บทความแปล: สิ้นหวัง ในเรื่องของเครื่องบิน 737....
ดวงจำปา
อ้างอิง:
http://thaipoliticalprisoners.wordpress ... -hopeless/
บทความแปลโดย: ดวงจำปา
เรื่อง จริงที่ยิ่งกว่านิยายเกี่ยวกับการยึดเครื่องบิน โบอิ้ง 737 ก็ยังมีไม่จบสิ้นเสียที สิ่งที่เริ่มขึ้นมาเมื่อหลายปีแล้ว ในกรณีการพิพากษาระหว่างประเทศโดยผู้บริหารการล้มละลายของบริษัทในประเทศ เยอรมัน เพื่อขอค่าชดเชยสำหรับต่อสัญญาที่ล้าเหลว ซึ่งในตอนนี้ กลายเป็นเรื่องตลกระหว่างประเทศ สำหรับประเทศไทย
การยึดทรัพย์สินของ รัฐบาลไทย – คือ โบอิ้ง 737, ซึ่งรัฐบาลไทยเอง ได้อ่างว่า ในตอนนี้ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ของเจ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์, ซึ่งเป็นการแก้ตัวง่ายๆ แบบน้ำขุ่นๆ จาก องค์การของรัฐบาลไทย ซึ่งเริ่มจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์มากขึ้นทุกวันๆ
หนังสือพิมพ์เนชั่น ได้กล่าวต่อไปว่า “เมื่อวานนี้ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส) ได้ท้าให้ บริษัท วอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างของประเทศเยอรมัน นำเอาคดีความขัดแย้งในเรื่องการลงทุนของดอนเมืองโทล์เวย์ มายื่นฟ้องที่ศาลประเทศไทย ในการบังคับใช้ค่าเสียหายซึ่งได้รับคำตัดสินจากคณะตุลาการ ของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ”
อะไรนะ? สำนักงานทางกฎหมายสูงสุดของรัฐบาลไทย กำลังท้าให้ บริษัทนี้ เข้ามาเผชิญหน้ากับศาลไทยอย่างนั้นหรือ? สิ่งนี้ก็ได้เพิ่มการยอมรับอีกด้วยว่า กรณีของรัฐบาลไทยนั้น มันอ่อนเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องหนทางเดียวที่รัฐบาลไทยสามารถชนะคดีนี้ได้ก็คือ การที่ศาลท้องถิ่นในประเทศไทยสร้างความลำเอียงโดยการดำเนินคดี ให้เลื่อนไปอย่างเชื่องช้า และอาจจะมีการทุจริตเข้ามามีส่วนด้วยใช่ไหม? รัฐบาลไทยได้กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ศาลระหว่างประเทศนั้น ก็เพียงกระทำการตีความตามที่นักกฎหมายของเขาเข้าใจเท่านั้น.
อัยการ สูงสุด คือ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ยังได้กล่าวแบบอำพรางไว้ว่า “ถ้าพวกเขา (บริษัทวอลเตอร์ บาว - ผู้แปล) ต้องการค่าชดเชย, พวกเขาจะต้องนำคดีนี้เข้ามาฟ้องในศาลไทย. เพราะว่ามันมีทรัพย์สินของรัฐบาลไทยอีกเยอะที่อยู่ที่นี่....” เรา (Political Prisoners of Thailand – ผู้แปล)ต้องกล่าวว่า นายจุลสิงห์อำพรางไว้แบบนี้ ก็เพราะว่า เขากำลังพูดอย่างตลกๆ เท่านั้นเอง
คำ ถามของเขาก็คือว่า “เมื่อการตัดสินโดยคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศให้บริษัทวอลเตอร์ บาว เป็นผู้ชนะ เมื่อสองปีที่ผ่านมา, ทำไมเขาถึงไม่เอาเคสนี้เข้ามาในศาลไทย เพื่อทำการบังคับใช้ตามกฎหมายเล่า? ทำไมถึงได้ขอให้ศาลเยอรมันเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายเคสนี้ เพื่อที่จะยึดเครื่องบินหลวง?” คำตอบก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก. มันไม่มีความมั่นใจในระบบยุติธรรมของศาลไทยเลย.
จากนั้น ตัวอัยการสูงสุด ก็เริ่มกลายเป็นการพูดแบบคลุมเครือ โดยกล่าวว่า “สำนักงานอัยการสูงสุดได้ ส่งเรื่องฟ้องกับประเทศเยอรมัน ในเรื่องของการยึดเครื่องบินอย่างไม่เป็นธรรม, นายจุลสิงห์ได้กล่าว, แต่ปฎิเสธที่จะเปิดเผยว่า ใครจะเป็นผู้ถูกฟ้อง, โดยเหตุผลอะไร, เมื่อไร หรือที่ไหน.”
จากนั้น เขาก็ได้เริ่มความโง่เขลาในทางหลักกฎหมาย โดยกล่าวว่า : “ถ้าพวกเขา (ทางฝ่ายเยอรมัน) ยังคงรบกวนกับเราอยู่อย่างนี้, พวกเราก็จะต้องกระทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อตอบโต้การกระทำของพวกเขา...” จำไว้ก็แล้วกันว่า บุคคลผู้นี้ คือผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับสูงคนหนึ่งในรัฐบาลของประเทศไทย กำลังกระทำการข่มขู่คุกคามอยู่!
หนังสือพิมพ์เนชั่น ได้ชี้ให้เห็นว่า : “เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552, คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในกรุงเจนีวา ได้ให้คำตัดสินที่สุดแล้วว่า บริษัท วอลเตอร์ บาว เป็นผู้ชนะในคดีนี้. รัฐบาลไทยได้ถูกสั่งให้จ่ายเงินจำนวน 36 ล้านยูโร ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัทได้รับความเสียหาย เนื่องจาก การละเมิดสัญญาที่กระทำไว้ในเรื่องโทล์เวย์. คำตัดสินนี้ ให้ถือว่า เป็นที่สิ้นสุด. อย่างไรก็ตาม, รัฐบาลไทยก็ยังได้ขออุทรณ์ต่อไป.
ใน เรื่องของการยึดเครื่องบิน, เรื่องนี้ ตัวอัยการสูงสุดเอง ก็ยังดูเหมือนกับว่า ยังไม่ปะติปะต่ออย่างดีในเรื่องนี้ โดยการกล่าวว่า “เขาจะนำเอาพยานบุคคลที่สำคัญ เข้ามาในการพิจารณาคดี เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศนั้น ได้ดำเนินการพิจารณาคดีมาอย่างผิดพลาด.” ประเทศไทยนั้น มีพยานบุคคลซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของสัญญาของการลงทุนตั้งแต่ เริ่มต้น, แต่คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ปฏิเสธที่จะนำตัวพยานบุคคลผู้นี้ เข้ามาเป็นพยานให้การ และ กระทำการตัดสินอย่างอยุติธรรมกับรัฐบาลไทย....” ใช่แล้วแหละ พยานบุคคลที่น่าฉงนผู้นี้แหละ ที่จะช่วยคุ้มครองเครื่องบินลำนี้ได้!
นายจุลสิงห์ยังได้กล่าวต่อ ด้วยว่า “ ถ้าศาลยุติธรรมในกรุงเบอร์ลินได้เรียนรู้ถึงตัวพยานบุคคลผู้นี้, ผมเชื่อว่า ศาลจะต้องเห็นด้วยกับประเทศไทยที่ว่า คณะอนุญาโตตุลาการนั้น ได้ให้คำตัดสินที่ผิดในกรณีนี้.... ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายที่จะให้บริษัท (วอลเตอร์ บาว –ผู้แปล) ได้รับเงินชดเชยนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้.”
และ เพื่อที่จะช่วยให้เคสแบบ น้ำขุ่นๆ แบบไทยๆ มากขึ้น, “สำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้ ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองของประเทศไทย โดยขอร้องให้ เลิกล้มคำตัดสินของ ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเสีย (ขอให้คำตัดสินเป็นโมฆะ – ผู้แปล) ศาลปกครองของประเทศไทยได้ส่งเรื่องนี้ ขึ้นไปให้กับ ศาลปกครองสูงสุด เพื่อทำการพิจารณาคดี....”
มันหมายถึง อะไรในทั้งหมดนี้? มันแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไทยนั้น ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ที่จะให้เรื่องแบบนี้ ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อใช้กับ ศาลระหว่างประเทศ, ดังนั้น พวกเขา (ประเทศไทย – ผู้แปล) ก็ต้องการเอากฎของตัวเองเข้ามาใช้. แต่ที่แน่นอนที่สุด, ในตอนแรกนั้น รัฐบาลไทยก็ยินยอมต่อคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ. ผู้ลงทุนชาวต่างชาติ ก็ต้องเริ่มหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง ในหลักการกระทำอย่างผิดกฎหมาย จากรัฐบาลของประเทศไทย...
ความเห็นของผู้แปล:
ตอนนี้ พวกเขากำลังอุทรณ์ กับ คำตัดสิน ซึ่งเปรียบเสมือนได้ว่า ออกมาจากศาลฎีกา ไม่ยอมรับว่า อะไรมันเป็นที่สิ้นสุดกันเสียที....
รายงานข่าวล่าสุด ตามลิ้งค์นี้ ได้กล่าวว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้ทรงพระราชทานทรัพย์ เพื่อระงับคดีนี้แล้ว ----> พระบรมฯพระราชทานทรัพย์ระงับคดีพิพาทวอลเตอร์บาว-รัฐบาลไทย
http://www.internetfreedom.us/forum/viewtopic.php?f=2&t=4112&sid=725ad54f1dc4b9aac8eceefbbc80d442
http://www.facebook.com/home.php#!/photo.php?fbid=175346352534662&set=at.113791572023474.15857.100001778963097.100001271883762&type=1&theater
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น