Sat, 2011-08-20 18:50
นักปรัชญาชายขอบ
ความพยายามแยกทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดงออกจากกันมีมา โดยตลอด เช่นแยกว่าทักษิณเป็นบุคคลอันตรายต่อชาติและสถาบัน เขาหลอกใช้คนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือกลับคืนสู่อำนาจเท่นั้น คนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุมมาเพราะความยากจน มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ หรือไม่ก็เสพติดประชานิยม ถ้ารัฐบาลประชาธิปัตย์และฝ่ายอำมาตย์แก้ปัญหาดังกล่าวให้พวกเขาได้ พวกเขาก็จะลืมทักษิณ พรรคเพื่อไทยก็ควรเล่นการเมืองในสภา ไม่ควรเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง และทักษิณ จนเกิดวาทกรรม “ข้ามพ้นทักษิณ” เป็นต้น
ทว่าตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมา จนกระทั่งการเลือกตั้ง 3 ก.ค.54 การจัดตั้ง ครม.การเคลื่อนไหวเดินทางไปประเทศต่างๆ ของทักษิณ ส.ส.เพื่อไทยใช้ตำแหน่งประกันคนเสื้อแดงที่ถูกขังลืมเป็นต้น ยิ่งสะท้อนความเป็นจริงว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย-เสื้อแดง” มีความเป็น “เนื้อเดียวกัน” ที่ไม่อาจแยกหรือตัดขาดจากกันได้
แต่ขณะนี้มีความพยายามจะแบ่งแยกอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างที่ว่า ทักษิณยังคงเป็นนักโทษหนีคุกไม่มีความชอบธรรมใดๆ จะเคลื่อนไหวสนับสนุนนโยบายรัฐบาลหรือขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยในการเดิน ทางเข้าประเทศต่างๆ ขณะเดียวกันเสื้อแดงก็ต้องถอยห่างจากทักษิณและเพื่อไทย เพื่อรักษาแนวทางและอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ส่วนรัฐบาลเพื่อไทยนั้นหากหวังว่าจะอยู่ให้ครบเทอม ก็ต้องพยายามไม่เกี่ยวข้องกับทักษิณและกระบวนการเสื้อแดง
โดยความพยายามดังกล่าว ทำให้บางครั้งเราได้เห็นการแสดงออกของทักษิณ เพื่อไทย และคนเสื้อแดงทำนองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน หรือพยายามรักษาระยะห่างระหว่างกัน ซึ่งจริงๆ แล้วนั่นเป็นเพียง “การดัดจริต” อย่างหนึ่ง
การพยายามดัดจริตว่าไม่เกี่ยวข้องกัน หรือรักษาระยะห่างระหว่างกัน ทั้งที่จริงๆ เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นความพยายามที่เสมือนว่า “จำเป็นต้องพยายาม” เพราะสังคมนี้เป็น “สังคมที่บังคับให้ต้องดัดจริต” และเป็นความจริงว่าใครที่ดัดจริตได้เนียนพวกเขามักได้รับการยอมรับนับถือจาก ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาดี สื่อ นักวิชาการ ที่เป็นเสียงส่วนน้อยในสังคมแต่เสียงดังกว่าคนส่วนใหญ่ เพราะมีต้นทุนทางสังคมสูงกว่า มีช่องทางการส่งเสียงมากกว่า
“สังคมที่บังคับให้ต้องดัดจริต” คือสังคมที่ต้องยอมรับการมีกฎหมายปิดปากประชาชนไม่ให้พูดความจริง (ม.8,ม.112) ประณามสาปแช่ง “ล่าแม่มด” หรือคนที่พยายามพูดความจริง ชื่นชมนับถือคนดีมีศีลธรรมประเภทรู้ที่ต่ำที่สูง รู้อะไรควรพูดไม่ควรพูดตามมาตรฐาน “สมบัติผู้ดี” ที่กำหนดโดยฝ่ายอำนาจนิยม
หากความจริงใดเป็นแง่ลบของผู้มีอำนาจ หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมและกฎหมายของผู้มีอำนาจ สังคมนี้รับรู้เสมือนว่าความจริงนั้นไม่ใช่ความจริง เสมือนว่าการกระทำนั้นๆ ไม่ใช่การกระทำที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม
แต่ทว่าความจริงใด การกระทำใดที่สังคมนี้มองว่า เป็นความจริงและการกระทำของฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้มีอำนาจ สังคมนี้ก็จะพยายามขยาย ฉายซ้ำความจริงนั้น หรือประณามสาปแช่ง เรียกร้องให้เอาผิดต่อการกระทำนั้นอย่างชนิดที่ว่า ความจริงและการกระทำนั้นเป็นอันตรายต่อแผ่นดินและความมั่นคงของชาติ
การเกาะติดของสื่อต่อข้อเรียกร้องให้เอาผิดกับทักษิณที่เซ็นชื่อให้เมีย ซื้อที่ดินให้ต้องถูกนำตัวมาติดคุกให้ได้ ในขณะที่ไม่ทวงถาม เรียกร้องให้ “รัฐบาลใหม่” เร่งรัดเอา “ฆาตกร 91 ศพ” มาลงโทษ และคืนความยุติธรรมแก่ประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สะท้อนถึง “อาการป่วยหนักของสื่อ” และอาการป่วยหนักดังกล่าวนี้มันสะท้อนสภาพ “ศีลธรรมดัดจริต” ของสังคมนี้อย่างชัดเจน
ถามว่า หากทักษิณ เพื่อไทย เสื้อแดง มุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นประชาธิปไตย ทำไมจำเป็นต้องเต้นตามเกมของพวกศีลธรรมดัดจริตด้วยเล่า หาก “ความเป็นเนื้อเดียวกัน” ตั้งแต่แรกของทักษิณ เพื่อไทย เสื้อแดง หมายถึง “การร่วมกันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ความเป็นเนื้อเดียวกันดังกล่าวนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องแยกจากกัน
กล่าวคือ หากการเดินหน้าต่อไปของทักษิณ เพื่อไทย และเสื้อแดงภายใต้แนวทางใดๆ ก็ตามไม่ออกนอก “เส้นทางประชาธิปไตย” หรือไม่หลุดออกนอกกรอบความเป็นประชาธิปไตย ทักษิณ เพื่อไทย และเสื้อแดงย่อมมีความชอบธรรมที่จะเป็นเนื้อเดียวกันต่อไป
เพราะมีแต่การเป็นเนื้อเดียวกันบนเส้นทางประชาธิปไตย เท่านั้นจึงจะทำให้เกิดพลังเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขับเคลื่อนความยุติธรรม 91 ศพ การประกันตัวคนเสื้อแดง คนที่ต้องคดีหมิ่นฯ จากการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม ปฏิรูปกองทัพ ฯลฯ
การหงอต่ออำมาตย์มากไป จะทำอะไรก็เกรงอำมาตย์จะไม่พอใจ มันเป็นการเดินตาม “เกมศีลธรรมดัดจริต” พวกอำมาตย์ดัดจริตว่าไม่ยุ่งการเมือง แต่ความจริงคือรัฐบาลที่ประชาชนเลือกต้องฟังพวกเขา ไม่ฟังจะอยู่ยาก
สื่อ นักวิชาการเสียงดังก็ดัดจริตยอมรับว่าระบบแบบนี้เป็นระบบของสังคม ประชาธิปไตย หากทักษิณ เพื่อไทย เสื้อแดง เดินตามเกมของพวกเขา สู้ไปกราบไป หรือทำให้การประนีประนอมมีความหมายเสมือนเพียง “การสบยอม” นี่ต่างหากคืออันตรายต่อความก้าวหน้าของประชาธิปไตย คือความสูญเปล่าของการต่อสู้กว่า 5 ปี ที่ผ่านมา
เลิกวัฒนธรรมดัดจริตเสียที ทักษิณ เพื่อไทย เสื้อแดง คือเนื้อเดียวกันภายใต้เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสังคมให้เป็นประชาธิปไตย บทบาทและความสัมพันธ์ใดๆ ของทักษิณ เพื่อไทย เสื้อแดง หากอธิบายได้ว่าอยู่ในกรอบกฎหมายและวิถีทางประชาธิปไตย ย่อมเป็นบทบาทและความสัมพันธ์ที่มีความชอบธรรม
และต้องผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาในทุกเรื่องที่เป็นไปตามหลักการ วิถีทางประชาธิปไตย โดยไม่ต้องดัดจริต ไม่ต้องหงอต่อพวกศีลธรรมดัดจริตที่พยายามเรียกร้องให้ดัดจริตเนียนๆ เหมือนพวกเขา เพราะเส้นทางข้างหน้ายังยาวไกล อุปสรรคยังมีอีกมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น