สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

กวีตีนแดง: สมศักดิ์ เจียมฯ - เสรีภาพไม่เจียม


Fri, 2011-04-29 00:44

เดือนวาด พิมวนา กวีตีนแดง

ภายหลังกฎแห่งการอยู่ร่วมถูกทำลาย
กฎแห่งการอยู่แยกพลันลุกขึ้นกร่างกลางถนน
ตบหน้าประชาชนสักครั้ง
สั่งสอนให้รู้จักสถานะของผู้ถูกกดขี่
ใคร? ที่ชื่อ สมศักดิ์ เจียมฯ
ตบหน้า สมศักดิ์ เจียมฯ สักสิบครั้ง
สั่งสอนให้รู้ว่าอย่าใช้เสรีภาพพร่ำเพรื่อ

กฎแห่งการอยู่แยกเดินกร่างไปตามตรอกซอกซอย
อ้างสิทธิ์เหยียบยืนบนพื้นที่ทับซ้อนของเสรีภาพ
ตบหน้าประชาชนสักร้อยครั้ง
หากยังไม่หลาบจำขืนใช้ถ้อยคำของ สมศักดิ์ เจียมฯ

เพียงแต่...มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อจะรู้น้อยลงทุกที

กฎแห่งการอยู่แยกแสดงบทบาทของผู้ปรารถนาจะกดขี่
ประชาชนย่อมแสดงบทบาทของผู้ปรารถนาเสรีภาพ
ตบหน้าประชาชนสักพันครั้ง
หวังให้หยุดใช้ถ้อยคำของ สมศักดิ์ เจียมฯ
ตบหน้า สมศักดิ์ เจียมฯ อีกครั้ง
หวังให้หยุดใช้ถ้อยคำของประชาชน

การกดขี่...สักกี่ครั้ง
จึงจะเพียงพอต่อเสรีภาพที่ลุกลามบานปลาย
ตบหน้า สมศักดิ์ เจียมฯ
ตบหน้าประชาชน
สักหมื่น...แสน...ล้านครั้ง
หวังให้หยุดใช้ถ้อยคำของเสรีภาพ

เพียงแต่...มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อจะรู้น้อยลงทุกที.

http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34289

คนดี เป็นยังไง ดูยังไง


Thu, 2011-04-21 21:01

ดร.โสภณ พรโชคชัย

ในสังคมทุกวันนี้หลายคนแสดงตัวเป็นคนดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขา เป็นคนดีจริงหรือไม่ เราควรรู้ให้ถ่องแท้ หาไม่คนชั่วในคราบคนดีอาจหลอกลวงให้เราเสียรู้ หรือมาหลอกให้ประเทศชาติของ เราเสียหาย

คนดีแต่เปลือก?
คนชั่วแท้ ๆ โจรกักขฬะ มักจะเป็นที่สังเกตเห็นได้โดยไม่ยาก แต่คนที่เปลือกนอกดูดี แต่แท้จริงเป็นโจร โดยเฉพาะพวกปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอนั้น เรายิ่งต้องระวังให้จงหนัก เราจะตัดสินว่าใครเป็นคนดีนั้น ไม่ใช่สักแต่ ว่าเขาเป็น

1. ครู-อาจารย์ เพราะคนที่ใช้คุณวุฒิหลอกลวงเรามีให้เห็นอยู่ทั่วไป

2. นักบวช ในหมู่นักบวช ก็ยังมีพวกแกะดำบางรูปแม้ไม่ใช่คนเลว แต่ก็ไม่ใช่คนดีเด่นอะไร เพราะออกอาการอิจฉาริษยากันและกันให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

3. คนเคร่งศาสนา บางคนออกแนวธรรมะ ธรรมโม พวกนี้ก็คล้ายนักบวช บางทีเคารพ-รับใช้เจ้ากูมากกว่าคำสอนของศาสดา ตอนนั่งสมาธิก็ดูสงบเย็น พอออกจากสมาธิก็เต้นเหมือนเจ้าเข้า

4. ข้าราชการระดับสูง เพราะคนระดับนี้แหละที่โกงชาติ ขายชาติได้แนบเนียนเหนือใคร ๆ

5. นายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพราะคนระดับนี้แหละที่ทำรัฐประหาร ทำลายประชาธิปไตยให้เห็นมาหลายสิบปี รุ่นแล้วรุ่นเล่า เราต้องสังวรว่า คนที่บูชายศศักดิ์และยิ่งมียศศักดิ์สูง ยิ่งเห็นคนอื่นต่ำต้อยด้อยค่า

6. ผู้เทิดทูนสถาบันบางคน ที่อ้างว่ายอมตายถวายชีวิต แต่ความจริงแค่พูดเอาดีใส่ตัว แอบอ้างสถาบัน เช่นเซ็งลี้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังข่าวในอดีต จนถึงการใช้สถาบันมาทำลายคู่แข่งทางการเมือง กระทั่งปรีดี พนมยงค์ก็ยังไม่รอด ในความเป็นจริงสถาบันจะแคล้วคลาดหากไม่มีพวกเขา ใน ทางตรงกันข้ามหากขาดสถาบัน พวกเขาต่างหากที่จะอยู่ไม่รอด หมดทางทำมาหากิน

อาจกล่าวได้ว่าคนไม่ดีหรือคนดีแต่เปลือกมักเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ หรือให้ลูกสมุนยกหางของตนอย่างไม่ละอาย แต่ตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นซาตาน เกาะกิน ทำลายชาติ อาศัยอาภรณ์ของความดีมาแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว ประเทศชาติกลับต้องหาเลี้ยง คนเหล่านั้นด้วยภาษี แล้วพวกเขายังใช้สถานะที่เหนือปุถุชนกอบโกย โกงกินจนร่ำรวยมหาศาล

ปุถุชนนี่แหละคนดี
ปุถุชนธรรมดาทั่วไปนี่แหละคือคนดีแท้ เพราะพวกเขา

1. เสียภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้ประเทศชาติอยู่ได้ เจริญขึ้น และกลายเป็นโอกาสให้กาฝากเสพสุข และฝังลึกลงในกลไกการปกครองแผ่นดิน

2. เป็นผู้ที่ตายเพื่อชาติอย่างแท้จริงในสงครามต่าง ๆ ที่พวกเขาไม่เคยได้ก่อ แต่มักก่อโดยชนชั้นปกครองในอดีตหรือเหล่าจักรวรรดินิยม แม้ในยามชาติล่มจม เช่น ลาว เขมร เวียดนาม ปุถุชนนี่แหละคือผู้ที่ยังอยู่สร้างชาติขึ้นมาใหม่ ส่วนพวกคนรวย คนมีสถานะสูงส่ง นายทหารใหญ่ ข้าราชการระดับสูง หรือพวกรักสถาบันจนน้ำลายไหล ล้วนหนีไปเสพสุขใต้ปีกจักรวรรดินิยม

อย่างไรก็ตามปุถุชน มักถูกหาว่าโง่ ไม่ละเอียดอ่อน ขาดศิลปะ ไร้มรรยาท มักจมปลักกับเรื่องเฉพาะหน้า หรือเป็นพวกละครน้ำเน่าซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาวบ้านร้านตลาดที่ไม่ ได้มียศศักดิ์หรือหน้ากากอะไรจะสูญเสีย บ้างก็ดิ้นรนทนทุกข์ จึงก่อเรื่องผิด ๆ ไปบ้าง จนกลับถูกตราหน้าร้ายแรงว่าเป็นคนบาปในสายตาพวกเคร่งศาสนา แต่ อันที่จริงความผิดบาปของปุถุชนนั้นยังนับว่าเล็กน้อย ไม่อุกฉกรรจ์เท่าความผิดของพวกทรราชหรือกังฉิน

ถ้าเราศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เรา ต้องมองเห็นค่าของปุถุชนคนเล็กคนน้อยที่ค้ำจุนสังคม เราต้องเคารพในเสียง ส่วนใหญ่ของปุถุชน แต่บางคนกลับบิดเบือนว่าเสียงส่วนใหญ่เชื่อไม่ได้โดยยก ตัวอย่างว่าชาวเยอรมันส่วนใหญ่หลงผิดจนเกิดฮิตเลอร์ ข้อนี้ไม่จริงฮิตเลอร์ ไม่เคยชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และต่อมารวบอำนาจโดยการก่อรัฐประหารจนนำเยอรมนีไปสู่วิบัติ ในทางสังคม เศรษฐกิจการเมือง เราจึงต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของปุถุชน แต่ถ้าเป็นศิลปะวิทยาการ เราต้องฟังผู้เชี่ยวชาญ เช่นการสร้างจรวดไปดวงจันทร์ เป็นต้น

อย่าถวิลหาดีบริสุทธิ์
พวกคนดีจอมปลอมไม่เชื่อว่าสูงสุดคืนสู่สามัญและมักถวิลหาคนดี บริสุทธิ์ที่สวรรค์ประทานมา โดยไม่ยอมเข้าใจความจริงว่าสถานการณ์ต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างวีรบุรุษความดีเป็นสิ่งสัมพัทธ์ คนดีก็อาจทำผิดพลาดได้ บ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในยามจิตตกเช่น บางทีเราอาจสอนลูกให้ทิ้งขยะให้ถูกที่ แต่บางทีเราก็อาจลืมตัว มักง่ายขึ้นมาบ้าง เป็นต้น

ถ้าเราเชื่ออย่างหยุดนิ่งแบบที่ว่าคนดีนั้นต้องดีตลอด ดีบริสุทธิ์ เราก็จะถูกคนดีจอมปลอมที่อ้างว่าสรวงสวรรค์ส่งตนมา เช่น คนทรงเจ้าเข้าผีหรืออื่น ๆ หลอกเราได้ การถวิลหาความดีบริสุทธิ์ จึงทำให้เราเชื่อคนง่าย สรรเสริญคนดีจอมปลอมอย่างไร้สติ กลายเป็นว่าเรา เอาชะตาชีวิตของตัวเองไปฝากไว้กับพ่อหมอ ท่านครู หรือฝากชะตากรรมของประเทศไว้กับผู้ปกครองคนใด ทั่วโลกชิงชังเผด็จการ เพราะไม่ว่าจะอ้างตนว่าอวตารมาจากไหน ก็ล้วนกลายร่างเป็นทรราชเมื่อมีอำนาจเบ็ดเสร็จคนเดียวหรือคณะเดียว

เกณฑ์วัดคนดี
คนดีต้องพยายามทำผิดให้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำผิดเลย เพราะคนไม่เคยทำผิดก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย คนไม่ทำอะไรเลยเพราะกลัวผิดย่อม ไม่ถือว่าเป็นคนดี แต่เป็นเพียงสวะลอยน้ำ ในสังคมอารยะสมัยปัจจุบัน เราต้องมีเกณฑ์วัดความดี สิ่งดีหรือคนดี ไม่ใช่สักแต่เชื่อตามคำร่ำลือหรือการโฆษณาชวนเชื่อ เกณฑ์ เหล่านี้คือบรรทัดฐานที่ทำให้เราวินิจฉัยได้ว่าใครดีจริงหรือดีแบบ กำมะลอ อย่างโบราณว่าไว้ทองแท้ไม่กลัวไฟต้องทนทานต่อการพิสูจน์ คนที่ จะเป็นคนดีจริง ก็ต้องเจริญสติ หมั่นตรวจสอบตนเอง และเพียรทำดีอยู่เสมอ

เราต้องมีระบบการตรวจสอบ และประกันความผิดพลาด เช่น หมออาจลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้ ไม่มีหมอคนไหนตั้งใจทำ แต่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความประมาท ดังนั้นจึงต้องมีการประกันความผิดพลาด คุ้มครองทั้งนักวิชาชีพและผู้รับบริการ

อาจกล่าวได้ว่า ความดี ความสำเร็จที่แท้ มาจากการฝึกฝน ยืนหยัดปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอต่างหาก ไม่ใช่มาจากการท่องมนต์ ท่องคาถา ไม่ใช่มาจากการนั่งยุบหนอ พองหนอ หรือไม่ใช่มาจากการเที่ยวไปจาริกแสวงบุญยังสถานที่สำคัญของพระศาสดา แต่อย่างใด

คนดีจริงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้

http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34167

ศาสนากับ “หน้ากาก”


Wed, 2011-04-27 02:05

สุรพศ ทวีศักดิ์

ฉันไม่ใช่พุทธศาสนิก ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
และธรรมะมีไว้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี
และจิตวิญญาณอันลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ธรรมดา
ไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องรูปแบบทางวัฒนธรรม
หรือทางศาสนาใดๆ โดยเฉพาะ

- เชอเกียม ตรุงปะ

ผม ถูกใจข้อความข้างบนจากหนังสือ ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ ของ เชอเกียม ตรุงปะ คุรุทางจิตวิญญาณแห่งโลกสมัยใหม่ในสายธารทางปัญญาของวัชรญาณแบบธิเบต -อเมริกัน หนังสือเล่มดังกล่าว แปลโดย วิจักขณ์ พานิช ชาวพุทธรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในบทบาทของการพยายามเสนอความไปด้วยกันได้ ระหว่างมิติทางจิตวิญญาณและมิติทางสังคมของพุทธศาสนา

สิ่งที่ เชอเกียม ตรุงปะ เรียกว่า จิตวิญญาณไม่ได้หมายถึงของสูงส่ง ของวิเศษสุดเอื้อม ที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะของ อภิมนุษย์เช่น พระอริยะเจ้า พระอรหันต์ หรือคนที่มุ่งสละชีวิตทางโลก หันหลังให้กับความเป็นไปของสังคม มุ่งปลีกวิเวกหรือปลีกตัวออกไปจากความวุ่นวายทางโลกไปอยู่ในป่าโดยลำพัง

หากแต่จิตวิญญาณคือ ธรรมชาติหรือเนื้อแท้ของคนธรรมดาทุกคน และธรรมะก็ไม่ใช่มีไว้เพื่อการอื่นที่นอกเหนือไปจากการปกป้องศักดิ์ศรีและ จิตวิญญาณอันลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ธรรมดา

ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า ภาษาธรรมในพุทธศาสนานั้น เดิมทีเป็นภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ เช่น คำว่า นิพพานเป็นภาษาที่คนอินเดียโบราณใช้กันอย่างปกติในชีวิตประจำวัน นิพพานแปลว่า ดับ หรือเย็น เวลาไฟดับชาวบ้านก็ว่าไฟนิพพาน หรือคนๆ นี้ดูอัธยาศัยดีใครอยู่ใกล้ชิดแล้วสบายใจ เย็นใจ อย่างที่มีคนพูดถึงบุคลิกภาพของเจ้าชายสิทธิธัตถะว่า พ่อแม่ที่มีลูกเช่นนี้ก็นิพพาน (เย็นใจ) ภรรยาที่มีสามีเช่นนี้ก็นิพพาน (เย็นใจ) เป็นต้น

และเมื่อนิพพานถูกนำมาใช้ในทางศาสนาก็หมายถึง ความดับทุกข์หากดับทุกข์ชั่วคราวหรือดับทุกข์เฉพาะเรื่องๆ ไป ก็เรียกว่านิพพานชั่วขณะ หากดับทุกข์ถาวรก็เรียกว่าดับทุกสิ้นเชิง แต่นิพพานไม่ได้มีความหมายว่า เป็นของสูงส่ง หรือของศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คนเป็นผู้วิเศษ หรือเป็นอภิมนุษย์ที่มีสถานะเหนือมนุษย์มนาธรรมดาทั่วๆ ไป

ทว่าต่อมาเมื่อคำว่านิพพานหรือแม้แต่คำว่า ธรรมะถูกใช้ในศาสนาแบบจารีตประเพณี คำที่เคยใช้กันธรรมดาๆ ก็กลายเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา และแทนที่จะใช้กันเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณในความเป็นมนุษย์ธรรมดา กลับเป็นคำที่สร้าง มายาคติอย่างสลับซับซ้อน

พูดภาษาบ้านๆ คือคำว่า ธรรมะกลายเป็นคำที่ใช้สร้าง หน้ากากหลายชั้นมาก จนทุกวันนี้เวลาเราพบบุคคลที่บรรดาสาวกยกย่องว่าเป็นคนปฏิบัติธรรมหรือมี ธรรมะสูงส่ง เราไม่แน่ใจว่าเขาสวมหน้ากากอยู่กี่ชั้น หรือจะถอดหน้ากากออกกี่ชั้นถึงจะพบความเป็น คนธรรมดาของเขา

ที่แย่ที่สุดคือ พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนเรา แต่พุทธศาสนาแบบจารีตก็ไปสวมหน้ากากให้กับพระองค์จนกลายเป็นอภิมนุษย์ เป็นผู้วิเศษ เป็นสัพพัญญูที่รู้เจนจบจักรวาล รู้โลกนี้ รู้โลกหน้า เป็นสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์ สุดยอดนักการเมือง เป็นสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ รู้โลกกลม รู้ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ประมาณว่าไอสไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ดาร์วินขยายความ พระพุทธเจ้ารู้แจ้ง ฯลฯ

ไปๆ มาๆ เราเลยแยกไม่ออกว่า พระพุทธเจ้ากับ God ต่างกันยังไง !

พุทธะที่แปลว่าผู้รู้ทุกข์กับความดับทุกข์ และธรรมะซึ่งหมายถึงความจริงเกี่ยวกับทุกข์และความดับทุกข์ของมนุษย์ธรรมดาๆ นั้น ได้ ถูกปรุงแต่งให้กลายเป็นของวิเศษ และถูกนำมาสร้างมายาคติว่าผู้มีธรรมะคือผู้วิเศษ ตั้งแต่วิเศษระดับธรรมดาๆ คือดีกว่าคนแบบโลกย์ๆ ทั่วไป มีภาพลักษณ์อันน่านิยมในแวดวงดารา ในสังคมชนชั้นกลาง เป็นภาพอุดมคติของนักการเมือง กระทั่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นเทพ ฯลฯ

ธรรมะที่เคยมีความหมายอย่างเรียบง่ายอย่างที่ ติช นัท ฮันห์ นิยามว่าธรรมะคือมรรควิถีแห่งความเข้าใจและความรักซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ธรรมหรือการปฏิบัติธรรมคือการเรียนรู้เพื่อทำความ เข้าใจความทุกข์ของตนเองและเพื่อนมนุษย์ เพื่ออยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนร่วมทุกข์ที่เข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันและกันนั้น ได้กลายมาเป็นดาบสำหรับฟาดฟันเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งแบ่งแยกความแตกต่างในความเป็นคน กระทั่งสนับสนุนความศักดิ์สิทธิ์ของระบบชนชั้น

สังเกตไหมครับ การประกาศใช้ ธรรมนำหน้านั้น ธรรมะที่พูดถึงมีความหมายเป็น ของศักดิ์สิทธิ์และเป็นเครื่องมือส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ของอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ธรรมะในความหมายนี้จึงไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและจิตวิญญาณอันลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้อง ความเป็นคนของประชาชนแต่อย่างใด

ดังนั้น ภายใต้วาทกรรม ธรรมนำหน้าจึงไม่มี คนหรือ ประชาชนอยู่ในนั้นเลย ฝ่ายที่เห็นต่างจึงกลายเป็นพวกเฬวราก พวกถ่อย สมุนโจร และหัวหน้าโจรคือ ปีศาจชาติชั่วที่ไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่เลย

ตัวอย่างดังกล่าวไม่ใช่ผมพูดเสียดสีนะครับ แต่เป็น ข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดมาก และอีกด้านหนึ่งเราก็เห็นอยู่ทุกวันว่า ธรรมะถูกใช้สนับสนุนสถานะของ ผู้วิเศษต่างๆ ตั้งแต่ผู้วิเศษที่สแกนกรรมออกทีวีทุกวัน เจ้าอาวาสวัดใหญ่เคยทำซีดีอธิบายภพภูมิของพญานาคใต้แม่น้ำโขงเพื่อยืนยันที่ มาของบั้งไฟพญานาค ฯลฯ

สรุปแล้วศาสนาจารีตประเพณีได้ แปรรูปธรรมะซึ่งเป็นภาษาชาวบ้านธรรมดาๆ ให้กลายเป็น ของศักดิ์สิทธิ์และนำมาสร้างมายาคติหรือ ยากล่อมประสาทสร้างหน้ากากแก่พระพุทธเจ้า หน้ากากของผู้วิเศษสร้างความศักดิ์สิทธิ์ทางชนชั้น เป็นต้น

จนยากเหลือเกินที่เราจะถอดหน้ากากที่สลับซับซ้อนต่างๆ เหล่านั้น เพื่อให้พบ ธรรมะธรรมดาที่มีความหมายต่อการสร้างมรรควิถีแห่งความเข้าใจทุกข์ของตนเองและของกันและ กัน หรือที่มีความหมายส่งเสริมให้เราอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ และเคารพกันและกันในฐานะที่ทุกคนเป็นคนธรรมดาครือๆ กัน !

http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34253

ไม้หนึ่ง ก.กุนที: ‘สหายวิชัย หินแก้ว’ ความตายดั่งขุนเขา




Mon, 2011-04-25 18:46

ชื่อบทกวีเดิม: ความตายดั่งขุนเขา

หมายเหตุ -ไม้หนึ่ง ก.กุนที เขียนบทกวีรำลึกวิชัย หินแก้วผู้นำขบวนเสื้อแดงภาคอิสาน เป็นนักปฏิวัติร่วมรุ่นกับบุญเย็น วอทองเป็นผู้นำนักศึกษาครูเมื่อครั้ง 14 ตุลา 16 และออกจากป่าในปี 2535 เขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ถูกรถยนต์ชนขณะขับมอเตอร์ไซด์ ซึ่งยังเป็นเรื่องกังขากันในหมู่คนเสื้อแดง ทางครอบครัวจัดพิธีเผาศพในวันนี้ (25 เม.ย.) ที่วัดสำราญนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ

http://www.prachatai3.info/sites/default/files/u7/218098_216660585013924_100000099534938_863277_4018529_n.jpg

ซ้าย-สุรชัย แซ่ด่าน , ขวา-วิชัย หินแก้ว


ดาวแดงพราย ส่องสหายอาวุโส
ผกโผไปโดยปีกนกจักพราก
เหนือทางเถื่อนเคยขับเคลื่อนเข้าถางถาก
งานหน่วงหนักโถมแบกรับทั้งชีวิต

ห่มธงแดงของชาวสังคมนิยม
ฝากอุดมการณ์แข็งคมสืบสถิตย์
สู่ลูกหลานของเราชาวคอมมิวนิสต์
มุ่งอุทิศเพื่อชนชั้นกรรมาชน

คือ วิชัย หินแก้ว ผู้แกล้วกล้า
คือแก้วแห่งหินผา ตั้งแต่ต้น
คือธงชัย ที่ไม่เคยคิดจำนน
คือตัวย่างชีวิตคนปฏิวัติ

เป็นทั้งครู และเป็นทั้งสื่อการสอน
ส่งเสริมให้นักเรียนน้อยได้ฝึกหัด
ตั้งเข็มมุ่ง มั่นคง ขึ้นแจ่มชัด
ย้ำยืนหยัดปฏิวัติประชาชน !!!


ไม้หนึ่ง ก.กุนที 25 /4 / 2011

http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34221