นภาษาสัจจธรรม ภาษาเหล่านี้ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วย...แรงกระตุ้นสู่การเปลี่ยนรับเข้ารีต... มิใช่ในความหมายของการรับเอาข้อบัญญัติทางศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่งเท่าใดนัก แต่หมายถึงการหลอมกลืนแบบเล่นแร่แปรธาตุ...ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนรับ เข้ารีตผ่านภาษาอัยศักดิ์สิทธิ์นี้เอง ที่ทำให้ชาวอังกฤษผู้หนึ่งสามารถดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาได้ และชาวแมนจูเป็นโอรสแห่งสวรรค์ได้จากบทที่2 รากฐานทางวัฒนธรรม – The religious community, Benedict Anderson, ชุมชนจินตกรรม, หน้า 21-27 ( ตัวเน้นในบทความเป็นสิ่งที่ผู้เขียนสรุปย่อเองด้วยความเข้าใจส่วนตัวจากการ พยายามอ่านบทนี้)

[x] แนะนำเลี่ยงถนนสามเสน 12 ส.ค.เสด็จฯวางศิลาฤกษ์รัฐสภาใหม่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280900883

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น