สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

‘ทักษิณ’ แจกอนาคต- ‘อภิแสบ’ หดความหวัง!!!โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เสาร์, 10/02/2010 - 22:19 | by Porsche

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ดูหนังเก่า Pearl Harbor
ทางเคเบิลทีวี
ซึ่งเป็นเรื่องราวญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐ ที่อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 (พ.ศ.2484)
เห็น จอน วอยท์ (Jon Voight) สวมบทเป็นประธานาธิบดียามสงคราม
แล้วให้คิดถึงตัวจริง คือ
ประธานาธิบดี แฟรงค์กลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt)
เมื่อท่านขึ้นครองตำแหน่งใหม่ๆ ก็มีการสไตรค์ เหตุจลาจล
และความวุ่นวายกันทั่วสหรัฐอเมริกา เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
โลกประสพวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุด ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อ
The Great Depression
ประธานาธิบดี รูสเวลท์ เห็นว่า
ในสถานการณ์ที่ประเทศยังยากลำบากอยู่นั้น
ท่านควรมีรายการวิทยุ เอาไว้ใช้พูดคุยกับประชาชน
โดยการกระจายเสียงตรงจากห้องนั่งเล่นในทำเนียบขาว
มีท่านประธานาธิบดีนั่งพูดคนเดียวใกล้ๆเตาผิง
เป็นรายการพูดคุยกันแบบสบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไร
ท่านตั้งชื่อรายการว่า Fireside Chat ตอนนั้นยังไม่มีโทรทัศน์
มีเพียงวิทยุเท่านั้น ที่เป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญ
การพูดเริ่มครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม 1933
ประเด็นที่ท่านพูด
เป็นเรื่อง วิกฤติธนาคาร” (Bank Crisis)
วิธีการพูดคุยแบบ กระหนุงกระหนิง ข้างๆเตาผิงอะไรทำนองนั้น

ชื่อรายการให้บรรยากาศดี คล้ายๆกับชาวบ้านอเมริกัน
มีโอกาสไปนั่งคุยกับท่านประธานาธิบดี อย่างเป็นกันเอง
ถึงในทำเนียบขาว
หรือคิดกลับด้านอีกที ตัวท่านผู้นำเองไปเยือนประชาชนถึงบ้าน
และนั่งข้างเตาผิงในบ้านของผู้ฟัง
ไม่น่าเชื่อว่า รายการของท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์
ให้ความเสมือนจริง
เพราะผู้นำอเมริกันคนนี้ เฉลียวฉลาดในการพูด
ซึ่งทำให้ชาวบ้านมีความรู้สึกว่า
ทุกๆอาทิตย์ ท่านประธานาธิบดีจะมาเยี่ยมมาเยือนถึงบ้าน
ของเหล่าอเมริกันชนจริงๆ
ให้ความรู้สึกดีๆ ขนาดนั้นเลยทีเดียว
เทคนิคการพูด ของประธานาธิบดีรุสเวลท์เป็นเลิศ
ท่านพูดจาไปเรื่อยๆ แบบสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติมาก
อะไรทำได้ก็บอกว่าจะทำเลย ชาวบ้านไม่ต้องคอย
ตรงไหนที่มันยากอยู่ ก็บอกว่า
ขอเอาไว้ก่อน ให้คิดหาหนทางก่อนนะ
พอทำได้ก็รายงานกับผู้คนทราบว่า
ตอนนี้ทำได้แล้วนะ จะลงมือทำเลย
ชาวบ้านเขาก็ยอมรับกัน และให้ความเชื่อถือไว้วางใจ
และท่านก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนผิดหวังเลย
สำคัญที่สุดคือ ท่านพูดแต่ความจริง!
ผู้นำที่ปราดเปรื่อง อย่างประธานาธิบดี รูสเวลท์
สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ให้ลุล่วงไปเป็นอย่างดี
ด้วยการสร้างงานขึ้นมามากมาย
จนในที่สุด ท่านก็ฉุดสหรัฐอเมริกา ให้ก้าวพ้นข้ามวิกฤติใหญ่หลวงได้
และนำพาประเทศของท่าน ไปสู่ชัยชนะในสงครามแห่งมนุษยชาติ
และก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง จนเป็นผู้นำของโลกได้ในที่สุด

เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาบริหารประเทศ
เขาได้รับคำแนะนำจากคนนามสกุลเดียวกับผม
ให้จัดรายการพบประชาชนแบบเดียวกับที่
ท่านรูสเวลท์ทำ Fireside Chat
ปรากฏว่า...
ทักษิณเห็นดีด้วย จนเป็นเหตุให้เกิดรายการอันโด่งดัง คือ
นายกทักษิณพบประชาชนซึ่งผู้คนในบ้านในเมือง ตั้งอกตั้งใจฟัง
ทั้งนี้ประชาชนเขารู้ว่า ดูแล้วได้ประโยชน์
เพราะคนอย่างทักษิณเป็นคนมี หัวคิด
ที่จะทำให้ชาติไทยก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้
แต่....
สำหรับนายมาร์ค มุกควายนั้น
แม้แต่สื่อสารมวลชนก็ยังบ่นกันพึมพำว่า
การพูดเลียนแบบทักษิณของอีตาคนนี้
กลับไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนเอาซะเลย
ไม่เชื่อผม
ให้ท่านผู้อ่านลองเดินจากหัวซอยถึงท้ายซอยบ้านของท่าน
แล้วลองสอบถามว่า
มีบ้านไหนเปิดวิทยุฟัง นายมาร์ค ร้อยศพพูดวันอาทิตย์บ้าง?”
ท่านก็จะได้ประจักษ์ด้วยตัวเองว่า
นายมุกควายอย่างอภิแสบ นั้น ไม่สามารถเรียกความสนอกสนใจ
จากผู้คนในบ้านในเมืองนี้ได้เลย เพราะมีคนฟังเขาน้อยเต็มที
ไม่เหมือนยุคทักษิณหรือสมัคร ที่พูดอย่างนี้
เพราะผู้เขียนเคยเดินสำรวจด้วยตัวเอง
และรู้ข้อมูลเรื่องนี้มาก่อนนั่นเอง
ความที่นายมาร์ค ร้อยศพ เป็นคนที่พูดแล้ว
ไม่เรียกร้องความสนใจจากประชาชน
นักจัดรายการวิทยุทั้งหลาย อย่าง
บุญระดม จิตรดอนอภิญญา ตั้งใจตรง ก็เคยบอกกลางอากาศว่า
ไม่ได้ฟังที่นายอภิแสบพูดวันอาทิตย์
นอกจากนั้น ผมยังเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า คลื่น 100.5
ตอนเช้าๆ ผู้ดำเนินรายการ มี 3 คนด้วยกัน คือ
รัชชพล เหล่าวนิชย์ สามีของสาวดั้งใส
หนูแอ้ม’ (สโรชา) แห่ง ASTV
บุญระดม จิตรดอน โฆษกีรุ่นโพล้เพล้ และ
วันชัย สอนศิริ มหาบาเรียน สึกหาลาเพศมาเป็นทนายความ
แสดงความอึดอัดใจเรื่องการพูดไปเรื่อยของนายมุกควาย
แต่ไม่รู้จักทำงานที่ควรจะทำ
ทั้งสามคนนี้ เคยเชียร์นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม
และพรรคประชาธิเปรตมาโดยตลอด
พร้อมๆกับการไล่กระทืบนายกทักษิณ ชินวัตร
และพลพรรคอย่างเมามันมิได้ขาด
แต่วันนั้นเกิดกินยาผิดหรืออะไรไม่ทราบได้ ดันไปวิพากษ์วิจารณ์
คนที่เคยเชียร์อย่างนายอภิแสบฯ เข้าอย่างจัง ในทำนองว่า
เรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญอย่างงานชุมนุมของนักขายตรง
คนระดับนายกจะไปทำไมกัน แถมเสริมด้วยว่า คนเขายิ่งหาว่า
นายกฯชอบนักกับการขึ้นเวทีแสดงปาฐกถา
มหาวันชัยแกถึงกับคำรามออกมาดังๆว่า
ว่างมากหรือไง(วะ)
เรื่องบ้าโพเดียมของนายอภิแสบนี้
ตามสื่อและเว็บไซด์เขาก็เอามาลงกันมากมาย ในทำนอง
นายมาร์ค มุกควาย บริหารงานบ้านเมืองไม่เป็นโล้เป็นพาย...
ดีแต่พูด!
เขาว่ากันอย่งนั้นนะ!!

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้อ่านรายงานเกี่ยวกับโครงการ
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของนายกทักษิณ
ที่ได้มอบให้กับประชาชนคนไทย
และส่งผลดีในการพิ่มคุณภาพชีวิตของพี่น้องเหล่านั้น
เห็นแล้วอดนำมาเล่าให้แฟนคอลัมน์ฟังไม่ได้
คืออย่างนี้ครับ
โครงการของนายกทักษิณฯ ที่ใช้แก้ปัญหาความเดิอดร้อน
และช่วยเหลือชาวไทยทั้งประเทศ (ขอย้ำว่าทั้งประเทศ)
อย่างที่ไม่เคยมีผู้ปกครองคนใด หรือรัฐบาลไหนทำมาก่อน นั่นคือ
โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
และอีกโครงการหนึ่ง
ที่พี่น้องชาวบ้านในภูมิภาคได้รับประโยชน์โดยทั่วกัน นั่นคือ
โครงการกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง!

โครงการนี้เกิดขึ้น
ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยมีการกดปุ่มเงินก้อนแรกทางโทรทัศน์
ส่งไปให้ประชาชนทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 จำนวน 7,125 กองทุน
กองทุนละ 1 ล้าน บาท
หรือหมู่บ้านละล้านบาท (จำนวนหมู่บ้านเต็มโครงการ 67,941 หมู่)
ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า
ตอนนั้นฝ่ายค้านและนักวิชาการทั้งหลาย
พากันกล่าวคำสบประมาทโครงการนี้อย่างรุนแรง
มิหนำซ้ำไอ้ระยำพวกนี้ ยังพูดดูถูกดูแคลนกันอย่างถึงพริกถึงขิง
ไอ้พวกมือไม่พายแต่เอาส้นตีนราน้ำ
มันดูถูกเพื่อนร่วมชาติที่จนกว่า หาว่า
พวกเขาโง่บ้าง ไม่มีการศึกษาบ้าง ไม่รู้จักทำกินบ้าง
ดีแต่แบมือขอรับเงินรัฐเท่านั้น
เงินก้อนนี้เมื่อกู้ไปใช้ จ่ายฟุ่มเฟือย
ไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูกหลาน
พอถึงเวลาชำระหนี้ก็...ชักดาบ!
คำกล่าวร้ายของไอ้พวกอัปรีย์เหล่านี้
ดังก้องไปเข้าหูชาวรากหญ้า และบาดใจพวกเขายิ่งนัก!

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
คนที่มันเคยรุมด่านั้น ต้องรู้ความจริงเสียบ้างว่า
กองทุนหมู่บ้านนั้น
ทักษิณมุ่งหวังจะสถาปนาให้เป็นธนาคารของประชาชนชาวไทย บัดนี้...
กลับก้าวหน้าอย่างมั่นคง
ลบคำสบประมาทเหล่านั้นลง อย่างสิ้นเชิง

รศ.นที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้าน
และชุมชนเมืองแห่งชาติ (ผอ.กทบ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า
จากรายงานเมื่อปี 2551 พบว่า
เงินกองทุน 8 หมื่นล้านบาทที่บริหารกันโดยชาวบ้าน
มีดอกผลงอกเงยขึ้นมากว่า 3 หมื่นล้านบาท
ซึ่งเงินยอดนี้ถูกนำไปใส่เข้าสมทบกองทุนจำนวน 5,370 ล้านบาท
เงินออม 15,766 ล้านบาท
เงินหุ้น 1,876 ล้านบาท
เงินฝาก 1,758 ล้านบาท
เงินประกันความเสี่ยง 1,676 ล้านบาท
เงินเฉลี่ยคืนผู้กู้ 1,597 ล้านบาท
เงินบริหารจัดการ 2,441 ล้านบาท
และเงินจัดสรรสวัสดิการ-สาธารณประโยชน์ 2,950 ล้านบาท
เงินกองทุน 79,255 กอง ทุน
ยังอยู่ในมือชาวบ้าน ไม่ได้หายไปไหน
เพราะชาวบ้านมีวินัยทางการเงิน และมีความรับผิดชอบสูง
โดยกองทุนทั้งหมดชาวบ้านบริหารกันเอง
ด้วยฝีมือผู้บริหารที่ จบป.4 ป.6 และ สูงขึ้นมาหน่อย
อาจจะจบ ชั้นมัธยม แต่สามารถ บริหารเงินกันได้ดี
เพราะชาวบ้านส่วน ใหญ่ไม่เบี้ยวหนี้
หรือติดค้างชำระ เนื่องจากเขามีความละอาย
ใครเป็นหนี้ 2 หมื่นบาท รู้กันทั้งหมู่บ้าน
ถ้าค้างชำระก็ติดชื่อไว้ที่ศาลาวัด
หรือไม่ก็ให้ลูกหลานช่วยทวงถามให้
สื่อมวลชนที่มีจิตใจดี เห็นกับประโยชน์ของชาติบ้านเมือง
เขารายงานตรงไปตรงมาว่า
กองทุนหมู่บ้าน ตำนานทักษิณ
กำไรกว่า 30,000 ล้านบาทแล้ว
หนี้เสียเพียง 0.5%”
หมายความว่า
เงินทุนที่รัฐบาลทักษิณให้แต่ละหมู่บ้านและไปนั้น
บัดนี้มีกำไรเพิ่มขึ้นครึ่งเท่าตัวแล้ว กลายเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญ
ในหมู่บ้านและชุมชนสำหรับประชาชนคนไทยไปแล้ว
ซึ่งพี่น้องเราได้มีไว้เป็นที่พึ่งเมื่อถึงคราวจำเป็น
โดยไม่ต้องไปพึ่งพาเงินนอกระบบ จากนายทุนหน้าเลือดคนไหน
ไม่เหมือนโครงการของประชาธิเปรต...แจกหาย...แจกหาย!
นี่ไง!... เหตุผลที่คนไทยยังคิดถึงคนชื่อ...ทักษิณ!!

โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง นี้ ยิ่งใหญ่มาก
และกลายเป็นเสาหลักอีกต้นหนึ่ง
ที่โผล่ออกมาค้ำประเทศไทยของของเราไว้ดียวกับโครงการโอทอป
และ SME ที่ได้กลายเป็น ของคู่บ้านคู่เมืองไปแล้ว
เรื่องอย่างนี้พรรคประชาธิเปรต คิดไม่เป็น!
วิสัยทรรศน์ในเรื่องที่จะสร้างความเจริญให้กับบ้านเมือง
จึงหาไม่เจอในพรรคโลซก
ซึ่งผมไม่ได้พูดลอยๆเลื่อนเปื้อน
หากมีหลักฐาน มาจากคนในพรรคดักดานนั่นแหละ
นั่นคือ...
คุณชายสุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่า กทม.
สมาชิกพรรคประชาธิเปรตคนสำคัญ
แสดงอาการเหน็ดหน่ายกับท่าทีของพรรคตัวเอง เป็นอย่างยิ่ง
ถึงกับได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างดุดัน
(ซึ่งไม่ใช่วิสัยของคุณชาย)
เปรียบเสมือนเอาไม้หน้าสาม ฟาดกลางแสกหน้านายอภิแสบฯ
และพรรคตัวเองอย่างรุนแรง
เท่านั้นไม่พอ ยังแถมตามด้วยการยกครกหิน
ทุ่มกบาลนายอภิแสบฯซ้ำเข้าให้อีก
โดยเชื้อพระวงศ์หนุ่มใหญ่ ถึงกับต้องระบุออกมาโต้งๆว่า
...พรรคประชาธิปัตย์ ขาดจินตนาการในเรื่องเศรษฐกิจ
ซึ่งรวมถึงเรื่องความเสมอภาคในเรื่องรายได้
โดยมุ่งเน้น
แต่การก่อหนี้มหาศาลและใช้จ่ายสารพัดโครงการโดยไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งหาก เขา” (คุณชาย) ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
เขาจะพูดได้มากกว่านี้!...
คุณชายท่านพูด ขนาดนี้เลยนะครับ...พี่น้อง!

เมื่อหันกลับไปมองผลงานของทักษิณ
ก็ได้เห้นโครงการที่ทำให้ชาติบ้านเมืองของเราแล้ว
ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องดี มีประโยชน์กับพี่น้องประชาชนคนไทย
ครั้นเราเหลียวมามอง
ผลงานของพรรคประชาธิเปรตกับพรรคร่วมรัฐบาลยามนี้
ก็จะเห็นแต่เรื่องราวที่...
ไม่เป็นมงคล!
มีแต่พฤติกรรมการทุจริต คดโกงอย่างชั่วช้าสามานย์
เปิดเผยออกมาให้ประชาชนเห็น
โดยตั้งใจมาโกงก่อนเข้าเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ
อย่างโครงการไทยเข้มแข็ง เป็นต้น
น่าขยะแขยงมาก!

โครงการต่างๆของรัฐบาลอภิแสบ
ล้วนแต่เต็มไปด้ายเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ
ซึ่งถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง อีก
ทั้งการแย่งกันหากินในงบประมาณแผ่นดิน เป็นไปอย่างกว้างขวาง
แถมการตรวจสอบในยุคนายมาร์ค มุกควาย
ยีงไร้ประสิทธิภาพเสียอีกด้วย
อย่างกรณี ป.ป.ช.ที่ก่อเรื่องอัปยศอัปรีย์ ปล่อยคดีให้ขาดอายุความ
ซึ่งผมขัดเคืองอย่างมาก
ถึงกับนำเสนอท่านผู้อ่านถึง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
นอกจากนั้น เรื่องราวที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติ
ซึ่งผู้บริหารบ้านเมืองควรจะต้องดูแลโดยใกล้ชิด
แต่รัฐบาลนี้ กลับปล่อยปละละเลย จนเกิดปัญหาและความเสียหายขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงการมาบตาพุด
โทรศัพท์ 3G ดูจะมีอุปสรรคไปเสียทั้งหมด
ผู้คนเขาบอกว่า
ถ้าเป็นยุคทักษิณ ปํญหาเหล่านี้ก็คงไม่มีให้รกหูรกตา
แต่ยุคนายมุกควาย
ก็ได้แต่ซื้อเวลาไปตามสันดานคนบริหารงานไม่เป็นเท่านั้น
เขาว่ากันอย่างนั้นนะ!
ช่างเป็นเวรกรรมของประเทศจริงๆ
ที่ได้รัฐบาลอัปลักษณ์อย่างนี้!!
เลยต้องนำมาบอกกล่าวกัน

ถ้าจะให้เปรียบเทียบผลงานของทักษิณ กับนายมาร์ค ร้อยศพ
คงจะเห็นได้ชัดว่า
ตลอดเวลาที่บริหารบ้านเมือง ทักษิณนั้นได้สร้างโครงการต่างๆ
ที่เป็นประโยชน์อย่างสูงกับประชาชนคนไทย
ทำให้บ้านเมืองของเรามีความหวัง
และอนาคตที่เรืองรอง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่...
นายมาร์ค ร้อยศพ นั้น
นอกจากขาดวิสัยทัศน์ของการบริหารประเทศในทุกๆด้าน
ถนัดแต่การลอกเลียนแบบ
แต่ลอกเลวยังดันทำได้เลวกว่าเสียอีก
นอกจากนั้น เขาและพรรคพวก
ยังได้หยิบยื่นเรื่องราวการทุจริตคอรัปชั่น
จนประชาชนทนกันไม่หวัดไม่ไหว จึงพากันเห็นว่า
ไร้ความหวังในอนคต...กับรัฐบาลโลซกชุดนี้
หรือจะพูดให้สั้น และเข้าใจง่าย คงต้องพูดว่า

ทักษิณแจกอนาคต- อภิแสบหดความหวัง!!!

.............

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=253

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น