สนับสนุนการทำกิจกรรม ส่งเสริมประชาธิปไตยของชาวเชียงใหม่ ร่วมกับศูนย์ประสานงานกลาง นปช.แดงเชียงใหม่

ชื่อบัญชี นปช.แดงเชียงใหม่ ธนาคารออมสิน เลขที่บัญชี 02 0012142 65 7 ( มีผู้รับผิดชอบบัญชี 3 ท่าน )

ติดต่อเรา deangchiangmai@gmail.com

ราบสวัสดี พี่น้องทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือน บล็อค นปช.แดงเชียงใหม่ ขอเรียนชี้แจงสักนิดว่า เรา ”แดงเจียงใหม่” เป็นกลุ่มคนชาวเจียงใหม่ที่เคารพรัก กติกาประชาธิปไตย ต่อสู้และต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ อยากเห็นประเทศชาติภายภาคหน้า มีความเจริญ ประชาชนรุ่นลูกหลานของเราอยู่อาศัยอย่างร่มเย็นเป็นสุขในประเทศของพวกเราเอง ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มใดมาสูบเลือดเนื้อ แอบอ้างบุญคุณเฉกเช่นในยุคนี้ที่พวกเราเห็น การที่จะได้รับในสิ่งที่มุ่งหวังก็ต้องมีการต่อสู้แสดงกำลังให้สังคมได้รับรู้ และเพื่อที่จะให้กลุ่มบุคคลที่มีอำนาจในปัจจุบันได้เข้าใจในสังคมที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่อาจฝืนต่อกระแสการพัฒนาของโลก การต่อสู้ร่วมกับผองชนทั่วประเทศในครั้งนี้ เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้ร่วมต่อสู้ทุกรูปแบบ และในรูปแบบที่ท่านได้เข้ามาร่วมอยู่นี้ คือการเผยแพร่ข่าวสารต่อสังคม เรา “ แดงเจียงใหม่ “ ได้สร้างเวปบล็อคไว้ 2 ที่ คือที่นี่ “ แดงเจียงใหม่” สำหรับการบอกกล่าวในเรื่องทั่วไป และอีกที่หนึ่งคือ “ Daeng ChiangMai “ สำหรับข่าวสารที่เราเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการรับรู้ข่าวสารในการร่วมทำกิจกรรมของพี่น้องประชาชน


เชิญร่วมสร้างขวัญ และกำลังใจให้เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมกันครับ
“แดงเจียงใหม่” " Daeng ChiangMai "

รักประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการ ต่อต้านการรัฐประหารทุกรูปแบบ สร้างขวัญกำลังใจและความสุขเพื่อปวงชน

การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ : สมุดปกขาวโดยสำนักกฎหมาย Amsterdam & Peroff การสังหารหมู่ที่กรุงเทพฯ . ไพร่สู้บนเส้นทาง ๗๘ ปี ประชาธิปไตย ( ๒๔๗๕ - ๒๕๕๓ ) จรรยา ยิ้มประเสริฐ Voter's Uprising Thai

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

การดำรงอยู่ของสองแนวทาง โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?

เรื่อง การดำรงอยู่ของสองแนวทาง

โดย กาหลิบ

การ ถกเถียงว่า นปช. แดงทั้งแผ่นดิน หรือ แดงสยาม เป็นแนวทางอันถูกต้องนั้น ความจริงก็ไม่จำเป็น ทั้งสองแนวทางเป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องกันในขบวนประชาธิปไตย เพียงเป็นแนวทางคนละระยะ

เหมือน เราจะเดินทางไปตราด แล้วมานั่งถกเถียงกันว่า เส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ ไปชลบุรีหรือเส้นทางจากชลบุรีไปถึงตราด มีความสำคัญมากกว่ากัน ทั้งๆ ที่ต้องใช้เส้นทางทั้งสองระยะรวมกัน

เหตุ ที่ยกตัวอย่างเป็นต่างจังหวัด เพราะถ้าหวนกลับมาใช้สัญลักษณ์บางซื่อ-หัวลำโพงอาจจะยั่วโทสะกันใหญ่โตอีก เรื่องนี้เขายังอ่อนไหวและอารมณ์แปรปรวนกันอยู่

คำถามคือเราจะเป็น แนวร่วมกัน ไหมในระยะนี้ เพื่อลดความรู้สึกสับสนและความรู้สึกขัดแย้งของมวลชน ผู้ที่ได้ต่อสู้มาอย่างเหนื่อยยากและเสียสละทุกอย่างมาแล้วหลายปี

เราเสนอว่า ควร แต่ต้องกำหนดวิธีการให้ถูกต้องตามอุดมการณ์ เพราะอุดมการณ์คือเรื่องที่ไม่อาจประนีประนอมได้

ต่อจากนี้ไปคือข้อเสนอให้พิจารณาร่วมกัน

๑. เลิกผูกขาดการต่อสู้ว่า จะต้องนำโดยคนกลุ่มเดียวหรืออยู่ภายใต้คนๆ เดียว แต่ควรส่งเสริมความหลากหลายของมวลชนประชาธิปไตย นั่นหมายความว่า ต้องเลิกใช้วาทกรรมแดงแท้แดงเทียม เลิกวิธีการคว่ำบาตรหรือประกาศขับไล่ใครหรือกลุ่มใดออกจากขบวนการ หาวิธีประสานงานระหว่างกลุ่มต่างๆ ตามเวลาอันเหมาะควร เพื่อรวมพลังกัน

๒. ยุติทัศนะที่ว่า ทุกคน ตาสว่างกันหมดแล้ว หรือทุกคนเขา รู้แล้ว ว่าสู้อยู่กับใคร เพียงแต่เขาไม่พูดออกมาเพราะพูดไม่ได้หรือนั่งอำพรางอยู่ การอวดอ้างอย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ถึงจะเป็นความจริงแต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ จำเป็นต้องปล่อยให้บางคนวิเคราะห์เชิงชี้นำอย่างโจ่งแจ้งและชัดเจน เพื่อให้เป็นธงสำหรับอนาคต (อันใกล้) อย่างน้อยเป็นวิธีการทางจิตวิทยาที่อาจนำไปสู่การยุติลัทธิปิดปากตัวเองของ คนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งนั่งเงียบเฉยอยู่ ทั้งที่รู้เต็มอกว่าปัญหาบ้านเมืองอยู่ที่ใครและอะไร ใครที่กล้าและพร้อม ก็ส่งเสริมให้เขาเดินนำไปก่อน ใครที่กำลังรวบรวมความกล้าและความพร้อมก็ให้ตามมาในภายหลัง อย่างนี้จะเกิดระยะที่ชัดเจนขึ้นในการต่อสู้แบบกระบวนการ

๓. พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย หรืออ้างตัวว่าเป็นเช่นนั้น เช่น พรรคเพื่อไทย เป็นต้น ต้องเสนอนโยบายต่อประชาชนในประเทศในเชิงปฏิวัติด้วย การปฏิวัติที่ว่านี้ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในมิติลึก นโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทยรักไทย-พลังประชาชนทั้ง ๔ รัฐบาล ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการปฏิวัติประเทศ แต่การสานต่อต้องไปให้ไกลและลงให้ลึกกว่านั้น ตัวอย่างของแนวคิดและนโยบายที่ควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์แบบ การสร้างรัฐสวัสดิการ การปฏิวัติระบบภาษีอากร เป็นต้นด้วย ถ้าทำเช่นนี้ได้ อำนาจรัฐที่หวังกันว่าจะได้รับจากกระบวนการเลือกตั้งก็จะสอดประสานกันได้กับ แนวทางปฏิวัติ แต่หากไม่ทำเช่นนี้ การแยกกลุ่มพลังที่มีแนวคิดปฏิวัติก็เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะเราไม่อาจยอมให้ขบวนปฏิวัติประชาธิปไตยต้องล้มเหลวลงเพราะการก้าวเดิน ที่ผิดพลาดทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า

๔. สร้างยุทธศาสตร์ ส่งไม้ระหว่างแนวทางปฏิรูปกับแนวทางปฏิวัติ ที่มีผลอย่างเป็นรูปธรรม

๕. ในการรวมพลังมวลชนระหว่างการปรับตัว ขอให้ทำอย่างที่แดงสยามทำมาตลอดต่อไป นั่นคือเรียกร้องให้มวลชนเข้าร่วมกิจกรรมของฝ่ายประชาธิปไตยทุกๆ กลุ่มอย่างต่อเนื่อง ไม่ปฏิเสธที่จะร่วมกับกลุ่มใดเพื่อรักษาอำนาจต่อรองในภาพรวมสำหรับขบวน ประชาธิปไตยไว้ โดยเก็บความในใจและอุดมการณ์อันก้าวหน้าไว้แสดงในโอกาสในอันเหมาะสม

สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเสนอที่เราเชื่อว่าเป็นไปได้และควรเป็น

เวลา ของประชาชนใกล้จะมาถึงแล้ว เราต้องช่วยกันปรับตัว ปรับใจ และปรับความคิดอย่างทันการณ์เพื่อยกระดับประเทศไทยไปสู่ความเป็นรัฐของ ประชาชนโดยแท้.

http://www.democracy100percent.blogspot.com/



วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากขุนเขา : " นายใหญ่ " นายหญิงนายใหญ่ ลี้ภัยไกลเมือง.....

ขุนเขาจากแดนใกล

ขุนเขาเล่าเรื่อง :

นายใหญ่.................

เปาปุ้นจิ้น ท่านอยู่ศาลไคฟง
เป็นผู้ดำรง ความยุติธรรม
เปาปุ้นจิ้น คำตัดสินเลิศล้ำ
เปี่ยมคุณธรรม น้อมนำความดี

มีเมืองหนึ่ง อื้ออึงอลเวง
กดขี่ข่มเหง ละเลงเล่นสี
สีหนึ่ง รำพึงแต่ความดี
แต่กับอีกสี ไม่ดีมีแต่เลว

งบประมาณ ตั้งศาล มาหนึ่งศาล
มาล้างมาผลาญ ปฏิบัติการสุดเสียว
แสนอำมหิต ยัดความผิด ลูกเดียว
ชาวบ้านสุดเสียว ห่อเหี่ยวเสียวใจ

โดยคำสั่ง ดั่งฟ้ามาบงการ
ให้สั่งประหาร รัฐบาลสองสมัย
ยุบพรรคการเมือง นามกระเดื่อง เพื่อใคร
นายหญิงนายใหญ่ ลี้ภัยไกลเมือง

พูดกันมันหยด พจนานุกรม
นำมาผสม ลงอาคมสีเหลือง
ตัดสินกับข้าว คนเมาส์กันทั้งเมือง
ฉลาดปราดเปรื่อง เรื่องระยำตำบอน

เป็นอนุสรณ์ สะท้อนให้เห็น
กฎหมายกฎเหม็น เป็นแค่คำสอน
จะเป็นฎีกา หรือว่าอุทธรณ์
กลับกลอกยอกย้อน ปลิ้นปล้อนซ่อนกล

เอียงกระเท่เร่ จนตาเหล่ตาลาย
สร้างความฉิบหาย วอดวายสับสน
จับคนมาขัง ตามคำสั่งคนเหนือคน
ตั้งข้อหาจารจล คนนะคนไม่ใช่ควาย

ขังกันฟรีๆ ไปสี่ห้าเดือน
ข้อหาเลอะเลือน เหมือนผู้ก่อการร้าย
ที่อีกฝั่ง ไม่โดนขังนั่งสบาย
จากผู้ก่อการร้าย กลายเป็นผู้ก่อการดี

กระชับพื้นที่ พรากชีวีสีแดง
เข่นฆ่ารุนแรง เลือดแดงแต่งสี
เก้าสิบเอ็ดราย กลายเป็นศพทันที
มิกสัญญี ที่ราชดำเนิน

เรื่องเงียบหาย กลายเป็นคดีดอง
อ้างความปรองดอง ดองคดีไม่เดิน
เกณฑ์คนมาแห่ แซ่ซ้องสรรเสริญ
กลบคดีไม่เดิน อัญเชิญมาหยุดคดี

เรื่องของสี จึงเป็นคดีที่ศาล
มีมากประมาณ ศาลเปิดตูดหนี
คำสั่งเจ้าเมือง สีเหลืองเลื่อนคดี
สีแดงขังทันที่ ไม่มีอภัย

เมืองและศาล รัฐบาลที่กล่าวมา
ท่านไม่ต้องเสาะหา ไม่อยู่ใต้ฟ้าเมืองไทย
เป็นเพียงนิทาน ตำนานล้าสมัย
แต่ถ้าเกิดในเมืองไทย ความบรรลัยคงบรรเลง..............มีเพียงนายใหญ่เท่านั้นที่จะแก้ไขเหตุการณ์ครั้งนี้....

http://www.internetfreedom.us/thread-15713.html

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาทิตย์เบาๆ เอานิยายมาให้อ่าน...นิทานขายดี " อีโม่งกับไอ้โม่ง "

ขุนเขาจากแดนใกล

ขุนเขาเล่านิยาย :


นิยายขายดี อีโม่งกับไอ้โม่ง.......

อีโม่ง อยู่คู่ ไอ้โม่ง
พวกเขาอยู่โยง กันมายาวนาน
ทั่งคู่ ทุรัง สังขาร
เนื้อหนังหย่อนยาน ประมาณใกล้ตาย

อีโม่ง ฟุ้มเฟ้อ เห่อเหิม
ชอบแต่งชอบเติม เพื่อเสริมการขาย
เฉือนเนื้อ เถือหนัง ร่างกาย
ให้สวยก่อนตาย ไม่อายสังคม

ไอ้โม่ง นั่งโยง อยู่เหย้า
มีหมาคอยเฝ้า กับเหล้าผสม
ดื่มกัน วันเป็น กลมๆ
จนเมาจนล้ม นอนจมอาเจียน

ชีวิต ดุจดั่ง นิยาย
เติมแต่งลวดลาย เพื่อขายงานเขียน
นานไป แต่งได้ ไม่เนียน
คนเขียนเริ่มเพี้ยน วนเวียนวกวน

เขียนให้ เมียไป มีชู้
ไปจู้ฮุกกรู อยู่ข้างถนน
ลูกเต้า สุดเศร้า สุดทน
เลยสั่งฆ่าคน ที่จู้ฮุกกรู

ชีวิต สลด หดหู่
แย่งกันสมสู่ เป็นคู่เป็นคู่
สวรรค์ ทุกชั้น ของกู
คนมามุงดู กูไม่สนใจ

แต่งตัว ไฉไล เหลือแสน
ผู้ชายดูแมน ให้แสนหลงใหล
ฝ่ายหญิง ยิ่งนำ สไตล์
สร้อยเพชรยองไย สไตล์ซาอุดี

คนเขียน เริ่มเพี้ยน สุดๆ
ความคิดกระฉูด เขียนปูดเรื่องสี
ให้คน ออกมา ต่อยตี
ไอ้โม่งคนดี เริ่มมีมลทิน

ด้วยจิต ที่ ริษยา
ไอ้โม่งสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง
เหมือนมี ผีห่า เข้าสิง
คนสั่งสั่งยิง คนยิงยิงคน

ชีวิต ลิขิต ปัจฉิม
ผู้คนรวมทีม ขึ้นริมถนน
รวมคน ได้หลาย แสนคน
คนหลายแสนคน ไล่คนสองคน

นิยาย จะจบ อย่างไร
ดูกันต่อไป อย่าได้สับสน
อีโม่ง ไอ้โม่ง ก็คน
จะรวยหรือจน หนีไม่พ้นความตาย.......นิยายขายดีจบเสียที่กลัวจนฉี่จะแตก.....

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 10 :การเดินทางต่อไปของต้นไม้ที่โตไม่พร้อมกัน





โดย วิสา คัญทัพ


สิ่ง ที่อาจลืมคิดไปอย่างหนึ่งก็คือ การเกิดขึ้นของแกนนำ นปช. (ก่อนนั้นคือ นปก.) ไม่ได้เกิดโดยการแต่งตั้งจากฟ้าจากสวรรค์หรือกระทั่งนรกที่ไหน

ไม่ ได้เกิดจากทักษิณ ไม่ได้เกิดจากพรรคการเมืองใด หากเกิดขึ้นจากธรรมชาติของคนที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อต้านรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เข้าร่วมและมีบทบาทไปตามสถานะภาพที่ผูกพันกันทำงาน แล้วพัฒนาขึ้นจากสภาพความเป็นจริงในแต่ละระยะ ค่อยๆก่อรูปเป็นองค์กรจากการปฏิบัติที่เป็นจริง

ถ้าถามว่าใครผ่าน เข้ามาเป็นแกนนำได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า “เวลา” การทุ่มเทเวลาให้กับการต่อสู้ของแต่ละคนที่เป็นเงื่อนไขอันแท้จริงอันทำให้ เกิดการประชุมเพื่อทำงานและสร้างตั้งองค์กรในแต่ละระยะ

เพราะ ฉะนั้น เราจึงมาจากธรรมชาติ ควบคุมกันได้ด้วยมติที่ประชุม แต่ก็อาจถูกแทรกแซงได้โดยภาวะที่การนำส่วนมากเห็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งอาจจะถูกชี้นำโดยพลังศรัทธานอกองค์กรในบางครั้ง

ทว่า เรื่องอย่างนี้ ท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริง ผิดถูกเห็นได้ไม่นาน การปรับแก้ไขของ นปช.จึงค่อนข้างจะกระทำได้โดยรวดเร็ว เนื่องด้วย การตอบโจทก์ถูกผิดอยู่ที่ประชาชนผู้ต่อสู้เป็นจริงในสมรภูมิการสู้รบ และแกนนำไม่ได้ห่างเหินจากมวลชนในการต่อสู้ ไม่คิดเอาเอง ไม่จินตนาการ ไม่อัตวิสัย

อารมณ์ความรู้สึกของแกนนำ นปช.ต้องสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนอยู่เสมอ ถ้าไม่สอดคล้องก็ไปไม่รอด เรื่องนี้สำคัญ นั่นคือการที่ไม่ก้าวเร็วไปกว่ามวลชน ขณะที่จะต้องไม่ก้าวช้าไปกว่ามวลชน หากต้องก้าวไปพร้อมๆกันกับมวลชน โจทก์ข้อนี้ย่อมเป็นข้อสอบวัด การสอบผ่านหรือไม่ผ่านขององค์กรคนเสื้อแดงทุกขบวน

บันทึกของผม คงดำเนินมาถึงจุดที่น่าจะจบลง ณ ตรงนี้ ตรงฉบับที่ 10 ตรงที่ได้เห็นว่า นปช. ได้พิสูจน์การต่อสู้แนวทางสันติวิธีจนถึงที่สุด ประสบชัยชนะเป็นลำดับขั้นด้วยความยากลำบาก ล่าสุดได้ประกันตัวแกนนำ นปช. และต่อไปต้องคืนอิสรภาพให้กับคนเสื้อแดงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ทั้ง นี้มีความหมายว่า ประการแรก เพราะ นปช. ได้ประกาศการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงตามรัฐธรรมนูญ ประการที่สอง นปช.ยึดมั่นสันติวิธีโดยบริสุทธิ์ ความรุนแรงและการแทรกซ้อนในการเข่นฆ่า เผาทำลาย ตลอดจนวิธีการรุนแรงอื่นใด ล้วนมาจากองค์กรนอกขบวน นปช.

ถึง ที่สุดแล้วความรุนแรงขั้นสูงสุดของ นปช. ก็แค่วาทกรรมบนเวทีที่กล่าวไปด้วยอารมณ์แค้นคลั่งจากการที่ต้องสูญเสีย เพื่อนพ้องน้องพี่ไปเท่านั้น สิ่งนอกเหนือไปกว่านั้น ความรักความภักดีตลอดถึงความศรัทธาที่มีต่อสถาบันสูงสุดเป็นเรื่องแห่ง ”สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” ทั้งสิ้น นั้นคือประโยคที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” ปรากฏเป็นจริงในการปฏิบัติหรือไม่อย่างไร

เมื่อ สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ถูกต้อง อันเห็นว่า นปช.คือผู้บริสุทธิ์ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ได้ล้มเจ้า สำหรับผมถือว่านี้เป็นประเด็นหลักสำคัญที่เสื้อแดง นปช.ส่วนใหญ่ร่วมสำแดงพลังกันมาในทิศทางนี้ นอกเหนือจากต้องขอบคุณมหาประชาชนผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแล้ว ยังต้องขอบคุณอดีตประธาน นปช. วีระ มุสิกพงศ์ ที่เดินหน้าทำตัวเป็น ”ต้นไม้ที่โตก่อน” ทำงานสร้างความเข้าใจอย่างหน่วงหนัก โดยไม่เห็นกับการด่าประณามจาก “ต้นไม้ที่ยังไม่ทันโต”

นี้นับเป็นเรื่องราวของ “ต้นไม้ที่โตไม่พร้อมกัน” อันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

สิ่งที่หงายไพ่ แบกระจ่างกับคนเสื้อแดงเวลานี้คืออะไร

1.คือยืนยันยันว่า พวกเขามิอาจรอคอยต่อไปให้ถึงวันครบรอบหนึ่งปีของการชุมนุม 12 มีนาฯ ที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ได้อีกแล้ว หากไม่ให้ประกันตัวแกนนำเสื้อแดงและพี่น้องเสื้อแดงเราทั้งหมด คนจะมามหาศาลเพิ่มขึ้นเรื่อย และเขาเข้าใจกฎ “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกับที่เขาเข้าใจ นปช. ว่าสู้ด้วยแนวทางอย่างไร เขาจึงแบ่งแยกแสดงภาพของคนเสื้อแดงที่แตกต่างด้วย กรณีจับ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ลึกๆก็หวังจะก่อให้เกิดการแตกแยกในเสื้อแดง (ซึ่งส่วนหนึ่งเขาปล่อยคนเข้ามาขยายความขัดแย้งในประเด็นเหล่านี้ในนาม”แดงเนียน”อยู่แล้ว)

ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของผู้นำ “แดงสยาม” ว่า จะอ่อนหัด หรือจัดเจน เดินเข้าทางของพวกเขา หรือสามัคคีพวกเรา นั่นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไป เท่าที่เห็น การรีบออกแถลงการณ์อย่างบุ่มบ่ามด้วยท่าทีประชดประชันในนาม จักรภพ เพ็ญแข ว่า นี่ไม่ใช่อรุณรุ่งแห่งความยุติธรรม แต่เป็นอัสดงคตของประชาธิปไตย และการเขียนบทความโดยกาหลิบ เรื่อง “ขอโทษที่ไม่ยินดี” ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะสามัคคีสักเท่าไร

2.หนทางการต่อสู้ข้างหน้าแหลมคมและอันตรายทุกขณะ ท้าทายวุฒิภาวะของการนำ แน่นอนว่าจะต้องมีสติ คิดทัน รู้ว่ากำลังสู้กับอำนาจพิเศษที่ฝังปลูกลุ่มลึกในเชิงวัฒนธรรมมายาวนาน ต้องสู้แบบสั่งสมชัยชนะไปเรื่อยๆ อย่าทำอะไรที่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้เขาใช้กำลังเข้าปราบปราม เราควรเข้าใจคำว่า “สุกงอม” เมื่อผลไม้สุกงอมได้ที่ก็จะร่วงหล่นจากลำต้นเอง อย่าบ่มด้วยแก๊สเพราะรสชาติจะไม่อร่อย และควรเข้าใจคำว่า “เสื่อม” เมื่อเสื่อมถึงที่สุดก็จะหมดสภาพไปเอง

ณ เวลานี้ แท้จริงเป็นอัสดงคตของพวกเขาต่างหาก ไม่ใช่ของเรา เราเดินทางไกลมาตั้งแต่ 2475 จนใกล้ถึงปลายอุโมงค์แล้ว เรื่องที่คิดไม่ยากแต่ทำยากก็คือว่า ไม่มีสถาบันใดที่จะอยู่ได้หากถูกปฏิเสธโดยประชาชนส่วนใหญ่ รักและศรัทธามิได้เกิดจากการหลอกลวงสร้างภาพ หากต้องเกิดจากสัจจะความจริง

เพราะ ฉะนั้น นี่ไม่ใช่เป็นการนับหนึ่งใหม่อย่างแน่นอน นับหนึ่งใหม่คือกลับไปเริ่มใหม่อย่างไม่รู้อะไร ทว่าวันนี้เรารู้ซึ้งถึงขั้นเหตุผลแล้วว่า อะไรเป็นอะไร สถานการณ์จึงเดินมาถึงขั้น จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม เคารพสิทธิเสรีภาพ แบ่งปันทรัพยากรให้คนจนส่วนใหญ่ได้บริโภคบ้าง ดัง อ.สุรชัย แซ่ด่าน ได้ปราศรัยอยู่บ่อยๆ สุรชัยเองก็ต้องการ “ประชาธิปไตยแบบญี่ปุ่น อังกฤษ” ซึ่งก็หมายถึง “ประชาธิปไตยที่มีนามสกุลต่อท้าย” นั่นเอง

3.ถ้า คนเสื้อแดงมีล้านคน เราต้องพิสูจน์ให้คนเสื้อแดงอีกหกสิบกว่าล้านคนเห็นว่า เสื้อแดงสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมอย่างแท้จริง พิสูจน์ทราบเบื้องต้นที่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เห็นก็คือคำที่ อ.สุรชัย แซ่ด่าน มักย้ำอยู่เสมอว่า “ไม่อยากให้มีการนำสถาบันเบื้องสูงมากลั่นแกล้งทำลายกันทางการเมือง” ซึ่งที่สุดรูปธรรมกำลังนำไปสู่กฎหมาย 112 ที่กำลังรณรงค์กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ หาก นปช.ปัดความรุนแรงที่บรรดาอำมาตย์และบริวารทั้งลับและเปิดเผยโยนร้ายป้ายเลว ให้พ้นไปได้ ประชาชนหกสิบกว่าล้านคนรับทราบความจริง ทั้งสองข้อนี้ พลังแนวร่วมก็จะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ถึงเวลานั้นก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะผลไม้สุกคาต้นแล้ว รอรับการร่วงหล่นไว้ให้ดีก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นก็คือเวลาที่พวกเขาต้องตกใจที่ประชามหาชนมากมายมหาศาล เพียงเดินออกมาแสดงตนเท่านั้น

ที่พูดนี้คือปัญหา “แนวทาง” ที่ นปช.ยืนหยัดมาตลอด และต้องยืนหยัดยึดมั่นต่อไปอย่างอดทน ตรงนี้ขอเป็นกำลังใจให้ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. แม้จะถูกพวก “ทำเนียนเป็นเสื้อแดง” หรือพวก “นิยมโพสต์ตามเว็ป” โจมตีทำร้ายด้วยวาทะกรรมประดิษฐ์สร้างต่างๆนาๆ ก็ขออย่าได้หวั่นไหว

อย่า ลืมว่า 6 ตุลา 19 โมเดล ที่นักศึกษาเป็นผู้บริสุทธิ์ และความรุนแรงมาจากฝ่ายรัฐ ถึงวันนี้ 35 ปีมาแล้วคนในสังคมบางส่วนเพิ่งจะเข้าใจ เมื่อพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ 19 พ.ค.53 ด้วยตัวเอง ขณะที่อีกหลายส่วนยังไม่เข้าใจ

4.ความหมายในทางกลับกัน หากแม้ นปช.เป็นผู้บริสุทธิ์ ใคร เล่าคือผู้ไม่บริสุทธิ์ที่ใช้ความรุนแรงฆ่าเผาทำลายหากแม้นักศึกษา 6 ตุลาฯเป็นผู้บริสุทธิ์ ใครเล่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เรื่องนี้ต้องถูกจำแนกแยกแยะออกมาด้วยหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ ว่าอาการแทรกซ้อนของโรคความรุนแรงนี้มาจากไหน

พูดภาษาวรรณกรรม อย่างจิตร ภูมิศักดิ์ คงต้องถามว่า “หนี้เลือดเดือดแดงทารุณของเผด็จการ หลายปีที่ผ่านทับถมตลอดมา” ใครเป็นคนก่อจะต้องชดใช้กันอย่างไร การที่คนบางคนพร่ำเพ้อก่นด่าแกนนำ นปช.ว่าปรองดองคือการยอมจำนน น่าจะเป็นวาจาของพวก “ไร้เดียงสา” ด่วนสรุป เพราะเท่าที่ฟัง นปช.แถลง คือการเดินหน้าสู้ต่อไป ดังที่ จตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่าจะเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงทั้งหมด เดินหน้าหาประชาธิปไตยที่แท้จริง

5.พวกที่อ้างตัวว่าจะ “ปฏิวัติ” ขอให้เดินทางของท่านไป ท่านสามารถเดินทางโดยนำเสนอแนวคิดและปฏิบัติการชุดปฏิวัติเฉพาะของท่านเพื่อ เคลื่อนไหวมวลชน จะมีผู้คนเข้าร่วมกับท่านมากน้อยเพียงใดก็ว่ากันไป แต่ขอให้ยึดหลักแนวร่วม “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” อะไรที่ร่วม กันได้ก็ร่วม ร่วมไม่ได้ก็ไม่ต้องร่วม เพราะ นปช.ประกาศแนวทางต่อสู้แจ่มชัดอยู่แล้ว ว่าต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยแบบที่มีนามสกุลต่อท้าย นั่นคือ แนวทางปฏิรูปสังคมไทยเพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียม คือเลือกตั้ง คือรัฐสภา แท้แล้ว นปช.ควรสรุปให้ได้ด้วยว่า ที่เรียกร้องให้ยุบสภา เมื่อเมษาฯ-พฤษภาฯ ปี 53 เราสูญเสียมากไปหรือไม่ การเดินทางต่อจากนี้ต้องรอบคอบ รัดกุม ระมัดระวัง ตั้งสติ เคลื่อนไหวด้วยความรู้และภูมิปัญญา

6.คุณจักรภพ เพ็ญแข เคยเขียนไว้คราวหนึ่งว่า
“มวล ชนเขารู้ว่าใครเป็นใครในแกนนำและองค์กรนำ วันนี้เขายังยอมเดินตามก็เพราะเราอยู่ในขั้นตอนแบบ นปช.ฯ แต่วันหนึ่งเมื่อเงื่อนไขยกระดับขึ้น เขาก็จะเดินแนวปฏิวัติอย่างมั่นใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีใครชี้นำ ส่วนจะเป็นแดงสยามหรือไม่ขึ้นอยู่กับมวลชนในวันนั้น โดยไม่มีใครบอกได้”


อัน ที่จริงจักรภพก็ยอมรับว่า เวลานี้ “อยู่ในขั้นตอนแบบ นปช.” มวลชนเดินตามเพราะแนวทางถูกต้อง วันหนึ่งเมื่อเงื่อนไขยกระดับขึ้น คนก็จะเลิกเดินตาม นปช. คำถามคือ วันไหนเล่า ภาพฝันการปฏิวัติของ จักรภพเป็นเช่นไรหรือ ต้องอธิบายภาพฝันให้เป็นรูปธรรมหน่อย ว่าจะสอดคล้องกับลักษณะพิเศษของสังคมไทยหรือไม่ ชุดความฝันของจักรภพหยิบยืมมาจากการปฏิวัติของประเทศไหน จะเป็นการ “ตัดตีนให้เข้ากับเกือก” หรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องซักถามกันอีกมาก

การ ปฏิวัติไม่ใช่เรื่องพร่ำบ่นไปตามอัตตาส่วนตัว และการปฏิวัติก็ไม่ใช่สินค้าส่งออกหรือนำเข้า การปฏิวัติก่อนอื่นต้องมีมวลชนปฏิวัติ ประชาชนหกสิบกว่าล้านคนของประเทศไทย มีมวลชนปฏิวัติของจักรภพสักกี่คน นี่ยังไม่ได้ถามว่า “คณะนำ” การปฏิวัติเป็นใครด้วยซ้ำ

ในบทความชื่อ “ขอโทษที่ไม่ยินดี” จักรภพยังกล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า
“การ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จได้โดยคนเพียง ๗ คน หรืออดีตนายกรัฐมนตรี ๑ คน เราต้องขอความช่วยเหลือมวลชนจำนวนมากที่สุดให้เข้าร่วมในกิจกรรมที่หลากหลาย ที่สุด บนดิน ใต้ดิน ในเวทีชุมนุม นอกเวทีชุมนุม ทั้งงานที่มีองค์กรนำควบคุมชี้นำ และกิจกรรมธรรมชาติของมวลชน การส่งสัญญาณใดๆ ในขบวนจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมเช่นนี้เป็นสำคัญ”


ก็ อยากจะถามว่า ทำไมต้องไปฟาดงวงฟาดงาเอากับเพื่อน ๗ คน ซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพ โดยการประกันตัวออกมา หลังจากต้องติดคุกฟรีถึงเก้าเดือน แถมต่อเนื่องไปคุกคามเอาอดีตนายกรัฐมนตรี ๑ คน ซึ่งคงหมายถึงท่านทักษิณ ชินวัตร อาการก้าวร้าวกระแทกแดกดันเช่นนี้น้องนุ่งอย่างจักรภพควรต้องระวังบ้าง เหมือนที่ท่านเขียนเอาไว้เองว่า “ในขบวนต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมเช่นนี้เป็นสำคัญ” ท่านคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นหรือไม่

ปัญหา ความขัดแย้งเรื่องแนวทางการต่อสู้ในขบวนการประชาธิปไตยมีมาโดยตลอดจากอดีตจน ถึงปัจจุบัน จะไม่พูดเสียบ้างคงไม่ได้ คนเสื้อแดงอย่าได้คิดว่าเป็นการทะเลาะวิวาทหรือแตกแยก ควรเข้าใจว่า นี่เป็นการถกเถียงกันเพื่อความก้าวหน้าของ “ต้นไม้ที่โตไม่พร้อมกัน”

ขอ จบบันทึกฉบับที่ 10 ด้วยข้อเขียนของ อ.ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่เขียนบันทึกชื่อ “เสียใจกับกาหลิบ” และปิดท้ายด้วยคอมเม็นท์สั้นๆของ ลูกไฟ ประภัสสร นามแฝงของอดีตผู้แทนราษฎรฝ่ายก้าวหน้าคนหนึ่งในอดีต ดังนี้.. (กาหลิบเป็นนามแฝงของ จักรภพ เพ็ญแข)
“ผมไม่เชื่อใน คัมภีร์อะไร แต่ผมปลื้มนักปฏิวัติอย่าง เลนิน หรือ โรซา ลัคแซมเบอร์ค ที่เคยมีส่วนในการนำมวลชนเป็นล้านไปสู่การปฏิวัติจริง เขาพูดเสมอว่านักปฏิวัติต้องทำแนวร่วมกับนักปฏิรูป ต้องสนใจการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน ต้องร่วมรบในเวทีรัฐสภาถ้าจำเป็น ต้องพิสูจน์ต่อหน้ามวลชนท่ามกลางการจับมือร่วมกันสู้ ว่าแนวทางปฏิวัติเป็นไปได้และดีกว่าแนวปฏิรูป ไม่ใช่แอบไปสู้ในอินเตอร์เน็ทหรือในเขตป่าเขา หรือรวมศูนย์การต่อสู้ในเชิงสัญลักษณ์กับคนเดียว คุณสุรชัยไม่ใช่คนขี้ขลาด เขายอมติดคุก ถ้าเป็นผม ผมจะหลีกเลี่ยงการติดคุกเพื่อต่อสู้เต็มๆ ข้างนอก แต่นั้นเป็นการตัดสินใจเรื่องยุทธวิธี และบางยุทธวิธีจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะในกรณีที่หันหลังให้มวลชนและไม่รู้จักทำแนวร่วมกับนักปฏิรูป แต่ขอถามหน่อยเถิด..... อำมาตย์จะมองว่าคุณสุรชัยที่มีมวลชนแค่สองสามพัน สำคัญเท่ากับแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน 7 คน ที่มีมวลชนเป็นล้านจริงหรือ? หัดตาสว่างกันหน่อย !

ทุกวันนี้เราชาวเสื้อแดงจะต้องให้ความสำคัญ กับการต่อสู้ในรูปธรรม เราต้องทันอำมาตย์ที่พยายามจะโกงการเลือกตั้งในอนาคต เราต้องเสนอวาระปฏิรูปสังคมไทย เพื่อสร้างประชาธิปไตยและความเท่าเทียม และที่ครองใจคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่มานั่งอยู่บ้าน หน้าจอคอมพิวเตอร์ และฝันในนิยายหลอกเด็ก”


และจาก ลูกไฟ ประภัสสร Luugfai Praphatsorn

“จักรภพ ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ต้องเรียนรู้การต่อสู้ที่มีรุก มีถอย มีชนะนิดชนะหน่อย รู้จักสะสมชัยชนะ อย่างการที่เอาเพื่อนออกมาอีกได้ 8-9 คนนี่ ต้องถือว่า เราได้มาอีกคืบหนึ่งแล้ว( ในด้านตรงข้าม ศัตรูก็อ่อนตัวลงนิดหนึ่ง)เราพวกเดียวกันก็ต้องยินดี แสดงความคิดแบบจักรภพที่ว่าไม่ยินดีด้วย เพราะมีการจับสุรชัยและยังมีคนเสื้อแดงติดอยู่อีกร้อยกว่าคน ใช่-นั่นเราก็ต้องต่อสู้เพื่อช่วยพวกเขาต่อไป ไม่มีใครคิดทิ้งพวกเขาหรอกครับ ดา ตอปิโด ก็มีพวกเราคอยดูแลอยู่ สุรชัย ก็ไม่ใช่ไม่มีใครดูแล มีแต่จักรภพเท่านั้นแหละที่ไม่ได้มาดูแลสุรชัย

คือ จักรภพถือทฤษฎี " absolute" หรือ "ทฤษฎีสมบูรณ์แบบ" ซึ่งประธานเหมา ต้องต่อสู้ทางความคิดกับพวกแบบนี้มามากในการปฏิวัติจีน พวกทฤษฎีด่วนได้ พวกใจร้อน พวกสมบูรณ์แบบ พวกนี้แหละ จะมีส่วนทำให้ขบวนปฏิวัติของประชาชนปั่นป่วนมากทีเดียว

ดังนั้น ความคิดอย่างนั้น ต้องกวาดล้างออกไป ก่อนที่มันจะกลายเป็นหญ้าพิษ ระบาดใส่ขบวนการของประชาชน”





(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554)

************
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 9 และฉบับที่ 1-8

-ขอโทษที่ไม่ยินดี โดย กาหลิบ

-ใจ อึ๊งภากรณ์:เสียใจกับกาหลิบ
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 2/26/2011 10:22:00 หลังเที่ยง Share on Facebook

ใบตองแห้ง...ออนไลน์ : คำวินิจฉัยหาย!


Thu, 2011-02-24 11:28


สำนักข่าวใบตองแห้งรายงานว่า เมื่อเวลา 23.23 น.คืนวันที่ 23 ก.พ.ระหว่างรอเชียร์แมนฯยูในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ใบตองแห้งเปิดเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ จนป่านฉะนี้ก็ยังไม่เจอคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตน ในคดีที่ศาลยกคำร้องของอัยการสูงสุด ขอให้สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีรับเงินบริจาคจากบริษัททีพีไอโพลีน ผ่านบริษัทเมซไซอะ


2 เดือน 14 วันผ่านไป นับแต่ศาลมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 ด้วยมติ 4 ต่อ 3 ให้ยกคำร้องเพราะเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมือง คือนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ยังมิได้มีความเห็นยุบพรรค

2 เดือน 14 วัน เฉยเลยครับ ยังไม่มีคำวินิจฉัยกลางขึ้นเว็บไซต์ มีแต่คำวินิจฉัย (อย่างไม่เป็นทางการ)

แน่นอนว่าเรื่องมันจบไปแล้ว ศาลวินิจฉัยไปแล้ว ฝ่ายค้านไม่สนใจแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ไม่สนใจแล้ว จะมีทุจริตสอบเข้ารับราชการจริงหรือไม่ ใครเอาลูกมาเป็นเลขา น้องปอยหายไปไหน ฯลฯ เป็นธรรมดาแบบไทยๆ ที่ จบข่าวแล้วก็ไม่มีใครมาตามต่อ


แต่ศาลจะมาจบแบบด้วนๆ อย่างนั้นไม่ได้นะครับ เพราะคำวินิจฉัยต้องเป็นบรรทัดฐาน ให้ลูกหลานอ่านผลงานของท่านอีกร้อยปีข้างหน้า จะได้กลับมาสรรเสริญ หรืออะไรก็แล้วแต่


คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีข้อกำหนดว่าจะต้องออกมาหลังอ่านคำวินิจฉัย (อย่างไม่เป็นทางการ) กี่วัน เพียงแต่มีข้อกำหนดว่า


ข้อ 54 ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะทุกคนจะต้องทำความเห็นในการวินิจฉัยในส่วนของตนเป็น หนังสือ พร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ เมื่อการลงมติเสร็จสิ้น ให้ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะจัดทำคำวินิจฉัยของศาล


การทำคำวินิจฉัยของศาลตามวรรคหนึ่ง องค์คณะอาจมอบหมายให้ตุลาการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดทำคำวินิจฉัยตามมติของศาลก็ได้


คำวินิจฉัยของศาลและความเห็นในการวินิจฉัยของตุลาการที่เป็นองค์คณะทุกคน ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา


นั่นหมายความว่า ตุลาการทั้ง 7 ต้องเขียนวินิจฉัยส่วนตนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้าวันที่ 9 ธ.ค.แล้วเอามาแถลงในที่ประชุม เมื่อลงมติเสร็จ ทั้ง 7 คนร่วมกันเขียนคำวินิจฉัย หรือมอบหมายให้คนใดคนหนึ่งเขียน เมื่อเขียนเสร็จ อาจใช้เวลาอีก 2-3 วัน ให้เจ้าหน้าที่พิมพ์ ตรวจทาน แล้วส่งไปลงราชกิจจานุเบกษา ซึ่งก็น่าจะใช้เวลาไม่กี่วันเช่นกัน


ดูอย่างคดีเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้าน ศาลอ่านคำวินิจฉัยวันที่ 29 พ.ย.53 แล้วเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตนในวัน ที่ 8 ธ.ค.53


แล้วไหงคดีเงินบริจาค 258 ล้าน ผ่านมา 75 วันแล้วยังไม่ลงเว็บไซต์ ข้ามมาถึงปี 2554 มีคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตนในคดีอื่นๆ 3 คดีแล้ว เช่นคำวินิจฉัยให้ สว.นครพนมพ้นสมาชิกภาพ

แปลว่าท่านยังเขียนกันไม่เสร็จหรือครับ หรือเกิดข้อผิดพลาดทางเทคนิคตรงไหน


ไม่รู้เป็นไง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเนี่ย ไม่ใช่เฉพาะชุดนี้หรอก ชุดก่อนๆ ด้วย ออกช้าเป็นประจำ เหมือนกับแถลงข่าวเฉพาะผลสรุป แล้วค่อยกลับไปนั่งเขียนคำวินิจฉัยอย่างใจเย็น ต่างกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่นท่านเขียนคำวินิจฉัยจนเสร็จ แล้วถึงออกมาอ่านยืดยาว แล้วก็เอาฉบับนั้นแหละไปลงราชกิจจานุเบกษา


ลงเร็วลงช้าถ้าผลสรุปเหมือนกันยังไม่กระไร แต่คำวินิจฉัยคดี 29 ล้านสิ ฉบับชั่วคราวกับฉบับค้างคืนกลับออกมาคนละเรื่องกัน หวังว่าฉบับนี้คงไม่มีอีก


และหวังว่าคงไม่ต้องรอจนถึงเลือกตั้งนะครับ เพราะหลังศาลวินิจฉัย นักข่าวไปจี้ถามประธาน กกต.ว่าท่านจะรับผิดชอบอย่างไร จะยื่นคำร้องใหม่ หรือจะพิจารณาตัวเอง ท่านก็บอกว่าขอรอดูคำวินิจฉัยก่อน

ปรากฏว่ารอมานาน คำวินิจฉัยยังไม่ออก ประธาน กกต.ก็ลอยนวล กลับไปเตรียมการเลือกตั้งทั้งที่มีข้อกังขาในการปฏิบัติหน้าที่

ใบตองแห้ง
24 ก.พ.54

http://prachatai.com/journal/2011/02/33268

อนุสรณ์ อุณโณ เป็นไพร่ต้องรู้จักพอเพียง


Sat, 2011-02-26 15:19

อนุสรณ์ อุณโณ


เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาคณะกรรมการปฏิรูปประเทศได้จัดแถลงข่าว เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตรจำนวน 5 ข้อ โดยนอกจากการกำหนดเขตการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร การจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตราก้าวหน้า การจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับที่ดิน รวมถึงการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อการเกษตร ข้อเสนอสำคัญอีกข้อคือการจำกัดการถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรไม่เกินครัว เรือนละ 50 ไร่ ทั้งนี้เพื่อลดการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินและเพื่อกระจายที่ดินให้แก่ เกษตรกรที่ขาดแคลนที่ดินทำกินเป็นสำคัญ


แม้จะฟังดูดี แต่ข้อเสนอดังกล่าวชวนให้เข้าใจปัญหาด้านการเกษตร ชนบท และที่ดินในประเทศไทยไขว้เขว เพราะแม้การขาดแคลนที่ดินจะเป็นหนึ่งในปัญหาการเกษตร แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่เกษตรกรโดยเฉลี่ยเห็นว่ารุนแรงหรือว่าเร่งด่วนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาต้นทุนการผลิตจำพวกปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่าจ้าง อัตราดอกเบี้ย ฯลฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปัญหาด้านราคาและตลาดที่ผันผวนและมักสวนทางกับต้นทุนการผลิต ในระยะเฉพาะหน้าเกษตรกรโดยเฉลี่ยเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือในสองกรณีหลัง มากกว่า แต่รัฐบาลก็ดูเหมือนจะไม่มีมาตรการรองรับมากนัก ขณะเดียวกันเกษตรกรกลุ่มที่ประสบปัญหาด้านที่ดินทำกิน (รวมทั้งที่อยู่อาศัย) รุนแรงมักเป็นกลุ่มที่มีข้อพิพาทกับหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกรม ป่าไม้และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้เกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องจะเคลื่อนไหวเรียกร้องในปัญหานี้มาอย่าง ต่อเนื่องยาวนานรวมทั้งมีแนวทางแก้ไขอย่างเป็นระบบ แต่คณะกรรมการปฏิรูปไม่ได้กล่าวถึงปัญหาสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ของเกษตรกรรวมทั้งชาวประมงเหล่านี้ในข้อเสนอ 5 ข้อ แต่กลับแยกไปกล่าวต่างหากและกล่าวเฉพาะในส่วนของการดำเนินคดีเท่านั้น ไม่มีในส่วนของแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบแต่อย่างใด (แม้หลายคนในคณะกรรมการปฏิรูปจะมีข้อมูลเหล่านี้อยู่ในมือก็ตาม)


นอกจากนี้ ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อไม่ได้แยกแยะระหว่างความเป็นเจ้าของกับความสามารถในการเข้าถึงที่ดินของ เกษตรกรดังที่งานศึกษาสังคมชนบทจำนวนหนึ่งชี้ไว้ กล่าวคือ เกษตรกรจำนวนมากมีช่องทางในการเข้าถึงการใช้ที่ดินการเกษตรโดยไม่จำเป็นต้อง เป็นเจ้าของ เช่น การใช้ที่ดินของบิดามารดา ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสียค่าเช่าหรืออาจมีการแบ่งปันผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ระหว่างเจ้าของกับเกษตรกรผู้ใช้ประโยชน์ การไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินจึงไม่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเกษตรกรกลุ่มนี้ ขณะเดียวกันงานศึกษาเหล่านี้ก็ชี้การเช่าที่ดินอาจไม่ได้เป็นสิ่งเลว ร้ายอย่างที่คณะกรรมการปฏิรูปวาดภาพ (นายอานันท์กล่าวว่าข้อเสนอทั้ง 5 ข้อต้องการแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรที่ดิน เพราะที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตได้กลายเป็นสินค้าในตลาดที่มีการเก็งกำไร และกระจุกตัวอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ที่ไม่ได้เป็นเกษตรกร) เพราะการที่ที่ดินกลายเป็นสินค้าในระบบตลาดในแง่หนึ่งส่งผลให้เกิดการแข่ง ขันกันในด้านค่าเช่าระหว่างเจ้าของที่ดิน ยิ่งมีที่ดินการเกษตรถูกปล่อยทิ้งมากค่าเช่าก็จะลดลงตามลำดับ สิ่งที่เกษตรกรในพื้นที่ศึกษาเห็นว่าเป็นปัญหาหลักในการทำเกษตรจึงไม่ใช่ค่า เช่า หากแต่เป็นราคาผลผลิตรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มากกว่า ปัญหาที่ดินกลายเป็นสินค้าและการเช่าที่ดินการเกษตรจึงมีความสลับซับซ้อน เกินกว่าจะเข้าใจด้วยตรรกะขาวดำของคณะกรรมการปฏิรูป


ขณะเดียวกันสังคมชนบทร่วมสมัยไม่ได้มีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิม ดัง ที่คณะกรรมการปฏิรูปชวนให้เชื่อ งานศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่าปัจจุบันมีครัวเรือนเกษตรกรเพียงร้อยละ 20 ที่มีรายได้จากภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังไม่ได้เป็นรายได้จากการเกษตรแบบดั้งเดิมอีกต่อไป ขณะที่รายได้ในเขตชนบทส่วนใหญ่มาจากนอกภาคเกษตร เนื่องจากสมาชิกครัวเรือนต่างปรับตัวออกนอกภาคเกษตรแม้จะยังอาศัยในหมู่บ้าน (รวมถึงกรณีที่ทำงานและพำนักอยู่นอกหมู่บ้านแต่ส่งเงินมาจุนเจือครอบครัว) การแตกตัวในภาคการเกษตรและการออกนอกภาคเกษตรส่งผลให้ที่ดินไม่ได้เป็นปัจจัย หลักของการสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งของครัวเรือนในชนบท หากแต่เป็นโอกาสทางการศึกษาและช่องทางเศรษฐกิจนอกภาคเกษตรต่างหากที่จะช่วย ให้ครัวเรือนชนบทสามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งปันประโยชน์จากการขยายตัวของระบบ เศรษฐกิจแบบทุนและตลาดได้ การที่คณะกรรมการปฏิรูปจับการกระจายที่ดินการเกษตรเป็นหัวใจในการแก้ปัญหา ชนบทจึงไม่สามารถช่วยเหลือครัวเรือนชนบทส่วนใหญ่ได้มากนัก


นอกจากนี้ ปัญหาการกระจุกตัวของที่ดินไม่ได้เกิดเฉพาะในเขตชนบท หากแต่เกิดในเขตเมืองอย่างสำคัญ เช่น ประมาณการว่าที่ดิน 1 ใน 3 ในเขตกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (สำนักงานทรัพย์สินฯ มีที่ดินภายใต้การดูแลประมาณ 32,500 ไร่ ภายใต้สัญญาประมาณ 37,000 ฉบับ โดยสัญญาประมาณ 25,000 ฉบับเป็นที่ดินในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล) โดยในแต่ละปีสำนักงานทรัพย์สินฯ มีรายได้จำนวนมากจากการให้เอกชน หน่วยงานราชการ และองค์กรต่างๆ เช่าที่ดิน ไม่ต่างอะไรจาก นายทุนแสวงหากำไรจากการให้ชาวนาเช่าที่นา ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปจะครอบคลุมการถือครองที่ดิน ที่กระจุกตัวอยู่ที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้หรือไม่ เพราะแม้คณะกรรมการปฏิรูปจะระบุว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะต้องนำที่ดินมาจัดสรรใหม่คือส่วนราชการที่ถือครอง ที่ดินไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่การที่สำนักงานทรัพย์สินฯ (ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนสถานภาพจากส่วนราชการเป็นนิติบุคคล) ให้เอกชน หน่วยราชการ และองค์กรต่างๆ เช่าที่ดินอาจนับเป็นการ ใช้ประโยชน์ให้สำนักงานทรัพย์สินฯ หลุดรอดไปจากการปฏิรูปที่ดินฉบับคณะกรรมการปฏิรูปได้


ขณะเดียวกัน แม้รัฐบาลขานรับข้อเสนอการปฏิรูปที่ดินของคณะกรรมการปฏิรูป (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม) แต่โอกาสที่จะผลักดันให้ข้อเสนอเป็นจริงในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก กล่าวในส่วนของหน่วยงานราชการ นอกจากสำนักงานทรัพย์สินฯ (ซึ่งมีสถานะค่อนข้างกำกวม) มีหน่วยงานราชการอีกจำนวนมากที่ถือครองที่ดินขนาดใหญ่โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ ในด้านการผลิต หรือไม่ก็ให้ผู้นอื่นเช่าใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นกรมธนารักษ์ การรถไฟ หรือแม้กระทั่งกองทัพ ซึ่งการถือครองที่ดินของหน่วยราชการเหล่านี้มักมีกฎหมายรองรับและไม่จำเป็น ต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิต จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้หน่วยงานราชการเหล่านี้ คายที่ดินออกมาเพื่อจัดสรรให้แก่เกษตรกรขาดแคลนที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราบเท่าที่ประชาชนไม่ได้เป็นผู้ที่หน่วยราชการไทยมีพันธะ กรณีหรือขึ้นต่อ ขณะที่ในส่วนของเอกชนและนักการเมือง (ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญของคณะกรรมการปฏิรูป) รายที่ถือครองที่ดินจำนวนมาก ก็ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและตลาดเสรีรวมทั้ง ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย หากคณะกรรมการปฏิรูปและรัฐบาลจะตรากฎหมายรีดที่ดินจากบริษัทและบุคคลเหล่า นี้อย่างดุ้นๆ ก็เห็นจะต้องเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและระบบการปกครองของประเทศเป็นอย่าง อื่นเสียด้วย การจะทำให้ระบบทุนมีความเป็นศีลธรรมต้องไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจดิบหยาบอย่าง นี้


นอกจากนี้ การจำกัดการถือครองที่ดินการเกษตรไม่เกินครัวเรือนละ 50 ไร่เป็นการ ตอนระบบเศรษฐกิจการเกษตรไม่ให้ขยายตัว หรือเป็นการแช่แข็งเกษตรกรไม่ให้เติบโตไปกว่า เกษตรกรรายย่อยเพราะนอกจากบางครัวเรือนจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวนมากซึ่งส่งผลให้จำนวนที่ดิน ถือครองสูงตามไปด้วย เกษตรกรจำนวนไม่น้อยทำการเกษตรในที่ดินเกินกว่าเพดานดังกล่าว หรือบางรายอาจต้องการขยายกำลังการผลิตแต่ก็จะไม่สามารถทำได้หากข้อเสนอดัง กล่าวกลายเป็นกฎหมาย ประการสำคัญการที่คณะกรรมการปฏิรูปอ้างว่าเพดานดังกล่าวเคยกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 จึงไม่เห็นว่ามีอะไรจะต้องตื่นเต้นหรือตกใจ ก็ฟังคล้ายคณะกรรมการปฏิรูปกำลังบอกว่าการกลับไปเป็นไพร่ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะในสมัยอยุธยากฎหมายก็เขียนไว้อย่างนั้น และที่สำคัญการเป็นไพร่นั้นต้องรู้จักคำว่าพอเพียง

บทความตีพิมพ์ในคอลัมน์ คิดอย่างคน หนังสือรายสัปดาห์ มหาประชาชน ประจำวันที่ 18-24 กุมภาพันธ์ 2554

http://prachatai.com/journal/2011/02/33299